ผมเชื่อว่านี่คือหนังสือที่ท้าทายความเชื่อและภูมิปัญญาโบราณของพวกเราทุกคน …..
.
วันโลกาวินาศถูกเลื่อนออกไปหรือมันจะไม่มีอยู่จริง
เมื่อจุดสิ้นสุดประวัติศาสตร์ถูกเลื่อนออกไป จากคำทำนายของเหล่าผู้ทรงอิธิพลทางจิตวิณญาณ หรือจากการบันทึกด้วยภูมิปัญญาครั้งเก่าก่อนเริ่มมีข้อกังขาว่าจะเป็นจริงอยู่อีกหรือไม่เจ้าลัทธิและนักบวชจะเล่าเรื่องต่ออย่างไรต่อการปฏิวัติ แฝด
.
การปฏิวัติแฝดที่ว่านี้ก็คือ
- การปฏิวัติเทคโนโลยีชีวภาพ
และ
- การปฏิวัติเทคโนโลยีสารสนเทศ
.
ทั้งคู่นี้จะเปลี่ยนขั้วอำนาจของโลกจากประเทศมหาอำนาจผู้กล่าวอ้างเสรีนิยมที่ไม่มีอยู่จริงมาสู่ผู้ถือครองเทคโนโลยีไบโอเทคและอินโฟเทคเมื่อถึงเวลานั้นพวกเราส่วนที่เหลือจะเป็นเช่นไร
.
เราควรจะแตกตื่นเหมือนครั้งที่ได้รับรู้ข่าววันสิ้นโลกหรือไม่ การกล่าวอ้างที่พิสูจน์ด้วยศรัทธาในจิตวิญญาณของเหล่าสาวก ความเป็นเสรี เราจะยกยอเรื่องเล่าโบราณให้มีน้ำหนักกว่าไบโอเทคและอินโฟร์เทคได้อย่างไร
.
เห็นได้ชัดว่าคำถามที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ข้างต้น
.
จะต้องแก้ไขด้วยการเปลี่ยนการเล่าเรื่องทั้งหมดนี้เสียใหม่
เพราะในอีก 30 ปีข้างหน้าตามที่ผู้เขียนหนังสือได้บอกไว้โลกของสารสนเทศจะไม่มีใครปิดกั้นข้อมูลได้อีก ข้อเท็จจริงจะมีน้ำหนักมากกว่าเรื่องเล่าและเสรีนิยมจอมปลอมของมหาอำนาจโลก
.
เราจะเชื่อในความเป็นเสรีนิยมของ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้อย่างไร เมื่อเขาแก้ปัญหาเสรีนิยมบนความเท่าเทียมด้วยกำแพงกั้นพรมแดนสหรัฐและเม็กซิโก
.
จุดสิ้นสุดของโลกจะไม่หายไปในทันที แต่จะถูกเลื่อนออกไปจนกว่าผู้ส่งอภิสิทธิ์ชนเหล่านั้นจะหาเรื่องเล่าแบบใหม่ที่สมเหตุสมผลและเข้ากันได้กับเรื่องการปฏิวัติแฝดไบโอเทคและอินโฟเทค
.
ภูมิปัญญาโบราณจะถูกเก็บรักษาในหอจดหมายเหตุเพื่อเตือนใจว่าครั้งหนึ่งพวกเราเคยไม่รู้ ความไม่รู้นำพาให้พวกเราหาคำตอบสร้างความร่วมมือกันอย่างเป็นเครือข่าย เราเพ้อฝัน เราจินตนาการถึงสิ่งที่ไม่มีอยู่ พวกเราจดบันทึก อภิปราย บอกเล่าจนกระทั่ง บางเรื่องเราเริ่มเข้าใกล้กับความเพ้อฝันเหล่านั้น