Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
วิรุฬหก
•
ติดตาม
16 มิ.ย. 2020 เวลา 14:15 • ปรัชญา
"ปรัชญาสงคราม" ในทัศนะแนวคิดประโยชน์นิยม
ถ้ากล่าวถึงปรัชญาสงคราม ผู้อ่านหลายท่านคงคงนึกถึงแนวคิดตะวันออก ไม่ว่าจะปรัชญาจีนอย่างเช่น ตำราพิชัยสงชัยสงครามของซุนวู จากสามก๊ก ขงเบ้ง หรือแม้แต่ โจวโฉ และสุมาอี้ หากเป็นปรัชญาอินเดีย ก็จะนึกถึงคัมภีร์ภัควัทคีตา เป็นต้น
เครดิตภาพ: https://gamingdose.com
แต่ทั้งนี้ ปรัชญาตะวันตกสายหนึ่งที่ถือว่าเป็นแนวคิดที่ร่วมสมัย และคิดว่าครอบคลุม นำมาวิเคราะห์วิธีคิดในปรัชญาสงครามที่น่าสนใจ และมีอิทธิพลต่อความนึกคิดของคนในสังคมที่จะนำไปใช้ทั้งปัจเจกบุคคลและส่วนรวมได้นั่นคือ ปรัชญาประโยชน์นิยม หรือ อรรถประโยชน์ ซึ่งเคยเขียนและโพสต์ภาพรวมแนวคิดปรัชญาสายนี้ไว้ ในBlockdit แล้ว ผู้อ่านท่านใดสนใจก็ตามอ่านได้ เดี๋ยวจะแปะลิ้งค์ไว้ให้ ท้ายบทครับ
ปรัชญาประโยชน์นิยม (Utilitarianism) เป็นทรรศนะทางจริยศาสตร์ที่ถือเอาประโยชน์สุขเป็นเกณฑ์ตัดสินความผิดถูก ชั่วดี กล่าวคือ การกระทำที่ก่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุดแก่คนจำนวนมากที่สุด ถือเป็นการกระทำที่ดี และเนื่องจากประโยชน์นิยมเป็นจริยศาสตร์ที่เน้นเป้าหมาย (Ends Ethics)
จอห์น สจ๊วต มิลล์ (John Stuart Mill)นักปรัชญาประโยชน์นิยม
พิจารณาความถูกผิดของการกระทำ ที่ผลของการกระทำโดยไม่นำตัวการกระทำมา ตัดสิน ไม่ว่าการกระทำนั้นจะประกอบด้วยเจตนาดีหรือไม่ก็ตาม
สาระสำคัญ ของประโยชน์นิยมถือว่าความสุขเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ ความสุขจึงเป็นตัวตัดสินว่าการกระทำดี ไม่ดี ควร ไม่ควร ถูกหรือผิด ดังนั้น ถ้าการกระทำใดที่กระทำแล้ว ให้ประโยชน์สุขมากกว่าก็ถือว่าการกระทำนั้นดีกว่า และควรกระทำมากกว่า อนึ่ง ประโยชน์สุขในที่นี้มิได้หมายถึงประโยชน์สุขของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่หมายถึงประโยชน์สุขของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
“หลักมหสุข” (The Greatest Happiness Principle)
“ความสุขที่มากที่สุด ของคนจำนวนมากที่สุด” (Greatest Happiness of the Greatest Number) ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงโทษหรือความทุกข์ที่จะเกิดขึ้นด้วย โดยทุกข์หรือโทษที่เกิดขึ้นต้องไม่มากกว่าประโยชน์ที่ได้รับ
ในบางกรณีที่ต้องเลือกกระทำ เนื่องจากทุกทางเลือกนั้นล้วนแต่ก่อให้เกิดความทุกข์ ก็ให้ถือว่าการกระทำที่ก่อให้เกิดความทุกข์น้อยกว่าเป็นการกระทำที่ให้ความ สุขมากกว่าทางเลือกอื่น ๆ
เครดิตภาพ: https://www.thaihealth.or.th
การพิจารณาความถูกผิดจากผลของการกระทำโดยพิจารณาจากประโยชน์ที่เกิดตามมาจาก การกระทำเฉพาะในแต่ละครั้งนั้น ทำให้เกิดปัญหาว่าศีลธรรมจะมีลักษณะสัมพัทธ์ หรือสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ตามสถานการณ์
ทั้งนี้เพราะว่าการกระทำอย่างเดียวกันในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน อาจให้ผลที่แตกต่างกัน อันจะทำให้ค่าความดีความชั่วของการกระทำอย่างเดียวกันต่างกัน
ประโยชน์นิยมที่สร้างปัญหาชนิดนี้เรียกว่า
“ประโยชน์นิยมเชิงการกระทำ” (Act Utilitarianism) ซึ่งให้ผู้กระทำพิจารณาผลที่ตามมาจากการกระทำเป็นกรณี ๆ ไป
ดังนั้น นักประโยชน์นิยมจึงได้พัฒนา “ทฤษฎีประโยชน์นิยมเชิงกฎ” (Rule Utilitarianism) ขึ้นมา
ตามทฤษฎีนี้ ผู้กระทำจะไม่ตัดสินความถูกผิดของการกระทำโดยพิจารณาจากผลที่เกิดขึ้นของการ กระทำแต่ละครั้ง แต่จะดูผลที่เกิดขึ้นถ้าสมมติให้การกระทำนั้นเป็นหลักปฏิบัติทั่วไป หรืออีกนัยหนึ่ง ผู้กระทำตามหลักนี้แล้ว ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจะนำมาซึ่งมหสุขหรือไม่
เจเรอมี เบนแธม (Jeremy Bentham) นักปรัชญาประโยชน์นิยม
เพื่อให้เห็นความแตกต่างระหว่างประโยชน์นิยมเชิงการกระทำ และประโยชน์นิยมเชิงกฎ จะขอยกตัวอย่างต่อไปนี้
สมมติว่าตำรวจคนหนึ่งจับผู้ร้ายมาได้ และแน่ใจว่าถ้านำไปขึ้นศาลตามกระบวนการยุติธรรม ผู้ร้ายก็คงถูกปล่อยตัวดังเช่นที่ผ่านมา เพราะไม่มีใครกล้าเป็นพยานเอาผิด
ถ้าตำรวจคนนี้ยึดถือประโยชน์นิยมเชิงการกระทำ ก็จะพิจารณาว่าถ้ายิงผู้ร้ายทิ้งกลางทางซะ จะก่อให้เกิดประโยชน์สุขมากกว่าที่จะนำตัวคนร้ายไปดำเนินคดีหรือไม่ ว่าง่ายๆคือตั้งตัวเป็นศาลเตี้ยซะเลย
ถ้าคำตอบคือใช่ การยิงคนร้ายทิ้งก็ถือว่าถูกต้อง!
แต่ถ้าเห็นว่าจะนำทุกข์มาให้มากกว่า เช่น แก๊งของคนร้ายอาจจะมาแก้แค้นตำรวจ ก็จะต้องตัดสินว่า"ไม่ควรยิงคนร้าย"
เครดิตภาพ: http://oknation.nationtv.tv
แต่ถ้าตำรวจคนนี้ยึดถือประโยชน์นิยมเชิงกฎ
เขาก็จะพิจารณาว่าจะเกิดมหสุขตามมาหรือไม่หากตั้งเป็นกฎให้ใช้ร่วมกันว่า "เมื่อใดที่ตำรวจคนใดจับผู้ร้ายได้ โดยแน่ใจว่าคนร้ายผิดจริง และถ้านำตัวไปดำเนินคดีแล้วผู้ร้ายจะถูกปล่อยให้มาทำความเดือดร้อนแก่ชาวบ้านอีก
ตำรวจคนนั้นก็จึง"ยิงคนร้ายทิ้ง"
ในกรณีนี้มีผู้มองว่าหากให้อำนาจตำรวจในการพิจารณาความผิดเองอาจเกิดความไม่ สงบขึ้นในสังคมได้
ดังนั้น จึงห้ามยิงทิ้งคนร้ายในทุกกรณี ไม่ว่าการยิงทิ้งแต่ละครั้งจะนำมาซึ่งมหสุขหรือไม่ก็ตาม...
ในการพิจารณาเกี่ยวกับประเด็นที่ว่า มีสงครามใดบ้างหรือไม่ที่ถือได้ว่าชอบธรรม
ระหว่างประโยชน์นิยมเชิงการกระทำ ประโยชน์นิยมเชิงกฎจะให้คำตอบดังนี้
ประโยชน์นิยมเชิงการกระทำจะเห็นว่า การทำสงครามครั้งหนึ่ง ๆ จะถูกต้องก็ต่อเมื่อการทำสงครามนั้น ๆ น่าจะนำมาซึ่งมหสุข
ดังนั้น ประเด็นเรื่องมหสุขจึงเป็นเงื่อนไขสำคัญในการพิจารณาการเริ่มทำสงครามแต่ละครั้ง และยังกำหนดลักษณะการทำสงครามแต่ละครั้ง
ทั้งนี้ยังรวมถึงการกระทำแต่ละอย่างแต่ละครั้งในการทำสงครามด้วย การเริ่มสงครามแต่ละครั้ง และลักษณะการทำสงครามแต่ละครั้ง รวมถึงการกระทำแต่ละอย่างแต่ละครั้งในการทำสงคราม ต่างก็มีค่าทางจริยธรรมแตกต่างกันไปตามแต่ผลที่จะได้รับ
ดังนั้น การรุกรานผู้อื่นก็สามารถเป็นสงครามที่ถูกต้องได้หากนำมาซึ่งประโยชน์สูงสุด แก่คนที่เกี่ยวข้องจำนวนมากที่สุด
เครดิตภาพ: https://gamerism.co
การใช้อาวุธเคมีหรืออาวุธชีวภาพซึ่งมีผลการทำลายร้ายแรง หรือการโจมตีโรงพยาบาลก็สามารถทำได้ หากนำมาซึ่งมหสุข หรือแม้แต่การทรมานเชลยศึกก็สามารถทำได้หากไม่มีผลเสียมากไปกว่าผลดี
ประโยชน์นิยมเชิงกฎจะตัดสินว่า การทำสงครามครั้งหนึ่ง ๆ ถูกต้องหรือไม่ด้วยการพิจารณาว่าการทำสงครามนั้น ๆ จะเกิดมหสุขตามมาหรือไม่หากตั้งเป็นกฎให้ใช้ร่วมกัน
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าสมมติว่ามีการรุกราน ประเทศที่ถูกรุกรานต้องเริ่มพิจารณาด้วยการตั้งให้เป็นกฎว่า เมื่อใดที่ประเทศใดถูกรุกราน ประเทศนั้นควรทำสงครามเพื่อป้องกันตัว
จากนั้นต้องพิจารณาว่าหากกฎนี้เป็นที่บังคับใช้จริงทั่วโลกจะนำมาซึ่งมหสุข หรือไม่ สมมุติว่าจะนำมาซึ่งมหสุข ก็จะสรุปว่าสามารถทำสงครามเพื่อป้องกันตัวได้
เครดิตภาพ: https://www.movieability.com
ในทางตรงกันข้าม สมมุติว่าประเทศหนึ่งคิดจะรุกรานประเทศเพื่อนบ้านเพื่อแย่งชิงทรัพยากร ธรรมชาติ ประเทศนั้นต้องเริ่มการพิจารณาด้วยการสมมุติให้เป็นกฎว่าประเทศใดๆ ในโลกสามารถรุกรานประเทศอื่นเพื่อแย่งชิงทรัพยากรได้
ผลการพิจารณาอาจจะเป็นว่า หากทุกประเทศทำเช่นนี้ได้แล้วโลกจะประสบกับความทุกข์มากกว่า จึงต้องสรุปว่าการทำสงครามใด ๆ ด้วยเหตุผลนี้ถือว่าไม่ชอบธรรม...
ซึ่งหลักการดังกล่าวของประโยชน์นิยมเชิงกฎยังครอบคลุมถึงวิธีปฏิบัติต่อนักโทษ เช่น การทรมานเชลยศึก หรืออาวุธที่ใช้ในการทำสงคราม เช่นอาวุธเชื้อโรค อาวุธเคมี เป็นต้น
สำหรับประโยชน์นิยมเชิงกฎ คำตอบเกี่ยวกับความชอบธรรมของการทำสงครามลักษณะหนึ่ง ๆ เช่น การป้องกันตัว หรือการรุกราน จะคงที่กว่ากรณีที่ใช้ประโยชน์นิยมเชิงการกระทำ
ยกตัวอย่างเช่น สำหรับประโยชน์นิยมเชิงกฎ การทำสงครามเพื่อรุกรานจะทำไม่ได้ทุกกรณี ตราบที่พิจารณาแล้วว่าหากเป็นกฎที่คนใช้ปฏิบัติกันทั่วโลกแล้วจะไม่มีมหสุข
ในขณะที่การใช้เกณฑ์ของประโยชน์นิยมเชิงการกระทำจะตัดสินว่า
บางครั้งการรุกรานก็ชอบธรรม บางครั้งก็ไม่ชอบธรรม แล้วแต่เงื่อนไขในแต่ละครั้งว่าจะนำมาซึ่งมหสุขหรือไม่ นั่นเอง
รักกันไว้เถิดครับ เผ่าพันธ์ุเดียวกัน
ทิ้งท้ายกับ วลีเด็ดของสุมาอี้ ผู้พิชิตแห่งสามก๊ก เขาว่างี้
สุมาอี้ (Sima Yi, 司马懿)
อันธรรมดาการสงครามนี้มีอยู่ห้าประการ
- ถ้าเห็นว่าจะต้านทานได้ก็ให้คิดอ่านออกมารบพุ่งจงสามารถ
- ถ้าเห็นสู้มิได้ก็อย่าออกมารบพุ่ง ให้รักษาเมืองจงมั่นคง
- ถ้ารักษาเมืองไว้ไม่ได้ให้หนีเอาตัวรอด
- แม้ไม่หนีก็ให้ออกมาอ่อนน้อมโดยดีก็จะมีชีวิตสืบไป
- ถ้าไม่ออกมาอ่อนน้อมโดยดีก็ควรที่จะตาย
ได้แง่คิดดีซึ่งคิดว่าเอาไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ชีวิตเราได้ครับ
ปรัชญาประโยชย์นิยม 3ตอน
https://www.blockdit.com/articles/5ed66525f8ed0e1b9a9801ae
https://www.blockdit.com/articles/5ed672c3cb11b952ec7e0346
https://www.blockdit.com/articles/5ed7433d713f890cbc3524c1
แหล่งอ้างอิง
1. ดวงเด่น นุเรมรัมย์ุ์, พุทธจริยศาสตร์กับแนวคิดเรื่องสงครามที่เป็นธรรม.
2. ดำรงค์ วิเชียรสิงห์, ปัญหาจริยธรรมที่เกี่ยวกับการทำสงคราม.
3. ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน.
4. วิทย์ วิศทเวทย์. (2535). จริยศาสตร์เบื้องต้น มนุษย์กับปัญหาจริยธรรม.
5. ม.สุโขทัยธรรมาธิราช. เอกสารการสอนชุดวิชามนุษย์กับอารยธรรม
-วิรุฬหก-
6 บันทึก
9
13
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ปรัชญาประโยชน์นิยม Utilitarianism
6
9
13
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย