27 มิ.ย. 2020 เวลา 05:00 • ประวัติศาสตร์
ผู้ยิ่งใหญ่แห่งประจิมทิศ! 'โมริ โมโตนาริ' ขุนศึกผู้ถ่อมตนที่พิชิตดินแดนจูโกคุของญี่ปุ่น
WIKIPEDIA CC ALVIN LEE
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด
ในยุคเซนโกคุหรือยุคสงครามกลางเมืองของญี่ปุ่น เป็นยุคสมัยที่ให้กำเนิดยอดขุนศึกมากมายบนแผ่นดิน และหนึ่งในขุนพลผู้โดดเด่นที่สุดอีกคนเห็นจะไม่พ้น โมริ โมโตนาริ ขุนศึกหนุ่มผู้สามารถพิชิตดินแดนจูโกคุทางตะวันตกของญี่ปุ่นให้อยู่ภายใต้ร่มธงของตระกูลโมริ ที่มีพื้นเพมาจากตระกูลเล็ก ๆ ที่ไม่ได้มีอำนาจมากมายอะไร ให้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในตระกูลที่ทรงอำนาจที่สุดทางทิศตะวันตก
โมริ โมโตนาริ เป็นบุตรคนรองของ โมริ ฮิโรโมโตะ ผู้นำตระกูลโมริที่เป็นไดเมียวผู้ทรงอิทธิพลในดินแดนจูโกคุ แต่ด้วยความที่เขาเป็นลูกของภรรยารอง จึงทำให้เขาไม่มีสิทธิในการเป็นผู้สืบทอด บวกกับนิสัยที่เจียมตน เงียบขรึม และปฏิบัติตามธรรมเนียมของตระกูลอย่างเคร่งครัด จึงทำให้ตำแหน่งทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งตกเป็นของ โมริ โอคิโมโตะ แทน และเขาก็ทำหน้าที่รับใช้และสนับสนุนพี่ชายของตนเป็นอย่างดี
ในตอนนั้นโมโตนาริยังเป็นขุนพลหนุ่ม และเขาก็ต้องพบกับปัญหายุ่งยากทั้งจากภายในตระกูลและจากภายนอก เพราะในตอนนั้นได้เกิดสงครามกลางเมืองญี่ปุ่น ซ้ำร้ายโมโตนาริต้องเผชิญหน้ากับการคุกคามจากตระกูลอิโนอุเอะ ที่รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลตนเอง แต่ก็คิดแย่งชิงอำนาจตลอดเวลา ซ้ำร้ายดินแดนของตระกูลโมริยังถูกขนาบจากตระกูลอามาโงะและตระกูลโออุจิ ที่มีกำลังทหารเหนือกว่า ทำให้โมโตนาริต้องทนอยู่ในสภาพจำยอม ภายหลังพี่ชายของเขาอย่างโอคิโมโตะ ได้เลือกสนับสนุนตระกูลโออุจิ ท่ามกลางความขัดแย้งภายในตระกูลโมริที่มีความคิดเห็นขัดแย้งกัน เพราะตระกูลอิโนอุเอะนั้นเลือกสนับสนุนตระกูลอามาโงะ
ต่อมา โมริ โอคิโมโตะ เสียชีวิตด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง จนเป็นเหตุให้โมโตนาริต้องก้าวขึ้นมารับผิดชอบชะตากรรมของตระกูลโมริอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะบุตรชายของโอคิโมโตะอย่างโคมัตสึมารุยังอายุน้อย ด้วยเหตุนี้ โมโตนาริจึงต้องรับหน้าที่เป็นผู้นำตระกูลจนกว่าทายาทตัวจริงอย่างโคมัตสึมารุจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่พอ
WIKIPEDIA CC ALVIN LEE (สีส้มอมเหลือง = อาณาเขตของตระกูลโมริ)
