มูฮัมหมัด อาลี ยอดนักมวยชาวอเมริกันรุ่นเฮฟวี่เวทผู้เป็นตำนาน ได้เคยไปเยี่ยมชมสุเหร่าอายาโซเฟีย (Hagia Sophia) ในปีคศ. 1976 🇹🇷 เขาพูดว่า " นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นชาวมุสลิมผิวขาวและเขาก็ร้องไห้มากมายจากคำพูดนี้ของเขา" (ดาบแห่งอัลเลาะห์/แปลเรียบเรียง) #ทีมงานกลุ่มประชาชาติแห่งอิสลาม fb
อิสลามสนับสนุนการแพทย์ (บทความโดย: อาจารย์ มัรวาน สะมะอุน) อิสลามสนับสนุนการแพทย์ ตามหลักนิติศาสตร์อิสลาม ถือว่าการเรียนแพทย์เป็น “ฟัรฏูกิฟายะฮฺ” นักวิชาการในอดีตยึดถือว่า ในชุมชนมุสลิม จะต้องมีแพทย์ 1 คนเป็นอย่างน้อย มิฉะนั้นทั้งชุมชนจะต้องตกหนักกันทุกคน และทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน ในอันที่จะให้มีแพทย์ประจำชุมชน ตามหลักทางนิติศาสตร์ที่ยึดถือกันมานานดังกล่าวนั้น แสดงว่าสังคมมุสลิมของเราไม่ได้สนใจเท่าใดนัก เรามักจะอยู่กันด้วยสภาวะจำยอม เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ แทนที่เราจะได้มือของมุสลิมช่วยเหลือ มือที่มีศรัทธาอัลเลาะฮฺ มือที่มีตักวา จับเข็มฉีดยา จับชีพจร จับร่างกายของเราเพื่อการตรวจและรักษา เรากลับต้องอาศัยมือของคนอื่น คนที่เราไม่เคยรู้จัก ไม่เคยมักคุ้น หัวใจของเขา มุ่งมั่นแต่ผลกำไรจากการรักษาพยาบาล เขาไม่ได้คิดหรอกว่า เขากำลังรักษาพยาบาลพี่น้องของเขา เขาคิดแต่เพียงว่า ทำอย่างไรจะเถือเนื้อแล่หนังของคนไข้ให้ได้กำไรมากที่สุด เนื้อหนังหมดแล้ว เขาก็ไถลึกเข้าไปถึงกระดูก พี่น้องมุสลิมจำนวนไม่น้อยที่คิดว่า การเรียนแพทย์ เป็นการเรียนนอกอิสลาม ไม่เกี่ยวข้องกันประการใด ๆ กับอิสลาม ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะหลักการอิสลาม ไม่ได้จำกัดการศึกษาแต่เฉพาะด้านศาสนาเท่านั้น การเรียนแพทย์ ก็ถือเป็นการศึกษาแขนงหนึ่งที่อิสลามส่งเสริมและถือเป็น “ฟัรฏูกิฟายะฮฺ” ดังกล่าวแล้ว ความจริงสมองของมุสลิมไม่ได้ด้อยไปกว่าคนอื่น เราสามารถศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากเราได้รับการสนับสนุนอย่างถูกต้อง บรรดาผู้รู้ทางศาสนาน่าจะกระตุ้นสมาชิกสังคมของเราให้หันมามองความสำคัญทางด้านการแพทย์ เหมือนกับในอดีต เราเคยมีนักการแพทย์นามอุโฆษอย่างเช่น อิบนิซีนา, อิบนุรุชด , อิบนุฏฟัยล, ซึ่งเป็นบรมครูทางการแพทย์ อันเป็นที่ยอมรับของโลก มิเฉพาะสำหรับโลกมุสลิมเท่านั้น อัลกุรอาน และอัลหะดิษ ได้พรรณาถึงการศึกษา การใช้สติปัญญา การตริตรอง การพิจารณา การวิเคราะห์ การใช้วิจารณญาน มีถึง 300 กว่าแห่ง ซึ่งมากพอที่จะทำให้เราได้หันมามองสภาพจริงทางสังคมของเราว่า เราได้ซึมซับการเน้นทางด้านการศึกษา มาไว้ในสมองและชีวิตของเรามากน้อยเพียงใด ยังมีพวกเราอีกบ้างไหมที่คิดว่า การศึกษาแพทย์ ไม่ได้บุญ เพราะไม่ใช่วิชาศาสนา ยังมีบ้างไหมที่คิดว่าเรียนการแพทย์จะเกิดชีริกขึ้นในใจ ทำให้เกิดอาการกำแหงเทียบความสามารถกับอำนาจของอัลเลาะฮฺ (ซ.บ.) เราเคยประทับจิตประทับใจกับผู้มีความรู้ทางศาสนา ให้ความเคารพยกย่องอย่างสุดชีวิต ว่าพวกเขาสามารถชี้ทางสวรรค์ให้เราได้ พวกเขาทำให้เราข้ามโลกดุนยาไปสู่โลกอาคิเราะฮฺได้อย่างปลอดภัย ท่านครูทางศาสนาได้รับการยกย่องมากเข้า จึงเกิดอาการหลงตัวเอง คิดว่าตัวเองเป็นบุคคลสำคัญทางสังคม เป็นอภิสิทธิ์ชนที่ใคร ๆ ต้องยอมรับและเคารพ แล้วจำนวนหนึ่งของผู้รู้สายศาสนาก็ห้ำหั่นกันเองในปัญหาพิพาท เพื่อสำแดงเดชศักดาที่เหนือกว่ากัน ผู้รู้สายศาสนาที่ประพฤติตัวอย่างนี้หรือ ที่สังคมชื่นชม และนำมายกย่อง เขาทำประโยชน์อันใดแก่สังคมบ้าง นอกจากสร้างแต่ปัญหาสังคมอันไม่รู้จบ ผู้รู้สายศาสนาที่มีความประพฤติอันเหมาะสม เราก็ยินดีเคารพ ยกย่อง ถ้าเขานำความรู้ที่ยังประโยชน์มาสู่สมาชิกสังคม ผู้รู้สายศาสนาสมัยก่อนนั้น เขาจะมีวิชาการแพทย์ศึกษาด้วย แม้กระทั่งท่านเชคดาวุดปัตตานี ผู้เขียนหนังสือศาสนาด้วยภาษามลายูหลายเล่ม ก็ยังเคยเขียนวิชาการแพทย์ ชื่อ “อิลมุฏฏิบบิ” การศึกษาการแพทย์ ผมเห็นว่ามีความจำเป็นสำหรับสังคมเรามาก เมื่อเรามองสภาพจริงทางสังคมว่า เรายังขาดแคลนแพทย์อีกมาก เราจะต้องช่วยกันเพิ่มเติมในส่วนที่ขาดนี้ให้เต็มเพื่อคุณภาพสังคมของเรา สังคมที่มีคุณภาพจะต้องมีบุคลากรด้านต่าง ๆ ครบถ้วนสมบูรณ์ไม่ใช่มีแต่นักการศาสนา คนทำนา คนทำสวน ชาวประมง แต่จะต้องมีครูอาจารย์ แพทย์ ทนาย วิศวกร สถาปนิก ทหาร ตำรวจ นักบริหาร นักบัญชี นักวิทยาศาสตร์ นักการเมือง เป็นต้น และเราเคยสำรวจสถิติกันบ้างหรือเปล่าว่า สังคมของเรากำลังขาดแคลนบุคลากรกี่แขนง ผมเองเป็นคนเรียนอะไรไม่จบสักแขนง แต่ด้วยความห่วงใยสังคม ผมอยากจะเห็นสังคมของเรามีบุคลากรที่ครบครัน เพื่อสร้างคุณภาพแก่สังคมของเราอย่างสมบูรณ์แท้จริง สังคมของเราต้องมีบุคลากรครบทุกแขนงให้ได้ ด้วยความสนใจทางด้านการศึกษาของเราอย่างแท้จริง ทุกคนต้องมองการศึกษาให้เป็นภารกิจทางสังคมเหมือนกับที่อิสลามบัญญัติ ไม่ได้มองการศึกษาเป็นเพียงปัจจัยหนุนความอยู่รอดส่วนตัวหรือครอบครัวเพียงด้านเดียว การศึกษาทางการแพทย์นั้น ถือเป็นการศึกษาที่จำเป็นมากสำหรับสังคมของเรา หากสังคมใดขาดแคลนแพทย์ สังคมนั้นย่อมอ่อนแอ อัลกุรอานจึงบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องการแพทย์ไว้ตั้งแต่เรื่องกำเนิดมนุษย์ ถึงเรื่องโภชนาการ การรักษาพยาบาลโรคต่าง