15 มิ.ย. 2020 เวลา 00:29 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
"จากเพียงเม็ดทราย - เมื่อนำมาสกัด - ถลุง"
และเมื่อถึงเวลา...อาจทำให้บางสิ่งบนโลกนี้เปลี่ยนไป
Solar Cell : ตอนที่ 2 บางสิ่ง(โรงไฟฟ้าแบบเดิมๆ)
อาจต้องไหวหวั่น..
ขอเริ่มจาก "เม็ดทราย" มาเป็น "ซิลิคอน" เพื่อมาเป็นแผง Solar Cell ในลำดับต่อมา..กันนิดครับ
ซืลิคอน
ทราบมั้ยครั้บว่า..ประเทศอะไรที่ผลิตผลิตภัณฑ์ซิลิคอนได้มากที่สุด?
ไม่ต้องเดาเลยครับ : ประเทศจีนครับ โดยมีรัสเซีย นอรเวย์ และสหรัฐอเมริกา ตามมาเป็นลำดับครับ (จีนผลิตมากถึง 4.5 ล้านเมตริกตัน ทิ้งห่างอำดับ 2 รัสเซัยที่ผลิตเพียงแค่ 6 แสนเมตริกตัน) แต่ที่ประหลาดใจก็คือ มาเลเซีย เพื่อนบ้านของเรา มาเป็นลำดับที่ 6 ผลิตได้ 1.5 แสนเมตริกตัน
ผู้ผลิตซิลิคอนของโลกปี 2562 : จีนมาเป็นอำดับ 1
🇨🇳ประเทศจีน ใช้ Solar Cell มากที่สุด การที่ผลิต “ซิลิคอน” มากที่สุด นับเป็นยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องเลยครับ..
กลับมาตรงหัวเรื่องของเราครับ
"เม็ดทราย จะทำให้บางสิ่งบนโลกนี้เปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง"
คำถามนี้ ตอบได้จากความพิเศษของแผง Solar Cell และคุณประโยชน์ของเค้า นั่นคือ
1. จากแผงเล็กๆ รวมกันให้ใหญ่ได้ ประมาณเหมือน”ก้อนอิฐ”ทำให้”สิ่งเล็ก” กลายเป็น “สิ่งใหญ่ๆ” ได้ จากไม่กี่วัตต์ เมื่อต่อแผงรวมกันไป ก้อเป็นหลายเมกกะวัตต์ได้
2. อายุการใช้งานยาวนานถึง 25 ปี ระหว่างนั้นประสิทธิภาพอาจลงได้บ้างครับ และที่สำคัญจุดคุ้มทุนมาถึงก่อนปีที่ 25 ครับ
3. ในการผลิตไฟฟ้าตัว Solar Cell เป็นเทคโนโลยีสะอาด ลดโลกร้อน
เมื่อมีข้อดี เป็นจุดน่าสนใจ และราคาที่เอื้อมถึง บวกกับการสนันสุนนจากภาครัฐ ทำให้ปริมาณการติดตั้ง Solar Rooftoopในโลกใบนี้จึงมากขึ้นเรื่อยๆ (ปริมาณมากแค่ไหน ย้อนกลับไปอ่าน ตอนที่1 นะครับ)
🇺🇸ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจมากๆครับ..
ทุกบทความที่เกี่ยวข้องกับ Solar Cell ต้องมีการอ้างถึงเคสของแคลิฟอร์เนียครับ^^
พบว่าในแคลิฟอร์เนีย มีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจาก Solar Cell มากถึงร้อยละ 20 (โตอย่างก้าวกระโดด) ในขณะที่โลกใบนี้ ซึ่งมีค่าเฉลี่ยสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าดังกล่าวอยู่ที่ร้อยละ 3 ของปริมาณการใช้ไฟฟ้าเท่านั้น
ปริมาณการผลิตไฟฟ้าจาก solar cell ของแคลิฟอร์เนีย มีปริมาณติดตั้ง ราว 27,000 MW เทียบได้กับเขื่อนภูมิพล ประมาณ 40 เขื่อน) โดยปัจจุบันมีการติดตั้ง Solar Rooftop มากกว่า 1 ล้านหลังคาเรือน จากปริมาณหลังคาเรือนประมาณ 14 ล้านหลังคาเรือน
สถิติการติดตั้ง solar rooftop ในแคลิฟอร์เนีย : ภาพจาก Los Angeles Times
หากดูในภาพของบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกในสหรัฐอเมริกา ก็อยู่ใน Trend นี้เหมือนกัน..อย่าง Apple มีการติดตั้ง Solar Cell เกือบ 400 เมกกะวัตต์ มากที่สุดครับ สามารถลดค่าไฟได้ไม่น้อยเลยนะครับ อีกทั้งยังส่งเสริมแบรนด์ของตนเอง ในการรักษ์โลกอีกด้วย
ที่มา : seia.org
และเมื่อแนวโน้มการใช้ Solar Cell ของโลกใบนี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงจากผลของ "เม็ดทราย" นี้จะมีอะไรกันบ้าง
1. ในด้านบวกกันก่อนเลย
การติดตั้ง Solar Cell ขนาด 1 เมกกะวัตต์ : ใช้พื้นที่ประมาณ 25 ไร่ในการติดตั้งสามารถลดการสร้างคาร์บอนไดออกไซค์ กว่า 900 ตันคาร์บอนไดออกไซค์ครับ เทียบกับการปลูกต้นไม้ถึง 1 แสนต้น ได้พื้นที่ประมาณ 500 ไร่ครับ (25 ไร่ Solar farm แลกกับ 500 ไร่ ต้นไม้😊)
พลังงานแสงอาทิตย์ลดโลกร้อน : ภาพจาก google
สรุปว่า “โลกเราร้อนน้อยลง” จาก “เม็ดทราย”
2. เงินเก็บของเจ้าของบ้านที่เพิ่มขึ้น และรายได้ของกิจการไฟฟ้า : Electric Utility ที่ลดลง
ที่ขนาดติดตั้ง Solar Cell ขนาด 1 กิโลวัตต์ สามารถผลิตไฟฟ้าได้โดยเฉลี่ยประมาณ 1,300 - 1500 หน่วยต่อปี ดังนั้นปริมาณที่ติดตั้งสำหรับที่อยู่อาศัย ที่ขนาด 5-20 กิโลวัตต์ รวมถึงในกิจการที่ใหญ่ขึ้น ที่ขนาด 100 - 200 กิโลวัตต์ ก็สามารถลดค่าใช้จ่ายให้กับเจ้าของบ้าน เจ้าของกิจการได้ไม่น้อยทีเดียว อีกทั้งยังกินเปล่าหลังจากที่เลยจุดคุ้มทุนไปแล้ว..แต่ในทางกลับกัน Electric Utility ก็จะได้รับผลกระทบนี้ทันที (รายได้หาย)
Electric Utility ที่บริหารกิจการได้ไม่ดีพอ อาจขาดทุน ถึงขึ้นเซได้ และเพื่อไม่ให้กิจการขาดทุน อาจเป็นเหตุให้ค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นได้ ที่นี้ก้อเป็นหน้าที่หน่วยงานที่กำกับโครงสร้างค่าไฟฟ้าของแต่ละประเทศแล้วหล่ะครับ ที่ต้องออกแรง ในส่วนตรงนี้ต่อ😅
3. เป็นจุดเร่งเร้าให้ Battery Storage เกิดได้เร็วขึ้น
ความไม่เสถียรในการต่อเนื่องของการใช้ไฟฟ้าจาก Solar Cell (จ่ายไฟได้เฉพาะเมื่อมีแดด หรือ มีแดดแต่เมฆบัง) เป็นจุดที่ไม่พิเศษ (จุดด้อย) ของระบบนี้ การที่จะทำให้ Solar Cell เป็นพระเอกเต็มรูปแบบนั้น คือ การมี “Battery Storage”มาช่วยสำรองเก็บไฟฟ้าในตอนกลางวัน และจ่ายใช้งานในตอนกลางคืน
Solar Rooftop ที่ร่วมกับ battery : ภาพจาก future green technology
ดังนั้นเมื่อราคาของ Battery ยังสูงอยู่..ความสมบูรณ์ของการจ่ายไฟแบบ Solar Cell ในแบบ”ไม่ง้อ Grid” จึงยังไม่สามารถทำได้
ในทางกลับกันหากเทคโนโลยีด้าน battery พัฒนาจนประสิทธิภาพมากขึ้น อายุการใช้งานมากขึ้น ราคาเอื้อมถึง..จุดนี้คือ”จุดพลิก”เลยครับ🚩
**ประเด็น battery คงต้องลุ้นนวัตกรรมใหม่ๆ ของ Tesla หรือบริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่กันต่อไปครับ : ผมว่าโลกเราจะได้ข่าวดี ในไม่ช้าแหล่ะครับ ล่าสุด 1 million miles battery ก้อออกมาให้โลก..ยลโฉมแล้ว 👏👏
ถึงตรงนี้แหละครับที่ "วัสดุที่มีจุดเริ่มต้นจากเม็ดทราย" จะพลิกโลกได้เลย เมื่อได้จับคู่กับ “แบตเตอรี่”
เมื่อมองไปไกลๆหน่อย..(เมื่อไหร่ไม่รู้)
โลกใบนี้จะเปลี่ยนแปลงโดยสิ้นเชิง จะเป็นการปฎิวัติโครงสร้างกิจการไฟฟ้ากันเลย..และเมื่อถึงเวลานั้น ระบบ Grid ที่มีอยู่..อย่างโรงไฟฟ้าหลายหมื่นโรงทั่วโลก (มีบางรายงานประมาณ 6 หมื่นกว่าโรง) ระบบส่ง transmission line กว่า 1.3 ล้าน วงจร.กม ของประเทศจีน หรือ 6 แสนกว่า วงจร.กม ของสหรัฐอเมริกา หรือ เกือบ 6 แสน วงจร.กม ของอินเดีย จะเป็นอย่างไร?
ระบบ Grid เหล่านี้จะถูกลดบทบาทลง!! ตามกำลังการผลิตที่หายไป
***note ไว้นิดครับ : รถ EV ก้อเป็นอีกตัวแปรหนึ่ง ที่มีผลต่อปริมาณการใช้ไฟฟ้าในอนาคต - ประเด็นรถ EV เป็นอีกเรื่องราวนึงที่ต้องติดตามเช่นกันครับ***
“โทรเลข” จากเคยมี - ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์
“ปุ่มกดโทรศัพท์”จากเคยมี - ปัจจุบันหายากแล้ว
และเมื่อถึงเวลา “โรงไฟฟ้า ระบบส่ง ระบบจำหน่าย” ที่เป็นระบบ Grid ขนาดใหญ่ อาจมีบทบาทน้อยลงกว่าระบบ Off Grid ที่ผลิตไฟฟ้าได้จาก Solar Rooftop ที่ติดตั้งร่วมกับ Battery Storage ทั้งในแง่ของด้านการลงทุน ด้านวิศวกรรม และด้านสิ่งแวดล้อม
"จากเพียงเม็ดทราย - เมื่อนำมาสกัด - ถลุง"
และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะ...เทคโนโลยี...พามาถึง กอปรกับราคาที่เอื้อมถึง..
“อาจทำให้บางสิ่งบนโลกนี้เปลี่ยนไป”
“พอจะเห็นคำตอบ..กันนะครับ”
เรียนรู้..ไปพร้อมๆกัน
ติดตาม กดไลค์ กดแชร์ แลกเปลี่ยนทัศนะในเชิงสร้างสรรค์ เพื่อเติมเต็มความรู้กันครับ..
โฆษณา