และในที่สุด สวรรค์ก็ได้มอบโอกาสให้โมโตนาริได้พิสูจน์ฝีมือ เมื่อปราสาทคานายามะถูกโจมตีจากฝ่ายข้าศึกที่มีกำลังพลถึง 5,000 คน ในขณะที่ตระกูลโมริและตระกูลที่เป็นพันธมิตรมีกำลังเพียงหนึ่งพันเศษ แต่โมโตนาริสามารถใช้สติปัญญาวางแผนซุ่มโจมตีจนสามารถเอาชนะกองทัพฝ่ายข้าศึกได้เป็นผลสำเร็จ ภายหลังสงครามครั้งนี้ถูกเรียกว่า ‘ยุทธการอาริตะ-นากาอิเดะ’ (Battle of Arita-Nakaide) ที่กลายเป็นสมรภูมิสร้างชื่อของโมโตนาริให้ปรากฏบนแผ่นดิน
ต่อมาหลานชายของเขาอย่างโคมัตสึมารุได้เสียชีวิตลง ส่งผลให้โมโตนาริเป็นผู้นำของตระกูลโมริเต็มตัว และเขาได้คิดบัญชีกับตระกูลอิโนะอุเอะที่สร้างปัญหาก่อกวนอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับกำจัดตระกูลอามาโงะและโออุจิ ด้วยการใช้เล่ห์เหลี่ยมและสติปัญญาเพื่อให้สองตระกูลนี้แตกคอกันเอง รวมไปถึงขยายดินแดนของตระกูลโมริจนสามารถยึดดินแดนส่วนใหญ่ทางตะวันตกของญี่ปุ่นได้
อาจกล่าวได้ว่าเมื่อฟ้าเป็นใจให้โมโตนาริได้ก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่เหนือใครในตระกูลโมริ เขาก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังความทะเยอทะยานของตนอีกต่อไป โมโตนาริเองก็ได้พิสูจน์ตนเองว่าพร้อมจะเป็นผู้ครองแผ่นดินญี่ปุ่น แต่น่าเสียดายว่าเขาไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้สำเร็จ เนื่องจากวัยที่มากขึ้น ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตด้วยโรคชรา โดยหลุมศพของเขาตั้งอยู่ในสุสานโยชิดะ-โคริยามะในเมืองอาคิทากาตะ จังหวัดฮิโรชิมา ของประเทศญี่ปุ่น
WIKIPEDIA CC TT MK2
แต่ยังมีสิ่งหนึ่ง ที่เขาได้สอนลูกชายสามคนของเขาไว้ก่อนตาย ด้วยการมอบลูกธนูให้คนละดอก และสั่งให้ลูก ๆ ทั้งสามหักธนู ปรากฏว่าลูกธนูถูกหักอย่างง่ายดาย ดังนั้นโมโตนาริจึงสั่งให้มัดรวมธนูสามดอกแล้วให้ลูกชายลองหักอีกครั้ง ทั้งสามคนพยายามแล้วพยายามอีก ก็ยังทำไม่สำเร็จ โมโตนาริจึงสอนลูกชายทั้งสามว่า ‘ธนูดอกเดียวย่อมหักได้ง่าย แต่ถ้าธนูรวมกันสามดอกแล้วย่อมไม่อาจหักได้ง่าย’ ซึ่งนั่นเป็นคำสอนของโมโตนาริที่มีต่อลูกชายทั้งสามว่าให้รักและสามัคคีกัน แล้วใครก็จะทำอะไรพวกเขาไม่ได้เช่นกัน
และคำสอนลูกของโมโตนาริ ก็กลายเป็นหนึ่งในคติสอนใจสุดคลาสสิคที่ได้มอบไว้ให้ชนรุ่นหลังได้รำลึกถึงอีกด้วย
ร่วมเป็นผู้สนับสนุนให้เรามีกำลังผลิตงานต่อไปได้ทาง บัญชีกสิกรไทย
0698966939
บริษัท สโป๊คดาร์ค จำกัด

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา