7 มิ.ย. 2020 เวลา 15:04
#จันทร์เจ้าขา
(บทที่ 2, ตอนที่ 1)
สวัสดีครับ เพื่อนๆ
วันนี้ เรื่องราวค่อยๆเข้มข้นขึ้น พร้อม คลิปเพลงสั้น .. เพลงใหม่ประจำเพจหนอนน๊อยซ์ ของคุณหมอ นำมาเรียบเรียงใหม่แบบไทยๆ ให้ลองฟัง กันดูนะครับ :)
สุขสันต์วันอาทิตย์นะครับ
ความเดิมตอนที่แล้ว:
เจ้าคุณสันติได้ประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดสรร ดังนี้
-รายนามที่สิบสาม สิบสี่และ สิบห้า คือ คุณหนูเนตร (เนิ้ต) คุณหนูดี และ คุณหนูฆฤณ (กรีน)…เป็น”ข้าหลวงน้อย” ในคุ้มหลวงกลางเวียง นครเชียงใหม่,
-รายนาม ที่สิบหก คือ คุณหนูนา... เป็นข้าหลวงรับใช้ในตำหนักเสด็จท่าน,
-รายนาม ที่สิบเจ็ด และสิบแปด คือ คุณหนูพิม คุณหนูพลอย…เป็นข้าหลวงรับใช้ในตำหนักเสด็จท่าน
-รายนาม ที่สิบเก้า คือ คุณไกรสร ...เป็นข้าหลวงรับใช้ในตำหนักเสด็จท่าน (แต่ภายหลัง ชื่อคุณไกรสร กลับเปลี่ยนปรากฏ ในลักษณะ อักษรโลหิต..)
-ส่วนรายนาม ที่ยี่สิบ และ ยี่สิบเอ็ด ปรากฏชื่ออัศจรรย์ ในลักษณะ ละอองจันทรา บนอักษรชื่อ..
คุณพีระ.. และคุณหนูพา..
บทที่ 2 รุ้งวาริท
ตอนที่ 1 กรรมปรากฏ
ความรู้สึกของหนูพา..ในคืนนี้..ช่างเต็มไปด้วยความสุข..จนรอยยิ้มปรากฏชัดจนเกือบจะตลอดเวลา..
หนูพาค่อยๆ พลิกตัว นอนตะแคง..หันหน้าไปทางมุ้งของพี่หนูพลอย และทำตาเล็กตาน้อย หน้าทะเล้น หันไป หันมา..ใส่ด้านหลังพี่หนูพลอย..
..หรือบางที ก็แกล้งทำตาโต ยิ้มปากกว้าง นิ่งกลั้นลมหายใจ ค้างไว้อย่างนั้น..
จนกระทั่งพวงแก้มสีชมพูนั้น ค่อยๆจับเป็นก้อนกลมแดงเรื่อๆ ..
ก่อนที่จะโพล่ง หัวเราะ และเอ่ยขึ้น ว่า
“..ฮิฮิ... วันนี้ เป็นวันที่คุณหนูพา และคุณพีระ ได้ถูกรับรองต่อหน้า คนทั้งหลายว่า...”
หนูพา พลิกนอนคว่ำหน้าหัวเราะคิกคัก อย่างมีความสุข ในความมืด..
ก่อนจะหันไป เอ่ยเรียกพี่หนูพลอย ว่า..
“พี่หนูพลอย พี่หนูพลอยขา.. ฮิฮิ วันนี้เป็นวันที่คุณหนูพา และคุณพีระ ได้ถูกรับรองต่อหน้า คนทั้งหลายว่า...อะไรนะเจ้าคะ..”
หนูพายิ้มตาหยี ถาม..
พี่หนูพลอย พลิกตัวกลับมามองหน้าน้องสาว แล้วตอบด้วยสำเนียงเลียนแบบคนอยุธยา อย่างท่านเจ้าคุณสันติ ว่า
“..รายนามที่ยี่สิบ และยี่สิบเอ็ด คือ คุณ เป็ด เจ้า ขา กับ คุณปลา นำโชค ...ทั้งสองได้ผ่านการคัดสรรด้วยน้ำหนักที่เหมาะสม ..แล้ว “
จากนั้นจึงเปลี่ยนเสียง อีกครั้ง เป็นเสียงครูช้อย ร้องเรียก ว่า..
” ขอให้นำเป็ดนี้ ไปแกงที่ท่าน้ำ แล้วเอาปลายิ้มแป้น ตัวนั้น มาชุบขมิ้นทอด ให้เหลืองกรอบ “ ..
“ แล้วให้จิ้มดูว่า ปลานั้นกรอบ ได้ที่รึยัง ?”
“ได้ทันทีเลย ขอรับ”
พี่หนูพลอย เปลี่ยนทำเสียงเลียนแบบคุณหลวง ก่อนจะมุดเข้ามาในมุ้ง ตามมาจั๊กจี้หนูพา ..
“นี่แน่ะๆ เจ้าปลากรอบน้อยฮิฮิ..” คุณหนูพลอยพูดพลางก็จี้ เข้าจุดหัวเราะของหนูพา..
จนทำให้ หนูพาหัวเราะร่วน และดิ้นไปมาเหมือนปลาแป้น ที่เพิ่งถูกจับขึ้นมาบนบก..
“ฮะฮะหนูพายอมแล้ว เจ้าค่ะ”.. “ฮะฮะฮะ ยอมจริงๆแล้ว เจ้าค่ะ..”
“ฮะฮะฮะ” เสียงของสองพี่น้อง หัวเราะหอบ กันอย่างสนุกสนาน..
ก่อนที่หนูพาจะค่อยๆไถลเข้าไปซุกตัว นอนอ้อน กอดพี่หนูพลอย แล้วขอให้พี่หนูพลอย ร้องเพลงกล่อมนอน ให้ฟัง..เหมือนเช่นทุกครั้งเมื่อครั้งที่อยู่ บ้านเจ้าคุณพ่อ..
คุณหนูพลอย หัวเราะเบาๆ พลางตอบว่า “เรื่องนี้ ต้องพี่หนูพิมแล้วละ..เจ้าคุณพ่อท่านไม่ให้พร เรื่องนี้กับพี่หนูพลอยเลยนะ..หนูพา”
“หนูพา ร้องเพลงเกี่ยวกับจันทร์ ที่หนูพายืนร้องในงานให้พี่หนูพลอยฟัง ดีกว่านะ..” พี่หนูพลอยพูด พลางลูบผมน้องสาวจอมยุ่ง ด้วยความเอ็นดู..
“ได้เลยเจ้าค่ะ..” หนูพา ตอบ..พลางหลับตาตั้งจิต ครู่หนึ่ง..แล้วจึง..สูดลมหายใจเข้า และเปล่งเสียงร้องว่า “..จันทร์เจ้าขา ...”
ทันใดนั้นเอง..
หนูพา กลับรู้สึกเหมือน ว่า ตัวหนูพากลับ เบา โปร่ง และกำลังลอย ขึ้น..อย่างช้าๆ..
จนลอยขึ้นอยู่เหนือมุ้ง และมองเห็นร่างของตัวเองกำลังนอนกอด พี่หนูพลอยที่หลับตา และกรนเบาๆ..
ขณะที่หนูพา กำลังรู้สึกสับสนกับสภาวะ ของตนเองนั้น.. หนูพา ก็ได้ยินเสียงเรียก ที่อบอุ่น และคุ้นเคย .. ดังอยู่ไกลๆ ว่า
“ อย่ากลัวเลย..หนูพาเอ๋ย..นี่ข้าเอง ”
“เสียงหม่อมทินกร ท่านกำลังเรียกหนูพา อยู่..”
เพียงชั่วเสี้ยวเวลาขณะจิต ที่หนูพาระลึกถึงเสียงหม่อมทินกร..
1
พลัน หนูพา ก็เคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็ว ..มาถึงสถานที่แห่งหนึ่งอันแปลกตา..
ที่สว่างไสว ด้วยแสงเรืองรองของ เพชรนิลจินดา และทองโบราณอร่าม ฉาบรอบบริเวณ..
และภาพหม่อมทินกร ยืนยิ้ม อย่างอบอุ่น ก็ค่อยๆปรากฏชัดขึ้น..ท่ามกลางทรัพย์สมบัติเหล่านั้น..
“กราบสวัสดี หม่อมท่าน
เจ้าค่ะ..” หนูพาค่อยๆก้มลงกราบหม่อมทินกร อย่างช้าๆ นิ่มนวล ไม่กระโดก กระเดก เหมือนเช่นทุกวัน..
ขณะนั้นหนูพากำลังนึกจะ พูดขอบคุณ ที่หม่อมท่าน เมตตาช่วย ให้หนูพา สมหวังได้ผ่านการคัดสรร พร้อม กับพี่หนูพิม พี่หนูพลอย และคุณเจ้าขา..ในครานี้...
หม่อมท่านก็ตอบมาก่อนที่หนูพาจะกล่าว ว่า..
“..ด้วยเอ็นดู ว่าเจ้า
หนูพา,
จึงลิขิตเปลี่ยน ชะตา
เร่งให้,
สุขทุกข์ปะปนมา หาใช่
เลี่ยงได้,
ตั้งจิตมั่นพร้อมไว้ เปลี่ยนร้าย เป็นดี..
1
“ลุกขึ้นเถิด หนูพา.. ข้าจะพาเจ้าไปที่พระธาตุดำ..”
หม่อมทินกร กล่าวเรียกพลางเข้ามาจูงข้อมือหนูพา
ทันใดนั้น เพียงชั่วพริบตา.. หม่อมทินกร และหนูพา ก็มาปรากฏ ที่ข้างพระเจดีย์ทรงระฆัง แปดเหลี่ยมใหญ่โต สีทอง งามสว่างไสว อันมีลักษณะงามจับตา ....
พระธาตุดำ
“ ..หม่อมท่านเจ้าขา นี่มันวิชา อันใดกัน หรือเจ้าคะ.. เราถึงไปโน่น มานี่.. ได้ไวดั่งใจ เช่นนี้..” หนูพาเอ่ยถาม และจ้องหน้า หม่อมทินกร อย่างตั้งใจรอฟังคำตอบ..
หม่อมทินกร จึงหันกลับมามองหน้าหนูพา อย่างช้าๆแล้วยิ้ม พลางตอบว่า
..เมื่อทรงฌาณ สี่ได้
ในกสิณ
...ฤทธิ์ทางใจ ทั้งสิ้น
เจ้าจึงได้
...ทิพยะ จักษุฌาณ
ชำนาญไว
...สั่งสมไว้ แต่ปางไหน
“มโนมยิทธิ”
“..ข้าควรจะถามเจ้ามากกว่านะหนูพา..ว่าตอนนี้เจ้ามองเห็นอะไร ณ ที่แห่งนี้..” หม่อมทินกร พูดพลางชี้มือไปทางองค์พระธาตุคำ..
หนูพาจึงค่อยๆ เพ่งมองไปที่องค์เจดีย์ และบริเวณโดยรอบนั้น ..แล้วจึงตอบ หม่อมทินกรว่า “ หนูพาเห็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์โบราณ
..ส่องสว่างไสว ..อยู่ใต้องค์พระธาตุนี้ และมีทางคดเคี้ยวต่อไปทอดยาว อยู่ในภูเขา ที่เต็มด้วยเพชรนิลจินดา...ทางหนึ่งนั้น ยาวผ่านพ้นจนออกถึงปากถ้ำใต้แม่น้ำ..ส่วนอีกทางหนึ่งนั้น เป็นทางแยกเลี้ยวลดคดเคี้ยว ผ่านเข้าไปในภูเขา และลอดข้ามใต้แม่น้ำ ไปยัง พระธาตุพนม..ส่วนอีกสายของทางเลี้ยวนั้น เป็นทางเล็กๆอยู่ในภูเขาที่เต็มไปด้วยทอง..จนมาโผล่บริเวณถ้ำอีกแห่งหนึ่งในเมืองคำม่วน..”
หม่อมทินกร พยักหน้า อย่างพอใจ แล้วจึงถามหนูพา ต่อว่า..”แล้วเจ้าเห็นบุคคลใด ในเส้นทางเหล่านี้บ้าง..”
หนูพา จึงจ้องมองซ้ำ นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบว่า “..คนกลุ่มแรก เป็นชาวต่างชาติ พูดภาษาแปลกๆ มาขุดเจาะสำรวจในถ้ำ พร้อมทหารกลุ่มหนึ่ง..ที่เมืองคำม่วน ”
“คนกลุ่มที่สอง เป็นชาวต่างชาติ และกองทหารที่มาทางแม่น้ำ แต่เรือ และปืนใหญ่ก็จมลง .. ด้วยสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาด ใต้แม่น้ำ..ส่วนพวกที่เหลือ ก็หนีเอาชีวิตรอดมาขึ้นที่ฝั่งใกล้ๆ เวียงจันทน์..”
“กลุ่มที่สาม เป็นคล้าย อสุรกาย จำนวนมาก ชุมนุม อยู่รอบๆ บริเวณพระธาตุแห่งนี้ และกระจายอยู่ตามถ้ำในภูเขา ตามเส้นทางนั้น..ที่มีภิกษุกำลังแสดงธรรมเทศนา..”
“กลุ่มที่สี่เป็น ลักษณะทหารของสยามจำนวนหนึ่ง กำลัง เผา และลอกทองจากองค์พระธาตุ อย่างรีบเร่ง..”
“กลุ่มสุดท้าย เป็นเจ้าชายรูปงาม กำลังบรรทมหลับ อยู่ในองค์พระธาตุนี้ และข้างๆ นั้น ..มีโถบรรจุหัวใจ..ของเจ้าอนุวงศ์ .. ที่ยังคงเต้นอยู่..”
หนูพา ค่อยๆเอามือมากุมปิดปาก ก่อนค่อยๆลดเสียงลง จนเหมือนกระซิบว่า
“และ..มีผู้ชายที่เป็นแม่ทัพ อยู่บนหลังม้า ลักษณะองอาจ พยายามทำลาย มนตรากักขัง อยู่ข้างนอกนั้น..”
“.. เจ้าชายที่กำลังบรรทม ช่างละม้าย คุณหลวงรูปงาม เสียนี่กระไร.. และชายที่เป็นแม่ทัพนั้น.. ก็ช่างคล้ายคุณไกรสร เหลือเกิน .. เจ้าค่ะ..”
หม่อมทินกร พยักหน้า แล้วจึงมองมาที่หนูพาด้วยสายตาเอ็นดู พลางเอ่ยว่า
“... พอตรงเวียง เห็นวัง
ที่ฝั่งข้าม
วิเศษงาม เพราเพริศ
ดูเฉิดฉัน
ทองระยับ จับแสง
พระสุริยัน
ที่หน้าบัน ช่อฟ้า
บราลี ...”
“..บทกลอนนี้ เป็นของพี่ชายข้า หม่อมเจ้าทับ เมื่อครั้งที่ติดตามบิดาข้า กรมหลวงเสนีบริรักษ์ โดยบรรยายถึงสถานที่แห่งนี้ก่อนที่จะถูกกองทัพสยามบดขยี้ทำลายจนพินาศร้าง..” หม่อมทินกร พูดอย่างช้าๆ ด้วยสายตามองที่ทอดยาวไปไกลแสนไกล
“..สิ่งที่เจ้าเห็นนั้น เป็นคนละช่วงเวลา และต่างกรรมวาระกัน.. แต่เส้นทางกรรมเหล่านั้น กลับล้วนเชื่อมโยงกัน มาจนถึงปัจจุบัน..”
หม่อมทินกร ถอนหายใจ อีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะ
กล่าวต่อว่า...
“เมื่อครั้ง ที่ทัพพม่า ตีกรุงศรีอยุธยาแตกพ่าย และเผาทำลาย ลอกทองคำที่พระศรีสรรเพชญ์ องค์พระต่างๆ นั้น.. โดยนำทองคำเหล่านั้น กลับไปยังพม่า...”
“กรรมหนักเหล่านั้นติดตาม และเรียกคืนชดใช้.. มากมายหลายเท่าตัวนัก ..ทำให้พม่าต้องเสียทองเหล่านั้น เป็นค่าไถ่ จำนวนมากมายให้กับอังกฤษ..
“..และทำให้พม่ายากที่จะหลุดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้น อังกฤษในที่สุด..และยังถูกกดขี่ขมเหงให้ทุกข์ยาก ร้อนระอุทั่วทุกหัวระแหง จนเป็นเหตุให้เชื้อพระวงศ์ต้องนิราศร้าง จากมาตุภูมิ ในที่สุด..”
“..แล้วสยามประเทศ จะเป็นเช่นนั้น หรือไม่ เจ้าคะ..” หนูพาถามด้วยความร้อนรน และ เป็นห่วงอย่างที่สุด...”
“..กรรมวาระ ปะปนมา หาใช่เลี่ยงได้,
ตั้งจิตมั่นพร้อมไว้ เปลี่ยนร้าย เป็นดี..”
หม่อมทินกร ตอบและยิ้มให้หนูพา อีกครั้งหนึ่ง..
ก่อนจะจับข้อมือหนูพา แล้วกล่าวว่า “..เรากลับเรือน กันเถิดหนา.. หนูพา..”
“เจ้าค่ะ..” หนูพา พยักหน้า และเอ่ยตอบ..
ทันใดนั้นเอง หนูพา ก็กลับมายืน อยู่ที่หน้ามุ้ง .. พร้อมกับ หม่อมท่าน ..
“ ต่อจากนี้ ..เมื่อเจ้าไปอยู่ที่ตำหนักเสด็จท่าน.. คงต้องระวังตัวขึ้นให้มาก..” หม่อมทินกร เอ่ยขึ้น..พลางลูบศีรษะหนูพาด้วยความเอ็นดู
“ ข้าจะสอน พระคาถาหนึ่ง ให้เจ้า เป็นวิชา ไว้ติดตัว
..คือ พระคาถา นะซ่อนหัว กำบังตัว ของ วัดปากคลองมะขามเฒ่า..ขอเจ้าจงพนมมือ หลับตา และตั้งจิตรับพระคาถานี้เถิดหนูพา..”
“...พระคาถานี้ จะบังตา คนทั่วไป และศัตรูผู้มุ่งอาฆาตมาดร้าย มิให้เห็นเจ้าได้..
แต่สำหรับ ผู้มีบุญญาธิการ..ผู้มีฤทธิ์แก่กล้า.. พระสงฆ์ ถึงวิมุตติมรรค ..เหล่าเทพ..อสุรกาย .. และผู้มีจิตวิสุทธิ์ใส.. จะยังเห็นเจ้าได้ “
“..นะห้าม โมปิด
พุทมิดปิดหัว
ธาล้อมตัว
ยะซ่อนหัว
หายตัวบัดนี้
..นะจงงง โมจังงัง
พุทธกำบัง
ธาละลาย
ยะสูญหาย
อนัตตาสูญเปล่า...”
หม่อมทินกร ท่องพระคาถานี้เสร็จ จึงเป่ามนต์พระพุทธคุณ เกราะเพชร ครอบศีรษะหนูพา อีกชั้น ก่อนจะบอก ให้หนูพา ลืมตาขึ้น..
หนูพาเงยหน้ามองหม่อมทินกรอีกครั้ง แล้วจึงเอ่ยถามว่า..
“เมื่อหนูพา เข้าไปอยู่ตำหนักเสด็จท่านแล้ว.. หนูพาจะได้เจอ หม่อมท่าน อีกหรือไม่ เจ้าคะ?”
“เมื่อ กรรมปรากฏ ..ขอจงตั้งจิตอธิษฐานระลึกถึง ข้า.. พร้อมกุมปากกาขนนกนั้นไว้...ตราบที่เรายังไม่หมดวาระกรรม ต่อกัน.. ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ แม่หนูพา..”
“..ขอความสุขสวัสดี จงมีแก่เจ้า เสมอไป แม่หนูพา..”
หม่อมท่าน จึงเป่าลมอีกครั้งให้ ร่างทิพย์โปร่ง เบาของหนูพา ค่อยๆ ลอยคืนกลับสู่นิทราสถานะ กับพี่หนูพลอยตามเดิม..
“กรู้วววๆ..” เสียงนกฮูกร้องดังขึ้นเป็นทอดๆ ต่อๆกันไป เป็นช่วง ภายหลัง..เมื่อร่างหม่อมทินกร ค่อยจางๆหายไปแล้ว..
ราวกับว่า เป็นการส่งสัญญาณ ของการเริ่มต้น
..ในกรรมปราฏ ตามวาระ..ของวงล้อแห่งชะตานี้..
จบบทที่ 1 ตอนที่ 2 เพียงเท่านี้
#เกร็ดเพิ่มเติม,
-เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2369 ( เพียง 59 ปี นับจาก การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้ง ที่ 2 ) พม่าต้องชดใช้ค่าปฏิกรรมสงครามให้อังกฤษเป็นจำนวนเงิน 2,000,000 ปอนด์สเตอร์ลิง และต้องยอมให้อังกฤษตั้งสถานกงสุลขึ้นในกรุงรัตนปุระอังวะ ซึ่งมี จอห์น ครอว์ฟอร์ด เป็นกงสุลคนแรก
พระธาตุดำ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา