2 มิ.ย. 2020 เวลา 15:49 • ประวัติศาสตร์
ทาสน้ำดำ ตอนที่1
ตำนานที่แสนฮาร์ดคอร์ของน้ำอัดลมในตำนาน หายสงสัยซักทีทำไมคนอเมริกาถึงเรียกโคเคนว่า "โค้ก"
เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่แสนจะฮาร์ดคอร์ โคคา-โคลา” ใครคือต้นคิดน้ำดำอมตะ ศตวรรษที่ 19 เป็นยุคที่มีการจดสิทธิบัตรยาเป็นจำนวนมาก และยาบางชนิดก็สร้างชื่อเสียงและฐานะให้กับเจ้าของสิทธิบัตรมากมาย จอห์น สติท แพมเบอร์ตัน (John Stith Pamberton) นักเภสัชศาสตร์ชาวเมืองแอตแลนตา ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น ทว่านอกจากยาแล้ว สิ่งประดิษฐ์ที่สร้างชื่อให้เขาคือเครื่องดื่มน้ำดำที่เรียกว่า โคคา-โคลา (โค้ก) นั่นเอง แพมเบอร์ตันเป็นนักเภสัชศาสตร์ ที่ไม่ได้สนใจเฉพาะเรื่องยาเท่านั้น เขาก่อตั้ง บริษัท เจ.เอส. แพมเบอร์ตัน คอมพานี ขึ้น และคิดค้นสินค้ามากมายไม่ว่าจะเป็นยาย้อมผม เครื่องสําอาง และน้ำหอม ทว่าในช่วงอายุ 50 ปี แพมเบอร์ตันเริ่มให้ความสนใจกับต้นโคคา พืชพื้นเมืองของเปรูที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี ชาวพื้นเมืองเอาใบโคคามาเคี้ยวกินสดๆ หรือไม่ก็สกัดเป็นเครื่องดื่ม เพราะมีฤทธิ์เป็นยากระตุ้น อุดมด้วยสารอาหาร และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ
นอกจากนี้ยังมีสารโคเคน ซึ่งเป็นสารฆ่าแมลงโดยธรรมชาติ และเป็นตัวยับยั้งกระบวนการดูดซับสารโดปามีนซ้ำในมนุษย์ที่นําไปสู่การเสพติด แพมเบอร์ตัน ซึ่งติดมอร์ฟีนมาตั้งแต่ตอนเป็นทหารนั้น มองว่าสารชนิดนี้อาจเป็นยาวิเศษที่รักษาอาการเสพติดของเขาได้
ว่าแล้วเขาก็ทดลองปรับปรุงสูตรน้ำโคลาด้วยการใส่เมล็ดโคลาที่มีคุณสมบัติทางยาและช่วยกระตุ้นสมรรถภาพทางเพศ โดยเริ่มผสมในกาทองเหลืองที่สนามหลังบ้าน จนบ้านของเขาไม่ต่างจากลานทิ้งขยะที่เต็มไปด้วยเครื่องกรองสูงเท่าบ้าน 2 ชั้น และกระทะสําหรับผสมสูตรเครื่องดื่มกองระเกะระกะไปทั่ว
ในที่สุดแพมเบอร์ต้นก็เปิดตัวเครื่องดื่มที่ตั้งชื่อว่า “ไวน์โคลาฝรั่งเศสของแพมเบอร์ตัน” ในปี ค.ศ. 1885 โดยโฆษณาว่า “เป็นยาบํารุงที่ช่วยสร้างเสริมปัญญา” จากนั้นเมื่อเขานําเมล็ดโคลาใส่เพิ่มเข้าไปอีก ก็เรียกว่า “ยาบำรุงประสาท” ที่มีสรรพคุณในการเลิกมอร์ฟีน ซึ่งยังไม่มีแพทย์คนใดคิดค้นวิธีรักษาให้หายขาดได้ สินค้าตัวใหม่นี้ทําเงินให้แพมเบอร์ตันต่อวันมากกว่าที่เขาเคยหาได้ทั้งปีเลยทีเดียว