ๆ การเจ็บ การตาย บทบัญญัติที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นกระบวนการทางการศึกษาที่เกี่ยวกับการแพทย์ทั้งสิ้น “เชคอัซซัยยิดอัลอะละวี” เขียนไว้ว่า “อัลกุรอานเป็นที่มาแห่งความรู้ทั้งมวล เป็นที่เปิดเผยความลี้ลับทั้งหลาย และเป็นที่เก็บความลึกลับทั้งปวง เช่น วิชาการแพทย์ ตรรกวิทยา ภูมิศาสตร์ วิศวะ เรขาคณิต ดาราศาสตร์ พืชคณิต และอื่น ๆ” ความรู้เกี่ยวกับการแพทย์นั้น เริ่มต้นที่การรักษาสุขภาพ การบำรุงร่างกายให้แข็งแรง รักษามาตรฐานการบริโภคให้พอดีกับความต้องการของร่างกาย ซึ่งการได้มาซึ่งมาตรฐานดังกล่าวเพียงโองการเดียวจากอัลกุรอ่าน ซูเราะฮฺ อัลฟุรกอน อายะฮฺที่ 67 ว่า وَالَّذِينَ إِذَا أَنفَقُوا لَمْ يُسْرِفُوا وَلَمْ يَقْتُرُوا وَكَانَ بَيْنَ ذَلِكَ قَوَاماً ความว่า “และบรรดาผู้จ่ายอย่างไม่ฟุ่มเฟือยและไม่ตระหนี่และเขายืนอยู่ระหว่างนั้น” อัลกุรอานโองการถึงเรื่องการคัดเลือกอาหาร ซึ่งต้องมีคุณสมบัติ 2 ประการ คือ 1. หะล้าล (เป็นสิ่งที่ศาสนาอนุมัติ) 2. ฏอยยิบัน (เป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางอาหาร) ซึ่งหลักทางด้านโภชนาการเช่นนี้ ย่อมถือได้ว่าเป็นบทเริ่มต้นของการแพทย์ นอกจากนั้นอิสลามยังบัญญัติเกี่ยวกับโรคภัย ไข้เจ็บ การรักษาโรค การป้องกันโรคระบาด การบำบัดทางกาย (ชิฟาอุนลินนาส) การบำบัดทางใจ (ชีฟาอุนลิมีฟิซซุดูร) ในการส่งเสริมการศึกษาทางการแพทย์ ผมเห็นว่า ทุกท้องถิ่นควรส่งเสริมกันอย่างจริงจังและเป็นระบบ ครอบครัวใดที่มีลูกปัญญาดี ควรเตรียมพื้นฐานการศึกษาระดับพื้นฐานให้แน่น เพื่อเตรียมการที่จะเรียนในระดับสูง จนสามารถเรียนแพทย์ได้ โดยทั่วไปการศึกษาแพทย์ต้องใช้คนไอคิวสูง และคนไอคิวสูงที่ครอบครัวฐานะดี ย่อมไม่มีปัญหาอะไรเลย สามารถเตรียมพร้อมที่จะเรียนได้ทันที แต่เด็กไอคิวสูงสมองดีที่อยู่ในครอบครัวที่ยากจนนี่สิ ที่น่าเป็นห่วง ผมคิดว่าทางท้องถิ่นต่าง ๆ น่าจะถือเป็นสาระสำคัญ ต้องพยายามรณรงค์หาทุนให้เด็กได้มีโอกาสเรียนให้มาก เหมือนกับอัลเลาะฮฺได้ส่งเพชรล้ำค่ามาให้ แต่เรากลับไม่สนใจปล่อยให้เพชรนั้นจมอยู่ในโคลนตม หรือมีสังคมอื่นเขาแย่งไปครอบครอง ที่ผมกล่าวว่าสังคมอื่นแย่งเพชรของเราไปครอบครองนั้น มีตัวอย่างอยู่มากมาย เมื่อองค์การทางศาสนาอื่นเขาจัดตั้งทุนการศึกษาไว้ถึงระดับปริญญา ปรากฏว่าในสังคมมุสลิมของเราไม่มีทุนถาวรลักษณะเช่นนี้ ดังนั้นเด็กมุสลิมที่ต้องการเรียน มีปัญญาดี ก็ต้องแสวงหาทุน ด้วยการสอบชิงทุนจากองค์การอื่น เมื่อได้ทุนจากองค์การอื่น ความรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณก็เกิดขึ้นอย่างไม่รู้จบสิ้น และเป็นที่น่าละอายที่คนของเราต้องวิ่งไปพึ่งพิงองค์การอื่น ผมมั่นใจว่าคนรวย ๆ ในสังคมของเรามีอยู่มากมาย เงินการกุศล เงินซะกาตมีอยู่ล้นเหลือ แต่ไม่ทราบว่าเงินเหล่านั้นหายไปไหน ยังมีเงินอาหรับมาบริจาคในเมืองไทยอีกมหาศาล เป็นที่น่าเสียดาย เงินเหล่านั้นจมอยู่ในกองอิฐกองทรายของสิ่งก่อสร้าง ที่สร้างขึ้นอวดกัน สร้างขึ้นมาแล้วบางสถาบันยังไม่รู้จะทำกิจกรรมอะไร เงินที่สูญเสียไปอย่างนี้น่าเสียดาย และยังมีเงินประเภทที่มลายไปกับกระเพาะอาหารราคาแพง ๆ เงินที่สลายไปกับการทำบุญอย่างฟุ้งเฟ้อแข่งขันกัน เงินที่กระเซ็นกระสายไปกับความสนุกสนานบันเทิงเริงรมย์ หากจะช่วยกันเสียสละเงินมาใช้ในกิจการการศึกษา ด้วยการตั้งทุนการศึกษาถึงระดับปริญญา ให้เป็นที่มุ่งหวังได้สำหรับสมาชิกสังคมของเรา เป็นหลักค้ำประกันความผิดหวังทางการศึกษา หรือเป็นเงินทุนประกันสังคมทางด้านการศึกษา ผมว่าไม่นานสังคมของเราจะมีคนจบปริญญาอย่างเพียงพอที่จะช่วยแก้ไขปัญหาสังคม และแน่นอนในจำนวนนั้น จะต้องมี นักการแพทย์, วิศวกร, สถาปนิก, เราไม่ภูมิใจหรือที่สังคมของเรามีคุณภาพเต็มเปี่ยมด้วยบุคลากรที่มีการศึกษา หรือเราพอใจเพียงให้สังคมของเรามีคนทำงานระดับภารโรง นักการ คนกวาดขยะ ยาม คนขับรถ ผมไม่ได้ดูถูกคนขับรถ ยาม หรือภารโรง แต่ผมหมายความว่า เรายังขาดบุคลากรที่จำเป็นสำหรับสังคมของเราอีกหลายแขนง แขนงภารโรง แขนงขับรถ ยาม ก็จำเป็นสำหรับสังคม แต่บุคลากรในแขนงอื่นก็ต้องมีด้วย และต้องมีในจำนวนที่พร้อมจะร่วมกันพัฒนาสังคมให้เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็วและมั่นคง การนับถือศาสนาอิสลาม มิได้หมายความเพียงการทำบุญทำทานกันไปวัน ๆ ที่จริงการทำบุญตามความมุ่งหมายของอิสลามนั้น มุ่งไปที่การแก้ไขปัญหาสังคมมากกว่าการบริกรรม แม้เราจะต้องการผลบุญจากพิธีกรรม จากการดุอา จากการซิกิร แต่อิสลามก็สอนให้เราทำบุญด้วยการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของสังคม อิสลามสอนให้เราจ่ายซะกาต สอนให้เราช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก สอนให้เราช่วยเหลือคนเดือดร้อน สอนให้เราสนับสนุนการลงทุน ให้เราสนับสนุนการศึกษา ให้เราสนับสนุนการร่วมหุ้นทำธุรกิจ และอื่น ๆ อีกมากมาย อิสลามมิใช่ศาสนาที่สอนให้คนงมงาย มิใช่ศาสนาที่มุ่งรีดนาทาเร้นผู้คน เพื่อความอยู่รอดของนักบวช เพราะอิสลามไม่มีนักบวช อิสลามไม่ได้สั่งให้เราสร้างมัสยิดเสียใหญ่โตสวยงามราคามหาศาล แต่ผู้คนถูกปล่อยให้ยากจน มัสยิดอ้วน คนผอม แบบนี้อิสลามไม่ได้สอน มัสยิดในสมัยท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม นั้น ไม่ได้สวยงามอะไร เพราะอิสลามมุ่งพัฒนาคน สร้างคน เปลี่ยนคน มากกว่าที่จะสร้างวัตถุ ผมขอวิงวอนท่านที่มีเงินมาก ๆ หันมาช่วยสร้างคน พัฒนาคุณภาพและคุณธรรมของคนกันเถิด การจะสร้างคนนั้น ต้องสร้างกันที่สมองของเขา ถ้าสมองไร้ความรู้ ขาดการศึกษา ส่วนอื่น ก็จะไม่ได้รับการพัฒนา แต่ถ้าสมองได้รับการพัฒนา ส่วนอื่น ๆ ก็ต้องพัฒนาตามไปด้วย อัลกุรอานเมื่อบัญญัติถึงการเปลี่ยนแปลงสังคม ก็ย้ำให้เริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนแปลงคน ดังระบุในซูเราะฮฺอัรเราะอฺดุ อายะฮฺที่ 12 ความว่า إِنَّ اللّهَ لاَ يُغَيِّرُ مَا بِقَوْمٍ حَتَّى يُغَيِّرُواْ مَا بِأَنْفُسِهِمْ ความว่า “แท้จริงอัลเลาะฮฺไม่เปลี่ยนแปลงสภาพของสังคมใด จนกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนสภาพตัวของพวกเขาเอง” บทความโดย: อาจารย์ มัรวาน สะมะอุน คัดลอกจาก: สมาคมแพทย์มุสลิมฯ ดาบแห่งอัลเลาะห์ อะคาเดมี่
รถส่งโคคาโคล่าในยุคแรกๆ ค.ศ.1910 (พ.ศ.2453)
จุดเริ่มต้นและความทะเยอะทะยาน
เอลี โคเฮน สายลับมอสสาดที่สามารถแทรกซึมเข้าไปสู่วงในของรัฐบาลซีเรียจนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าที่ปรึกษา รมว.กลาโหมของซีเรีย และเกือบจะได้เป็น รมช.กลาโหม เอลียาฮู เบน-ชาอูล โคเฮน หรือโดยทั่วไปรู้จักในชื่อ เอลี โคเฮน เป็นสายลับชาวอิสราเอล เขาเป็นที่รู้จักจากงานสืบราชการลับของเขาในซีเรียเมื่อปี ค.ศ.1961 - 1965 ซึ่งเขาพัฒนาความสัมพันธ์ทางการเมืองและทางการทหารกับซีเรียจนได้เป็นหัวหน้าที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของซีเรีย ต่อมาเขาถูกเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของซีเรียจับได้ว่าเขาเป็นสายลับและถูกประหารชีวิตโดยการแขวนคอในปี ค.ศ. 1965 โคเฮนนั้นมีส่วนอย่างมากในชัยชนะของอิสราเอลในสงครามหกวันในปี 2019 ปฏิบัติการของเขาได้ถูกนำมาทำเป็นมินิซีรีย์ The Spy ทางเน็ตฟลิกซ์ ชีวิตในวัยเด็กและการทำงาน เอลี โคเฮน เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 1924 ที่เมืองอะเล็กซานเดรีย ราชอาณาจักรอียิปต์ ซึ่งพ่อของเขาย้ายมาจากเมืองอะเลปโปในปี 1914 ในเดือนมกราคมปี 1947 เขาเลือกที่จะถูกเกณฑ์เป็นทหารอียิปต์เพื่อเป็นทางเลือกในการจ่ายเงินทั้งหมดที่ชาวยิววัยหนุ่มควรจะต้องจ่าย ต่อมาในปีนั้นเขาออกจากมหาวิทยาลัยและเริ่มเรียนที่บ้านหลังจากเผชิญกับการคุกคามจากกลุ่มภราดรภาพมุสลิม ในหลายปีต่อหลังจากการก่อตั้งประเทศอิสราเอล ชาวยิวจำนวนมากได้อพยพออกจากอียิปต์ แม้ว่าพ่อแม่และพี่น้องสามคนของเขาจะเดินทางไปอิสราเอลในปี 1949 โคเฮนยังคงศึกษาต่อจนจบการศึกษาด้านอิเล็กทรอนิกส์และประสานงานกิจกรรมของชาวยิวและไซออนนิสม์ โคเฮนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการของอิสราเอลในประเทศต่างๆในช่วงทศวรรษที่ 1950 ถึงแม้รัฐบาลอียิปต์ไม่สามารถยืนยันและแสดงหลักฐานว่าเขามีส่วนร่วมในขบวนการโกเชนที่ช่วยนำพาชาวยิงอียิปต์อพยพมาที่อิสราเอล หลังจากวิกฤตการณ์คลองสุเอซ รัฐบาลอียิปต์ได้ดำเนินการข่มเหงชาวยิวและชาวยิวถูกขับไล่ออกจากโรงเรียนหลายแห่ง ในเดือนธันวาคมปี 1956 โคเฮนถูกบังคับให้ออกนอกประเทศ ด้วยความช่วยเหลือของหน่วยงานของชาวยิว เขาได้อพยพไปยังอิสราเอลและถึงท่าเรือของอิสราเอลในไฮฟาโดยเรือเดินทางจากเนเปิลส์ อิตาลี ในปี 1957 โคเฮนถูกคัดเลือกโดยกองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอลและได้ดำรงตำแหน่งในหน่วยสืบราชการลับทางทหารซึ่งเขาได้กลายเป็นนักวิเคราะห์ข่าวกรอง เขานั้นเบื่องานของเขาและเขาพยายามที่จะเข้าร่วมกับมอสสาด โคเฮนรู้สึกผิดหวังเมื่อมอสสาดปฏิเสธเขาและเขาได้ลาออกจากหน่วยข่าวกรองทางทหาร สองปีต่อมาเขาทำงานเป็นพนักงานเก็บเอกสารในสำนักงานประกันของในเทลอาวีฟ และแต่งงานกับ Nadia Majald ผู้อพยพชาวอิรักเชื้อสายยิว ในปี 1959 พวกเขามีลูกสามคนคือโซฟี,ไอริท และไช เขาและครอบครัวตั้งรกรากอยู่ในบัตยัม มอสสาดได้รับโคเฮนเข้าร่วมหลังจากที่กำลังมองหาตัวแทนพิเศษเพื่อแทรกซึมเข้าไปในรัฐบาลซีเรีย จากนั้นเขาก็ปลอมตัวเป็นนักธุรกิจชาวซีเรียที่เดินทางกลับประเทศหลังจากอยู่ที่อาร์เจนตินา โคเฮนย้ายไปอาร์เจนตินาในปี 1961 การแทรกซึมและการสร้างความเชื่อมั่น กลยุทธ์ที่โคเฮนใช้สร้างความสัมพันธ์กับนักการเมืองระดับสูงของซีเรีย เจ้าหน้าที่ทหาร ผู้มีอิทธิพลในวงการสาธารณะ และการทูตต่างประเทศนั้นได้รับการวางแผนอย่างรอบคอบโดยมอสสาด โคเฮนยังคงใช้ชีวิตทางสังคมของเขาเช่นเดียวกับในอาร์เจนตินา การใช้เวลาอยู่ในร้านกาแฟและฟังข่าวการเมืองซุบซิบ นอกจากนี้เขายังจัดปาร์ตี้ที่บ้าน ซึ่งกลายเป็นองค์กรนอกกฎหมายสำหรับรัฐมนตรีอาวุโสของซีเรียนักธุรกิจและคนอื่น ๆ ใช้อพาร์ทเมนท์ของโคเฮนสำหรับการมั่วสุมกับผู้หญิงหลายคนรวมทั้งเลขาธิการกระทรวงกลาโหม แอร์โฮสเตสและนักร้องชื่อดัง เจ้าหน้าที่ระดับสูงที่มึนเมาพูดคุยได้อย่างอิสระในเรื่องแผนการทำงานและแผนการของกองทัพ โคเฮนผู้ซึ่งแกล้งทำเป็นมึนเมายังคงมีสติและฟังอย่างระมัดระวังนอกเหนือจากนี้ยังมีการให้เงินกู้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ บางแหล่งข่าวอ้างว่าเขาได้สร้างมิตรภาพที่ดีกับอามินอัล - ฮาฟิซ ข่าวกรองที่เก็บรวบรวม โคเฮนให้ข้อมูลข่าวสารมากมายแก่กองทัพอิสราเอลในช่วงสี่ปี (1961-1965) โคเฮนส่งข้อมูลลับต่างๆไปยังอิสราเอลโดยทางวิทยุ จดหมายลับและบางครั้งได้ส่งคนไป และเขายังได้แอบเดินทางไปอิสราเอลสามครั้ง ความสำเร็จที่โด่งดังที่สุดของเขาคือการไปที่ที่ราบสูงโกลันของเขา ซึ่งเขารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับป้อมปราการของซีเรียที่นั่น แกล้งทำเป็นเห็นใจทหารซีเรียที่ถูกแสงแดดโดยปลูกต้นไม้ไว้ทุกตำแหน่ง ซึ่งต้นไม้นี้ถูกใช้เป็นเครื่องหมายกำหนดเป้าหมายโดยทหารอิสราเอลในช่วงสงครามหกวันและช่วยให้อิสราเอลสามารถล้อมที่ราบสูงโกลันได้ภายในสองวันด้วยความคล่องตัว ความลับถูกเปิดเผย พันเอกคนใหม่ที่ได้รับการแต่งตั้งจากซีเรียไม่ไว้วางใจใครและไม่ชอบโคเฮน ด้วยเหตุนี้โคเฮนจึงกลัวว่าจะใครรู้ว่าเขาเป็นสายลับจึงขอลาออกจากงานของเขาในซีเรีย อย่างไรก็ตามหน่วยสืบราชการลับอิสราเอลขอให้เขากลับไปยังซีเรียอีกครั้ง ก่อนออกเดินทางโคเฮนยืนยันกับภรรยาของเขาว่าจะเดินทางไปแค่ครั้งเดียวก่อนที่เขาจะกลับมาอย่างถาวร ในเดือนมกราคมปี 1965 ความพยายามของซีเรียในการสร้างกำแพงกันคลื่นได้เกิดขึ้น การใช้เครื่องมือการติดตามของโซเวียตและการช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญจากโซเวียต ช่วงเวลาแห่งความเงียบของวิทยุก็เป็นที่สังเกตและหวังว่าจะสามารถระบุการส่งข้อมูลที่ผิดกฎหมายได้ หลังจากที่มีการตรวจพบและแทรกแซงคลื่นวิทยุจำนวนมากเมื่อวันที่ 24 มกราคม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของซีเรียบุกเข้าไปในอพาร์ตเมนต์ของโคเฮนที่ซึ่งเขาถูกจับในช่วงที่เขากำลังจะกลับไปยังอิสราเอล โคเฮนถูกสอบปากคำและทรมานซ้ำๆ หลังจากการพิจารณาคดีของศาลทหาร เขาถูกตัดสินว่ามีความผิดในการสอดแนมและถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอภายใต้กฎอัยการศึก Cr: วิกิพีเดีย https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%B5_%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%AE%E0%B8%99 ***เกร็ดความรู้ วิกฤตการณ์คลองสุเอซเป็นเหตุการณ์สำคัญหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่แสดงให้เห็นว่า อังกฤษ และ ฝรั่งเศสไม่ได้อยู่ในฐานะมหาอำนาจโลกดังเช่นก่อนสงครามโลกครั้งที่สองอีกต่อไปแล้ว โดยมีสหรัฐก้าวขึ้นมาแทนที่ทั้งสองแต่เพียงผู้เดียว และ ปฎิบัติการทางทหารใดๆที่สหรัฐไม่เห็นด้วยจะสำเร็จได้ยาก โดยเฉพาะอังกฤษที่หลังจากเหตุการณ์นี้แล้วก็ "ผูกติด" กับสหรัฐไปในทุกเวที และไม่เคยมีปฎิบัติการทางทหารใดๆของอังกฤษที่ไม่แจ้งให้สหรัฐรู้ล่วงหน้าก่อนอีกเลย ทางด้านฝรั่งเศสนั้นก็"งอน"สหรัฐไปอีกหลายปี 😅😅