23 มิ.ย. 2020 เวลา 14:12 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
《Coffee 101 #EP1》 อ่อน - กลาง - เข้ม เลือกแบบไหนดี?
'เมล็ดกาแฟเป็นคั่วอ่อน คั่วกลาง หรือคั่วเข้มดีครับ/คะ?'
คำถามนี้มักจะคุ้นหูอยู่บ่อยครั้งเมื่อไปสั่งซื้อกาแฟตามร้าน ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟใหญ่ ๆ หรือร้านกาแฟขนาดเล็กที่มีความพิถีพิถันในการคัดเลือกวัตถุดิบอย่างเมล็ดกาแฟ เดิมทีเมล็ดกาแฟก่อนจะถูกนำมาคั่วจะมีสีเขียวอ่อน หลังจากนำไปคั่วจะเริ่มมีสีน้ำตาลอ่อน น้ำตาลเข้ม จนกระทั่งสีออกไปทางเกือบดำ ขึ้นอยู่กับระดับของการคั่ว
คั่วอ่อน คั่วกลาง และคั่วเข้ม แน่นอนว่าระดับการคั่วของกาแฟย่อมมีผลต่อรสชาติของกาแฟที่เราดื่ม แต่สำหรับผู้บริโภคอย่างเราจะเลือกแบบไหนดี หรือแบบไหนที่เหมาะกับตัวเรามากที่สุด ในบทความนี้ ผมจะขอเป็นผู้ช่วยในการเลือกสรรกาแฟให้เหมาะกับทุกคนเองครับ ☕
กาแฟคั่วอ่อน (Light roast)
ต้องอธิบายก่อนว่าเมล็ดกาแฟก่อนจะนำมาผ่านความร้อนด้วยการคั่ว เมล็ดกาแฟ(green bean หรือ green coffee) ก็คือเมล็ดของผลไม้ตระกูลเบอร์รีชนิดหนึ่ง ดังนั้นรสชาติที่ได้เมื่อเราดื่มกาแฟคั่วอ่อนจะมีความเปรี้ยว เนื่องจากปริมาณกรดในเมล็ดกาแฟที่ยังไม่ถูกความร้อนทำให้หายไป ซึ่งก็เป็นผลมาจากการคั่วที่ใช้ระยะเวลากับอุณหภูมิไม่สูงพอ แต่ในทางเดียวกันเราก็จะสามารถได้กลิ่นรสของผลไม้มากกว่าเมล็ดกาแฟคั่วกลางและคั่วเข้ม อีกทั้งกลิ่นรสของผลไม้ยังมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับแหล่งที่ปลูกของกาแฟอีกด้วย เพราะฉะนั้นหากเมล็ดกาแฟไม่มีความสมบูรณ์ของเมล็ด หรือไม่มีคุณภาพ กาแฟที่ได้ก็จะมีรสชาติที่ไม่ดีซักเท่าไหร่ สำหรับใครที่ชอบกาแฟที่มีรสชาติอ่อน ดื่มง่าย ไม่ขมมาก ได้สัมผัสกลิ่นรสของผลไม้ ผมคิดว่ากาแฟคั่วอ่อนก็เป็นตัวเลือกที่ดีนะครับ หรือจะลองดื่มทั้งแบบร้อนและเย็น ก็ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนได้เลยครับ
กาแฟคั่วกลาง (Medium roast)
เมื่อคั่วเมล็ดกาแฟนานมากขึ้น บวกกับการใช้อุณหภูมิสูงขึ้น สารอาหารต่าง ๆ ภายในเมล็ดกาแฟก็มีโอกาสที่จะได้รับความร้อนเป็นเวลานานมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริมาณน้ำตาลและกรดแอมิโนที่อยู่ภายในเมล็ด จะก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่เราเรียกกันทางวิทยาศาสตร์ว่า Maillard reaction หรือเข้าใจง่าย ๆ ว่าเป็นปฏิกิริยาการเกิดสีน้ำตาลอย่างหนึ่งในอาหาร สีของเมล็ดกาแฟจึงมีความเข้ม มีสีน้ำตาลมากขึ้น อีกทั้งปริมาณกรดในเมล็ดกาแฟก็จะลดลง นั่นหมายความว่าหากเราดื่มกาแฟคั่วกลาง เราจะได้รสชาติที่เปรี้ยวน้อยลงกว่ากาแฟคั่วอ่อน แต่ขณะเดียวกัน เราจะได้กลิ่นไปทางช็อกโกแลตมากขึ้น ซึ่งเหมาะมากหากใครที่ชอบดื่มกาแฟที่มีส่วนผสมของนมอย่าง Latte หรือ Cappuccino ผมขอบอกเลยว่าเป็นอะไรที่นวลเข้มและกลมกล่อมมาก ๆ
กาแฟคั่วเข้ม (Dark roast)
ยิ่งระยะเวลากับอุณหภูมิในการคั่วยาวนานและสูงขึ้น โอกาสที่ปฏิกิริยาต่าง ๆ ที่เกิดจากการกระตุ้นด้วยความร้อนก็จะยิ่งมีเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน รวมไปถึงปฏิกิริยาการเกิดสีน้ำตาลอย่าง Maillard reaction ด้วย ดังนั้นสีของเมล็ดกาแฟคั่วเข้มจะมีสีน้ำตาลเข้ม และรสชาติขมมากขึ้น เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการดื่มแบบเย็น หากคั่วต่อไปเป็นระยะเวลานานจะทำให้บริเวณผิวของเมล็ดกาแฟมีน้ำมันออกมาเคลือบ ส่งผลให้รสชาติกาแฟคั่วเข้มค่อนข้างจะสูญเสียความเป็นกลิ่นรสผลไม้ออกไปมาก แต่สำหรับใครที่ชอบความเข้มของกาแฟคั่วเข้ม คิดว่ากาแฟต้องรสชาติขม หรือใครที่ยังไม่เคยลอง ก็อยากให้ลองเปิดใจดู ผมคิดว่ารสชาติของกาแฟคั่วเข้มมีเสน่ห์ไม่น้อยเลยครับ
สำหรับผู้บริโภค การทราบข้อมูลเกี่ยวกับระดับการคั่วของกาแฟเพียงสามระดับนี้ ส่วนตัวผมคิดว่าก็ค่อนข้างเป็นประโยชน์มากแล้ว แต่ระดับการคั่วจริง ๆ ไม่ได้มีเพียงเท่านี้ นอกจากอ่อน กลาง เข้ม กาแฟยังมี City Roast, Full City Roast, Vienna Roast, French Roast และอื่น ๆ อีกมากมาย แถมในบางชนิดก็ยังมีความคล้ายกันอย่างมาก บางชนิดก็มีชื่อเรียกได้หลายแบบ ทั้งนี้ทั้งนั้นแต่ละระดับจะขึ้นอยู่กับระยะเวลา กับอุณหภูมิที่ใช้ในการคั่ว และแต่ละคนก็ยังมีความชอบที่แตกต่างกันอีกด้วย นอกจากนี้รสชาติ กลิ่น และสีของกาแฟก็ไม่ได้มีเพียงแค่รสชาติขม เปรี้ยว กลิ่นหอมผลไม้ กลิ่นช็อกโกแลต หรือสีน้ำตาลอ่อน-เข้มเพียงเท่านี้
เรื่องราวของกาแฟยังมีอะไรที่แปลกใหม่และน่าสนใจอีกมากมาย ก่อนหน้านี้เราอาจจะต้องไปดื่มกาแฟถึงร้าน แต่เมื่อเวลาผ่านไปหลาย ๆ คนเริ่มหันมาชงกาแฟดื่มเองที่บ้าน ได้รังสรรค์เมนูของตัวเอง บ้างก็เริ่มเปิดธุรกิจกาแฟเป็นแบรนด์ของตนเอง หลังจากนี้ผมจะมีบทความที่เขียนเป็นซีรีส์เรื่องราวเกี่ยวกับกาแฟไว้ หากใครสนใจเรื่องราวของกาแฟก็ติดตามได้เลยครับ - ☕🍪
References 🙇♂️
▪https://www.facebook.com/Toboroaster/posts/929015227251849/
▪https://beanshere.com/posts/caffeine-content-between-light-roasted-or-dark-roasted/
▪http://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/0397/maillard-reaction
▪http://coffee-education.com/coffeeroast/
โฆษณา