26 มิ.ย. 2020 เวลา 01:46 • ประวัติศาสตร์
“จอร์จ วอชิงตัน (George Washington)” ประธานาธิบดีคนแรกแห่งสหรัฐอเมริกา ตอนที่ 2
วีรบุรุษสงคราม
จอร์จเติบโตเป็นชายหนุ่ม ร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้างบึกบึน ดวงตาสีฟ้า และมีผมสีน้ำตาลแดง
จอร์จมีส่วนสูงถึง 6 ฟุต 2 นิ้ว (188 เซนติเมตร) ทำให้เขาเป็นคนที่เด่นเวลายืนกลางฝูงชน และเขาก็มีสุขภาพแข็งแรงมาก ยกเว้นเรื่องฟันของเขาที่ไม่ค่อยดีนัก
แต่ดูเหมือนลอว์เรนซ์ พี่ชายแสนดีของจอร์จจะไม่แข็งแรงนัก เขามักจะไอบ่อยๆ จอร์จกับลอว์เรนซ์จึงได้ออกเดินทางไปเกาะบาร์เบโดส ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากเวเนซูเอล่า และหวังว่าอากาศที่อบอุ่นในแถบนั้น น่าจะทำให้ลอว์เรนซ์มีอาการดีขึ้น และนี่ก็เป็นการเดินทางออกนอกอเมริกาเหนือครั้งเดียวของจอร์จ
แต่ลอว์เรนซ์นั้นไม่ดีขึ้นเลย ส่วนจอร์จก็ล้มป่วยด้วยไข้ทรพิษ แต่ก็รอดมาได้ ส่วนลอว์เรนซ์นั้นอาการแย่ลงทุกวัน จนเสียชีวิตในปีค.ศ.1752 (พ.ศ.2295) โดยมีจอร์จอยู่ข้างเตียง
ลอว์เรนซ์ วอชิงตัน (Lawrence Washington)
การตายของลอว์เรนซ์นั้นทำให้จอร์จเสียใจมาก เขาอายุเพียง 20 ปีแต่ก็ต้องสูญเสียคนที่เคารพรักมากที่สุดไปแล้ว
ลอว์เรนซ์เป็นเจ้าหน้าที่ในกองทหารอาสา และเมื่อลอว์เรนซ์ตายแล้ว ตำแหน่งของลอว์เรนซ์ก็ว่าง จอร์จจึงเข้ามารับตำแหน่งแทนพี่ชาย
ในเวลานั้น เป็นต้นยุค 1750 (พ.ศ.2293-2302) อังกฤษและฝรั่งเศสได้รบเพื่อแย่งชิงดินแดนแถบหุบเขาบริเวณแม่น้ำโอไฮโอ
ทั้งสองชาติต้องการจะควบคุมดินแดนแถบนี้
กองทัพฝรั่งเศสได้ตั้งป้อมปราการขึ้นมากมาย และต้องการจะควบคุมชาวอาณานิคมให้กระจุกอยู่ในบริเวณชายฝั่งตะวันออก
จอร์จได้รับคำสั่งให้นำสาส์นไปส่งยังกองทัพฝรั่งเศส บอกให้ฝรั่งเศสถอยออกไป
ถึงแม้ฝรั่งเศสจะไม่สนใจคำเตือน แต่การเดินทางไปส่งสาส์นนี้ก็เป็นการเดินทางครั้งสำคัญของจอร์จ
จอร์จพร้อมกับชายคนอื่นๆ เพียงไม่กี่คน ต้องเดินทางผ่านป่าเขาเป็นระยะทางนับพันไมล์ ข้ามเขาอีกสองลูก ตกลงจากแพขณะกำลังข้ามน้ำ ต้องลงไปอยู่ในน้ำที่เย็นจัด
แต่สุดท้าย จอร์จก็สามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัยและได้รับการยกย่องในความกล้าหาญ
ไม่กี่เดือนต่อมา จอร์จได้กลับมาที่หุบเขาบริเวณแม่น้ำโอไฮโออีกครั้ง คราวนี้เขากลับมาพร้อมคนอีกกว่า 150 คน โดยมีภารกิจคือการสร้างป้อม
ในเวลานั้น สงครามระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสยังไม่ได้เริ่มต้นอย่างจริงๆ จังๆ แต่เมื่อคนของฝ่ายจอร์จได้เจอกับทหารฝรั่งเศส และได้เกิดการยิงต่อสู้กันขึ้น การยิงที่ทุกวันนี้ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าฝ่ายไหนเริ่มยิงก่อน