ยิ่งประสบความสําเร็จ แพมเบอร์ตันยิ่งหมกมุ่นกับเครื่องดื่มสีน้ำตาลข้นนี้ ทําให้สุขภาพย่ำแย่ลงทุกวัน นอกจากนี้ การทดลองชิมสูตรผสมน้ำหวานหลายชนิด ทําให้เขาไม่สามารถเลิกติดมอร์ฟีนได้ แพมเบอร์ตันส่งตัวอย่างสูตรน้ำหวานที่คิดขึ้นใหม่ไปให้เจ้าของร้านเครื่องดื่มคนหนึ่งผสมโซดาให้ลูกค้าชิม และนั่นเป็นที่มาของโคคา-โคลาที่เรารู้จักในปัจจุบัน
โดยโคคา-โคลา เปิดให้บริการครั้งแรกในวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1886 ในราคาแก้วละ 5 เซ็นต์ และแพมเบอร์ตันได้เลือกจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของโคคา-โคลาแทนการจดสิทธิบัตร เพราะจะได้ไม่ต้องเปิดเผยสูตรจนคู่แข่งสามารถเอาไปใช้ประโยชน์ได้ ทําให้สูตรน้ำอัดลมโคคา-โคลา ยัง เป็นความลับจนถึงทุกวันนี้
ด้วยความที่คิดว่าคงไม่รอดชีวิตจากอาการเจ็บป่วย ประกอบกับการขัดสนเงินทองเนื่องจากติดยา แพมเบอร์ตันจึงตัดสินใจขายหุ้นบริษัทให้ “อะซา กริก แคนด์เลอร์” (Asa Griggs Candler) ในปี ค.ศ. 1888 ด้วยราคาเพียง 2,300 เหรียญ ไม่กี่ปีหลังจากนั้น โรงงานโคคา-โคลา ก็ผุดขึ้นทั่วอเมริกา ทําให้ แคนด์เลอร์กลายเป็นหนึ่งในคนที่ร่ำรวยที่สุดของประเทศในปี ค.ศ. 1900
ส่วนแพมเบอร์ตันเสียชีวิตในปีเดียวกับที่ขายหุ้น ทิ้งเงินเพียงเล็กน้อยไว้ให้ทายาท งานศพของเขาในแอตแลนตามีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศมาแสดงความเคารพ…
สรรพคุณของใบโคคา
ชาวพื้นเมืองของเปรู โบลิเวีย และชาวพื้นเมืองของทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอาร์เจนตินาจะใช้ใบโคคาสด ๆ นำมาเคี้ยว ซึ่งจะออกฤทธิ์กระตุ้นประสาท และใช้เป็นยาบำรุง (ใบ)
โคคาถือว่าเป็นพืชมีพิษ เนื่องจากใบมีสาร crystalline tropane alkaloid (benzoylmethylecgonine) ซึ่งเป็นหนึ่งในประมาณ 12 สารอัลคาลอยด์ที่สกัดได้จากใบ มีฤทธิ์เป็นสารกระตุ้นมีผลต่อระบบประสาทและระงับความต้องการของร่างกาย หรือเรียกว่า โคเคน (cocaine) ทำให้ผู้ได้รับสารชนิดนี้รู้สึกมีความสุขและมีพลังงานเพิ่มอย่างสูงในระยะเวลาสั้น ๆ โดยถือเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 2 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ของประเทศไทย ผู้ที่เสพจะมีอาการหัวใจเต้นแรง นอนไม่หลับ กระวนกระวาย ซึมเศร้า และมีโทษทำให้เกิดอาการชักและมีเลือดออกในสมอง ทำให้เป็นอัมพาต หัวใจล้มเหลว และทำให้เกิดอาการโรคซึมเศร้า ในทางการแพทย์จึงใช้คุณสมบัตินี้เป็นยาชาเฉพาะที่ (ใบ)
ประโยชน์ของโคคา
ใบนำมาสกัดเอาโคเคน (Cocaine) ซึ่งใช้เป็นยาชาเฉพาะที่ ถ้าใช้ในขนาดน้อยจะเป็นตัวกระตุ้นสมองส่วน cerebral แต่ถ้าใช้ในขนาดมากหรือใช้ติดต่อกันจะเป็นยาเสพติด
ส่วนผสมที่ 2 ถั่วโคล่า
เป็นไปได้ว่าคุณไม่เคยคิดมาก่อนว่าโคล่าซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ทำให้บริษัทโค้กโด่งดังจริงๆแล้วทำมาจากอะไรกันแน่..หรือได้ชื่อนี้มาได้อย่างไร? เดิมทีโคล่าถูกทำมาจากส่วนผสมพิเศษซึ่งมีต้นกำเนิดอยู่ในธรรมชาติ
เมื่อได้ชิมครั้งแรกถั่วโคล่าจะมีรสชาติค่อนข้างขม แต่ก็มีความหวานตามธรรมชาติรวมถึงคาเฟอีนด้วย ถั่วโคล่ามาจากต้นโคล่าซึ่งสามารถพบได้ในแอฟริกาตะวันตกและละตินอเมริกาเป็นส่วนใหญ่ โดยจะเจริญเติบโตดีในพื้นที่เขตร้อนและมีฝักขนาดใหญ่เช่นเดียวกับเมล็ดโกโก้ในผลโกโก้ ที่ไนจีเรียถั่วโคล่าถือเป็นวัฒนธรรมส่วนหนึ่งที่น่าเคารพนับถือ เจ้าของบ้านมักจะมอบถั่วโคล่าให้แก่แขกเพื่อแสดงให้รู้ว่าพวกเขายินดีต้อนรับ พวกเขาจะกะเทาะถั่วโคล่าต่อหน้าแขกและยื่นให้รับประทาน วิดีโอด้านล่างนี้จะสาธิตวิธีแกะถั่วโคล่าออกจากฝักและวิธีรับประทาน
ประวัติเครื่องดื่มชนิดนี้อธิบายว่าสูตรต้นตำรับของโค้กประกอบไปด้วยใบโคคากับถั่วโคล่าและนี่เองคือที่มาของชื่อโคคา-โคล่า ปัจจุบันเรารู้ว่าถั่วโคล่าไม่ได้ถูกนำมาใช้ในการผลิตโค้กหรือเครื่องดื่มหลักชนิดอื่นๆของแบรนด์โคล่าแล้ว ด้วยเหตุนี้มันจึงไม่มีชื่อปรากฏอยู่บนฉลากส่วนผสม แต่ก็ยังมีผู้คนผลิตโคล่าจากถั่วโคล่าอยู่
ผู้จัดการทั่วไปของ Betony’s ในนิวยอร์คซิตี้เคยใช้ถั่วโคล่าในการผลิตรัมกับโค้กสูตรนำมาทำใหม่ ส่วนบริษัทเครื่องดื่มขนาดเล็กอย่าง Q Drinks ทุกวันนี้ก็ยังใช้ถั่วโคล่าในการผลิตเครื่องดื่มโค้กของตัวเองอยู่ เราได้พูดคุยกับจอร์แดน ซิลเบิร์ท ผู้อำนวยการบริหารของ Q Drinks เกี่ยวกับคุณสมบัติของถั่วโคล่าในเครื่องดื่มโคล่า เขากล่าวว่าเหตุผลหลักที่ผู้คนใช้ถั่วโคล่าในการผลิตเครื่องดื่มโคล่าก็คือ..พวกเขาต้องการคาเฟอีนของมัน
จอร์แดนอธิบายว่า “สิ่งที่ทำให้โคล่ามีความพิเศษคือส่วนผสมอื่นๆที่อยู่ในนั้นโดย Q Kola จะเติมมะนาว ส้ม อบเชย จันทน์เทศ กานพลู และอากาเว่ เพื่อเพิ่มความหวานให้กับเครื่องดื่มที่ทำจากถั่วโคล่าเพื่อสร้างความแตกต่างจากรสชาติโคล่าทั่วไป” จอร์แดนยังบอกอีกว่าคุณสามารถหาซื้อถั่วโคล่าได้ตามตลาดแอฟริกาบางแห่ง ดังนั้นถ้าคุณต้องการรสชาติโคล่าแท้ๆ (และคาเฟอีนที่คุณสามารถเคี้ยวได้) ก็อย่าพลาดเป็นอันขาด
คัดเนื้อหาจากบทความ “สิ่งประดิษฐ์ของคนหัวรั้น…ของธรรมดาที่เปลี่ยนโลก” โดย วารยา ใน ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 31 ฉบับที่ 10 สิงหาคม 2553
ที่มา ศิลปวัฒนธรรม สิงหาคม 2553
ผู้เขียน วารยา
เผยแพร่ วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2562
โฆษณา