Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Tell Tales
•
ติดตาม
23 มิ.ย. 2020 เวลา 11:19 • ประวัติศาสตร์
ไมเคิลแองเจโล่ ศิลปินระดับเซียนเทพผู้เป็นตำนาน เจ้าของผลานชื่อดังมากมายไม่ว่าจะเป็นภาพกำเนิดอดัม หรือรูปปั้นเดวิด แต่เพื่อนๆจะรู้หรือไม่ว่าผลงานบางส่วนของเขาเป็นดั่งการทรมานที่ไม่อาจหลีกหนี
ใครที่กำลังเหนื่อยกับอะไรก็ตาม ลองมาอ่านบทความนี้
นรกของไมเคิลแองเจโล่เริ่มต้นขึ้นหลังจากที่มีการแต่งตั้งโรมให้ขึ้นเป็นเมืองหลวงแทนฟลอเรนซ์
พระคาร์ดินัล Jean de Bihere(ชาน เดอ บิเอเร่) ว่าจ้างให้ไมเคิลแองเจโล่มาแกะสลักรูปปั้นที่กรุงโรม
ซึ่งไมเคิลแองเจโล่ในวัย 20 กว่าๆนั้นมั่นใจมากๆถึงขั้นป่าวประกาศว่า “ฉันจะสร้างหินอ่อนที่งดงามที่สุดแบบที่ชาวโรมจะต้องไม่เคยเห็นมาก่อน”
ซึ่งผลงานของเขาก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังจริงๆ
"ลา ปิเอต้า" ผลงานชิ้นแรกที่สร้างชื่อเสียงให้ไมเคิลแองเจโล่
งานแรกที่ได้เดบิวต์นั้นก็คือผลงาน “La Pieta”
โดยไมเคิลแองเจโล่สร้างผลงานชิ้นนี้ขึ้นมาจากหินอ่อนเพียงชิ้นเดียวและใช้เวลาเพียง1ปีเท่านั้น
หินแกะสลักนี้มีขนาด6x6ฟุต หรือราวๆ183เซ็นติเมตร
ชื่อของลาปิเอต้านั้นแปลว่า"ความเวทนา"หรือ"ความเห็นอกเห็นใจ"ซึ่งคล้องกับรูปสลักที่เป็นพระแม่มารีย์ผู้เป็นแม่ อุ้มร่างของพระเยซูผู้เป็นลูก
โดยผลงานชิ้นนี้มีความโด่งดังมากจากรายละเอียดที่โดดเด่น
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอนาโตมี่ที่งดงาม หรือความพริ้วไหวของเสื้อผ้าที่ดูราวกับว่ามันสามารถขยับได้จริง
เมื่อเสร็จลาปิเอต้านี้แล้ว ไมเคิลแองเจโล่ได้กลับไปยังฟลอเรนซ์ และได้ไปทำรูปแกะสลักที่ทำได้ยากมากจนทำให้ศิลปินถึงสองคนต้องยอมแพ้และทิ้งงานที่ยังไม่เสร็จนี้ไว้ เขาจึงอาสาออกตัวทำรูปแกะสลักนี้ต่อ
ก่อกำเนิดเป็น"เดวิด"
รูปปั้นเดวิดแห่งฟลอเรนซ์
เดวิดคือชื่อของรูปปั้นชายหนุ่มที่แสนจะโด่งดังว่ามีสรีระที่งดงามและสมบูรณ์แบบที่สุด
โดยรูปปั้นเดวิดนี้ใช้เวลาแกะสลักถึง 3 ปี ด้วยขนาด17ฟุต
และด้วยเหตุนี้เองเดวิดจึงได้เป็นรูปปั้นแกะสลักระดับตำนานที่แสนภาคภูมิใจของเมืองฟลอเรนซ์ และมีชื่อเล่นว่า"ยักษ์"อีกด้วย
หลังจากงานลาปิเอต้า และเดวิด ไมเคิลแองเจโล่มีชื่อเสียงที่โด่งดังเพิ่มมากขึ้นสุดๆ จนชื่อของเขาเลื่องลือไปกระทบหูของผู้นำสูงสุดแห่งศาสนาคริสต์ อย่าง"โป๊ปจูลิอุสที่2"
โป๊ปจูลิอุสได้ว่าจ้างไมเคิลแองเจโล่จึงให้ไปแกะสลักสร้างสุสานของเขา
ด้วยความที่ไมเคิลแองเจโล่ชอบทำงานแกะสลักอยู่แล้ว และบวกกับการได้ทำสุสานให้โป๊ปเป็นเรื่องที่มีเกียรติอย่างมาก เขาจึงยินดีที่จะทำให้
แต่หารู้ไม่ว่านรกได้เริ่มขึ้นแล้ว...