แต่ผลที่ออกมาก็คือคนของจอร์จต่างอยู่รอดปลอดภัย ในขณะที่ฝ่ายฝรั่งเศสต้องเสียทหารไปจำนวน 10 นาย และหนึ่งในนั้นคือผู้บัญชาการฝ่ายฝรั่งเศส
เท่านี้เอง สงครามระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสก็ได้เริ่มต้นขึ้น โดยฝ่ายฝรั่งเศสนั้นส่งทหารอีกกว่า 800 คน พร้อมทั้งกองทัพอินเดียนแดงอีกกว่า 400 คน บุกโจมตีกองทัพที่มีขนาดเล็กกว่ามากของจอร์จ
กองทัพของจอร์จนั้นเสียทหารไปกว่า 100 นาย และในที่สุด จอร์จกับทหารที่เหลือก็ต้องยอมแพ้
แต่จอร์จและทหารที่รอดชีวิตก็ไม่ได้ถูกจับเป็นเชลย แต่พวกเขาก็ต้องทิ้งป้อมและถอยทัพกลับ
ความพ่ายแพ้ครั้งนี้เป็นบาดแผลในใจของจอร์จ ตลอดชีวิตของจอร์จ เขาห่วงเรื่องภาพลักษณ์ของตัวเองมาโดยตลอด
จอร์จต้องการจะมีภาพลักษณ์ที่กล้าหาญและมีเกียรติ การยอมแพ้นั้นเป็นเรื่องน่าอาย แต่ถึงอย่างนั้น จอร์จก็ได้รับการยกย่องในการมีภาวะผู้นำ และเส้นทางอาชีพทหารของเขาก็ไปได้ดี
จากนั้น จอร์จก็ได้รับหน้าที่ให้เป็นทหารคนสนิทของนายพลอังกฤษคนหนึ่ง และนายพลคนนี้ได้รับหน้าที่ให้มาไล่ทหารฝรั่งเศสออกไป
นายพลอังกฤษได้นำทัพทหารกว่า 2,000 นาย มาโจมตีป้อมที่ใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส
ในยุโรป การสู้รบจะเป็นในลักษณะที่ต่างฝ่ายต่อสู้กันในที่โล่ง โดยต่อละฝ่ายจะยืนเรียงเป็นหน้ากระดาน เดินเข้าหาอีกฝ่าย และยิงปืนใส่กัน
จอร์จได้พยายามเตือนท่านนายพลว่าการต่อสู้ที่สหรัฐอเมริกา ไม่เหมือนกับในยุโรป ศัตรูจะโจมตีจากทุกทิศทาง อีกทั้งทหารฝรั่งเศสและพวกอินเดียนแดงก็โจมตีจากในป่า โดยพวกนี้จะหลบซ่อนตามต้นไม้และก้อนหิน
แต่ท่านนายพลก็ไม่ฟังที่จอร์จเตือน และยังคงเข้าโจมตีตามที่ถูกฝึกมา และผลลัพธ์ที่ได้ก็คือความพินาศ ทหารอังกฤษต้องเสียชีวิตมากกว่า 100 นาย
จอร์จนั้นต้องเสียทั้งเสื้อโค้ท ทั้งหมวกจากการสู้รบ แต่เขาไม่ได้ถูกยิงเลย ในขณะที่นายพล เจ้านายของเขานั้น เสียชีวิตจากบาดแผลจากการรบ
เมื่อนายพลตายแล้ว จอร์จจึงเข้าควบคุมกองทัพด้วยตนเอง
จอร์จเพิ่งจะมีอายุได้ 22 ปี และตลอดเวลาห้าปีต่อจากนั้น เขาก็ได้สร้างป้อมกว่า 80 ป้อมตลอดแนวแม่น้ำโอไฮโอ และสู้รบกับทัพฝรั่งเศสและอินเดียนแดง
สุดท้ายแล้ว อังกฤษเป็นผู้ชนะในสงครามครั้งนี้ ชาวอาณานิคมสามารถย้ายมายังตะวันตกและตั้งรกรานในบริเวณแถบแม่น้ำโอไฮโอได้
ชีวิตทหารของจอร์จดูเหมือนจะเริ่มพุ่ง แต่จะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามได้ในตอนหน้านะครับ
โฆษณา