6 มิ.ย. 2020 เวลา 13:15 • ธุรกิจ
•การวางแผนประกันชีวิต•
กรมธรรม์ประกันชีวิต เป็นสัญญาทางการเงินแบบหนึ่งคล้ายกับการทำพินัยกรรม เพื่อส่งมอบเงินสด ให้กับผู้รับประโยชน์ที่มีชื่ออยู่ในกรมธรรม์ตามที่เราประสงค์ โดยไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการสืบหาทายาทโดยธรรม เหมือนการส่งมอบมรดกโดยทั่วไป
การทำกรมธรรม์ประกันชีวิตเพื่อการโอนย้ายความเสี่ยง มีงบการชำระเบี้ยที่จำกัด เพราะต้องจัดสรรงบประมาณอย่างเหมาะสมร่วมกับแผนการเงินด้านอื่นๆ ทั้งออมเงิน เพื่ออนาคต และ ลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงย ถ้าจ่ายเบี้ยประกันมากไป ก็จะเสียโอกาสในการออม การลงทุน เพื่อสร้างความมั่งคั่ง แต่ถ้าไม่ป้องกันความเสี่ยงเอาไว้เลย เงินเก็บที่สร้างมาก็อาจหมดไปในพริบตาจากเหตุไม่คาดฝันได้
รวมถึงประกันชีวิตจัดว่าเป็นแผนระยะยาว เมื่อเริ่มโครงการแล้วใช้เวลาชำระเบี้ยหลายปี หากจะเปลี่ยนแผนในระยะสั้น ก็จะไม่คุ้มค่า จึงควรที่จะต้องตัดสินใจโดยผ่านการวางแผนอย่างรอบคอบ
www.insuredlover.com
💡กรมธรรม์ประกันชีวิต จะแบ่งง่ายๆเป็น 2 วัตถุประสงค์ คือ กรมธรรม์แบบเน้นคุ้มครอง กับ กรมธรรม์แบบเน้นออม
👉กรมธรรม์ที่เน้นคุ้มครอง จะให้ความคุ้มครองสูง จ่ายเบี้ยถูก เบี้ยเป็นแบบจ่ายทิ้งไป เรียกว่าแบบชั่วระยะเวลา (Term Life) หรือ รับเงินครบสัญญาตอนอายุ 90 หรือ 99 ปี ที่เรียกกันว่าแบบตลอดชีพ (Whole Life) ผู้เอาประกันไม่ได้คาดหวังเงินกลับคืนมาให้กับตัวเอง แต่เพื่อเตรียมเงินก้อนสำหรับส่งมอบให้กับคนข้างหลัง โดยไม่ต้องใช้เงินเท่ากับจำนวนทุนประกันนั้นจริงๆ
👉กรมธรรม์ที่เน้นออม หรือ เรียกว่า แบบประกันออมทรัพย์ เป็นที่นิยมกันอย่างมากในปัจจุบันเพราะคนส่วนใหญ่ อยากได้ทั้งความคุ้มครองเพื่อคนข้างหลัง และ ผลตอบแทนให้กับตัวเองที่มองเห็นว่า กี่ปี จะได้เงินกลับมาเท่าไหร่ หากอยู่ครบสัญญา แต่แบบประกันที่เน้นมาทางออม จะให้ความคุ้มครองที่ต่ำกว่าแบบตลอดชีพและแบบชั่วระยะเวลา ในจำนวนเบี้ยที่เท่ากัน เนื่องจากเงินส่วนใหญ่ต้องถูกนำไปลงทุนเพื่อหาผลตอบแทน ไม่ได้นำไปซื้อความเสี่ยงเป็นหลัก เหมือนแบบตลอดชีพและชั่วระยะเวลา
ดังนั้น หากทำประกันชีวิตโดยมีการวางแผน ควรทราบปัจจัยสำคัญ 2 ประการ ก่อนตัดสินใจซื้อ
1.ทุนประกันที่ครอบคลุมภาระหนี้สินและมูลค่าความสามารถ
2.ความสามารถในการชำระเบี้ยประกัน
คนส่วนใหญ่จะเน้นทุนประกันที่คุ้มครองภาระหนี้สินในพวกสินทรัพย์ต่างๆที่มีการผ่อนอยู่ เช่น หนี้ที่อยู่อาศัย หนี้ธุรกิจ เพราะหากเกิดอะไรขึ้น ครอบครัวก็ยังมีบ้านอยู่โดยไม่ต้องผ่อนอีกต่อไป หรือ กิจการก็ยังดำเนินการได้อยู่โดยไม่สะดุด
☝️แต่อีกประเด็นหนึ่งที่ควรให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง คือ ความคุ้มครองที่เหมาะสมกับมูลค่าความสามารถ
ตัวอย่างเช่น เราสามารถหาเงินปีละ 1 ล้านบาท มาดูแลครอบครัว ดูแลพ่อแม่ ส่งลูกเรียนหนังสือ ดูแลคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพวกเขา
ปีนี้เราอายุ 42 ปี ทำงานได้อีก 18 ปี (สมมติว่าเกษียณอายุ 60 ปี และรายได้ไม่เพิ่มเลย) เท่ากับว่า เราสามารถหาเงินได้อีก 1,000,000 * 18 = 18,000,000 บาท
แต่ถ้าหากเราจากไปกระทันหัน เงิน 18 ล้านบาทนี้ก็จะจากไปกับเราด้วย คำถามคือ คุณควรมีเงินทิ้งไว้ให้พวกเค้าเท่าไหร่ ถ้าคุณไม่ได้อยู่ดูแลพวกเขาอีก
ความสามารถในการชำระเบี้ยประกัน คิดเริ่มต้นแบบง่ายที่สุด คือ 10-20% ของรายได้ เพราะจะเป็นเงินส่วนเล็กน้อยที่จัดสรรมาโอนย้ายความเสี่ยง และวางแผนเก็บออมระยะยาวเพื่อเตรียมเงินไว้ใช้ในบั้นปลาย
💡ข้อคิดเห็นพิเศษ
• คนที่มีรายได้น้อยมาก เมื่อให้หักค่าใช้จ่ายพื้นฐานที่จำเป็นแล้ว อาจจะมีความสามารถในการชำระเบี้ยอยู่ที่ 5% ของรายได้ ในขณะเดียวกัน คนที่มีรายได้สูง หักค่าใช้จ่ายพื้นฐานแล้วมีเงินเหลือ ออมและลงทุนเป็นจำนวนมาก ก็อาจจะแบ่งเงินมาในส่วนของประกันได้สูงถึง 30-40% เลยทีเดียว
•หากจะทำประกันแบบออมทรัพย์ให้ได้ทุนประกันสูง ตามความจำเป็นของทุนประกันที่เราควรมี ก็จะต้องใช้ยอดออมเบี้ยประกันต่อปีที่สูงมาก ถ้าหากมีงบประมาณจำกัด ควรเลือกทำทุนประกันให้เพียงพอด้วยแบบตลอดชีพหรือเทอม ก่อนเลือกทำแบบออมทรัพย์
📑เพราะถ้าเรียงลำดับความสำคัญของการทำประกันชีวิต ตามแนวคิดของปิรามิดทางการเงินแล้ว กรมธรรม์ฉบับแรกควรครอบคลุมหนี้สินและมูลค่าความสามารถที่เพียงพอก่อน เงินก้อนถัดไปจึงนำไปประกันแบบที่เน้นออมเงิน ซึ่งการจัดสรรการโอนย้ายความเสี่ยงนี้ อยู่ที่ดุลยพินิจของแต่ละบุคคล และยังต้องพิจารณาปัจจัยอื่นๆประกอบอีก เช่น อายุ สถานภาพโสดหรือสมรส ฯลฯ การตัดสินใจโครงการระยะยาวแบบนี้ ควรได้รับคำแนะนำจากที่ปรึกษาที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องการวางแผนการเงินประกอบด้วย การเลือกทำประกันชีวิตก็จะง่ายและได้ประโยชน์สูงสุดค่ะ
ติดตามบทความอื่นๆของ เงินทองต้องวางแผน
ได้ที่ https://bit.ly/2F97u1M
เรียนรู้เพิ่มเติมหรือขอคำปรึกษาได้ที่
โฆษณา