หลังจากที่ไมเคิลได้ตกลงรับงาน เขาก็ได้เริ่มจัดหาสั่งซื้อหินอ่อนและเริ่มร่างแบบออกแบบต่างๆ ในขณะเดียวกันนั้นโป๊ปจูลิอุสกลับเริ่มเปลี่ยนความสนใจจากการสร้างสุสานไปเป็นการลงทุนบูรณะโบสถ์ใหม่
โป๊ปได้สั่งให้ไมเคิลไปวาดรูปโบสถ์แทน และปฏิเสธที่จะจ่ายเงินค่าหินอ่อนที่ไมเคิลลงทุนลงแรงไปหามาเพื่อทำงานนี้
ไมเคิลแองเจโล่หัวร้อนหนักมาก อย่างแรกเลยคือโป๊ปจูลิอุสไม่ยอมจ่ายเงินค่างานที่เขาเสียไป และอย่างที่สองคือไมเคิลไม่ชอบวาดรูป เขาเกลียดงานนี้ เงินก็ไม่จ่ายคืน ยังมีหน้ามาสั่งให้ไปวาดรูปอีก! ไมเคิลแองเจโล่จึงหนีกลับไปที่ฟลอเรนซ์และสาบานว่าจะไม่กลับไปโรมอีกแล้วโว้ย!
แต่ก็ทำได้แค่คิดเพราะสุดท้ายเขาก็ไม่สามารถหนีผู้นำสูงสุดของประเทศได้พ้น เขาถูกพาตัวกลับไปที่โรมและถูกบังคับให้วาดโบสถ์น้อยซิซทีน(Sistine Chapel)
ไมเคิลแองเจโล่หัวเสียมากจนกลายเป็นคนsavage
เขาเริ่มจากการกล้าปฏิเสธโป๊ป “ฉันจะไม่ไปทำอะไรทั้งนั้นนอกจากทำสุสานโดยเฉพาะการวาด”
แต่ถ้าจะให้พูดตามตรง ไม่มีใครอยากที่จะวาดรูปให้ซิสทีนชาเปลอยู่แล้ว
อย่างแรกเลยคือการวาดภาพให้โบสถ์นี้ไม่ใช่การวาดจากที่อื่นแล้วทำไปแปะ แต่เป็นการวาดที่ตัวโบสถ์โดยตรงเลย
โบสถ์น้อยซิสทีนนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1477 โดยถูกสร้างขึ้นตามแบบพระคัมภีร์ไบเบิล "อารามของโซโลม่อน" ทำให้โบสถ์มีรูปทรงเหมือนป้อมปราการ ฐานของโบสถ์หนา 10 ฟุต และมีความสูงถึง 60 ฟุต มีช่องสำหรับยิงธนูอยู่รอบๆอีกด้วย
ขั้นตอนการทำงานของไมเคิลแองเจโล่เองก็ไม่ง่ายเช่นกัน
อย่างแรกเลย คือเขาต้องสร้างบันไดนั่งร้าน ที่จะทำให้เขาสามารถขึ้นไปวาดรูปบนเพดาน 60 ฟุตนั้นได้
ซึ่งตอนแรกมีการจ้างสถาปนิคมา แต่ไมเคิลเขาไม่พอใจไอเดียบันไดนั่งร้านธรรมดา ที่ทั้งแกว่งไปแกว่งมา และไม่เอื้อต่อการทำงานของสถาปนิคคนนั้น สุดท้ายเขาก็ลงมือออกแบบเอง สร้างเองเสียเลย
เขานำแผ่นไม้มาติดรอบด้านภายในโบสถ์ ใช้เป็นฐานที่ยืนและสร้างขั้นบันไดที่เป็นเหมือนสะพานโค้งตามรูปทรงของเพดานโบสถ์เพื่อที่เขาจะได้สามารถวาดภาพได้
หน้าตาของนั่งร้านที่ไมเคิลแองเจโล่เป็นผู้ออกแบบ
การวาดภาพมันทั้งเลอะสีเลอะฝุ่น จึงมีการนำผ้าผืนใหญ่มาแขวนรองเอาไว้ ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้เขาเผื่อเกิดหน้ามืดขึ้นมา
แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น ผ้าผืนนี้จะทำให้คนที่เข้ามาในโบสถ์ไม่สามารถเห็นรูปที่ยังวาดไม่เสร็จของไมเคิลได้ เพราะไม่เคิลแองเจโล่ไม่ชอบให้ใครเห็นงานที่ยังไม่เสร็จดีของเขา และไม่ชอบให้ใครดูเขาตอนทำงานอยู่ด้วย
การวาดภาพแบบ Fresco นั้นเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับจิตรกร ยิ่งไปกว่านั้นไมเคิลแองเจโล่มีประสบการณ์ในการทำภาพเฟรสโก้น้อยมากๆ
การวาดภาพขนาดใหญ่กว่า 150 ภาพ บนเพดานโบสถ์ที่มีความสูงถึง 60 ฟุต และต้องเป็นเทคนิคเฟรสโก้ เป็นงานที่ควรใช้จิตรกรทั้งหมดหลายคนเลยล่ะ
แต่ไมเคิลกลับเลือกผู้ช่วยเพียง 4 คนเท่านั้น ทว่าผู้ช่วยของเขากลับผสมปูนพลาด ไมเคิลจึงไล่ออกเกือบหมด ดังนั้นงานนี้ไมเคิลแองเจโล่ทำทั้งหมดจนแทบจะเรียกได้ว่าตัวคนเดียวเลย
ก่อนการเริ่มวาด ไมเคิลแองเจโล่ต้องลอกปูนปลาสเตอร์บนผนังชั้นนอกออก แล้วจึงผสมปูนใหม่เพื่อฉาบลงไป
โดยการวาดภาพแบบเฟรสโก้นั้น จิตรกรต้องร่างภาพขนาดเท่าของจริงก่อน โดยภาพนี้เขาจะเรียกกันว่าภาพการ์ตูน ซึ่งมันก็ไม่ได้เหมือนกับภาพการ์ตูนที่คนสมัยนี้ใช้กันสักเท่าไหร่หรอกนะ
จิตรกรจะต้องนำปูนเปียกไปฉาบบนผนัง แล้วเอาภาพการ์ตูนไปวางทับ ก่อนจะเจาะรูเล็กๆให้ได้ตามรอยแบบ แล้วจึงนำผงถ่านสีผสมสีแล้วไปทาถูให้เกิดเป็นรอย
เมื่อจุดเล็กๆรวมกันจึงเกิดเป็นเส้นขึ้นมา หลังจากนั้นจึงลอกภาพการ์ตูนออก แล้วเริ่มลงมือลงสีบนผนังสดๆ
เขาต้องฉาบปูนปลาสเตอร์ไปบนบริเวณที่เขาจะวาด แล้วรีบลงสีให้เร็วก่อนที่ปูนจะแห้ง
การวาดนั้นเรียกได้ว่าทรหดสุดๆ ไมเคิลจะต้องนอนวาด ซึ่งนอกจากจะทำให้เมื่อยแขนแล้ว สีเอย ฝุ่นเอยคือหยดลงบนตัวบนหน้าอีก บ้างก็เข้าตา
หรือถ้าหากว่าได้ยืนวาดเรียกได้ว่าน่าเศร้ากว่าเดิมอีก เพราะนอกจากจะต้องทนยืนขาแข็ง แขนล้าแล้ว ยังต้องเงยหน้าแอ่นตัววาด(อีกตามภาพประกอบ)
แค่คิดตามก็ปวดคอ ปวดเอวไปหมด และที่เขาทำนี่ไม่ใช่แค่เดือนสองเดือน แต่เป็นปี!
ภาพท่าทางการทำงานที่วาดโดยตัวของไมเคิลแองเจโล่เอง
...นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ไมเคิลแองเจโล่กลายเป็นคนที่savageก็ได้นะ
โป๊ปจูลีอุสผู้ว่าจ้างก็เร่งงานเหลือเกิน ชอบเข้ามาในโบสถ์แล้วตะโกนถามว่า “เมื่อไหร่จะเสร็จ?”
ไมเคิลเองก็ไม่เบา แรงมาแรงตอบ “เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ” จะว่าไป มันจะมีใครกล้าต่อกรกับพระสันตะปาปาขนาดนี้อีกไหมน้อ…
โป๊ปก็ใช่ว่าถามแค่ครั้งเดียวเสียเมื่อไหร่ เขามักจะเข้าไปในโบสถ์แล้วถามอยู่เนืองๆว่า “จะเสร็จยังๆ ๆ ๆ?” ไมเคิลก็ตอบไปว่า “จนกว่าฉันจะพอใจในฐานะศิลปิน” โป๊ปโมโหแน้วน้า เอาไม้เท้าตีไปตุ๊บหนึ่งเลย…
แต่ความSavageของไมเคิลแองเจโล่ไม่ได้จบลงแต่เพียงเท่านี้
ที่เด็ดก็มีครั้งหนึ่งที่โป๊ปจูลีอุสเข้ามาในโบสถ์ เขาสงสัยมากว่างานไปถึงไหนแล้วและอยากเห็นมาก เขาจึงขัดคำสั่งของไมเคิลแองเจโล่ที่ว่าห้ามใครมาดูงานของเขาจนกว่างานจะเสร็จ แล้วปีนบันไดขึ้นไปแอบดู
พอไมเคิลแองเจโล่เห็นเท่านั้นแหละ เขารีบคว้าเศษไม้ปาอัดโป๊ปแบบไม่สนฐานะ ไม่สนตำแหน่ง และไม่เกรงใจเลยทีเดียว
ในช่วงที่ทำงานของเขา ไมเคิลแห้งเหี่ยวมาก
เขาได้แต่งกลอนส่งกลับบ้านไปด้วยว่าเขาทรมานขนาดไหน
ในที่สุด ปลายเดือนตุลาคมปี 1512 งานนรกของไมเคิลแองเจโล่ได้สิ้นสุดลง
ไมเคิลได้เดินทางกลับไปอยู่เมืองฟลอเรนซ์ที่จากมาในที่สุด
ในวันที่ 21 มกราคม 1513 หรือราวๆ 3 เดือนหลังจากที่งานเสร็จ
พระสันตะปาปาจูลิอุสที่ 2 ก็ได้เสียชีวิตลง
พระสันตะปาปาองค์ใหม่โป๊ปลีโอที่10 จึงได้ติดต่อหาไมเคิลแองเจโล่ให้มาทำสุสานของโป๊ปจูลิอุสต่อ
ถึงแม้ว่าไมเคิลแองเจโล่จะไม่ค่อยถูกกับโป๊ปจูลิอุสที่2มากนัก แต่ถ้าอีกฝ่ายไม่อยู่แล้ว และเขาได้ทำงานแกะสลักที่รัก ก็คงไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ
ขอบคุณภาพจากเว็บ
http://www.sistinevr.com/
1 บันทึก
4
2
4
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
History - ประวัติศาสตร์น่ารู้ ที่คุณอาจจะอยากรู้ หรือที่คุณอาจจะรู้แล้ว หรือที่คุณอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน
1
4
2
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย