ความเกรงใจ ความรู้สึกไม่อยากถูกเกลียด จากเพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ครอบครัว หรือคนแปลกหน้า ทำให้เราจัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า “คนดี” ทำให้การแสดงออกของคนดีเป็นไปโดยไม่ได้ตอบสนองความต้องการของตัวเองอย่างแท้จริง จริงอยู่การเอาแต่ใจตัวเองทุกอย่างไม่ได้ให้ผลลัพธ์ในทางบวกเสมอไป อาจเป็นส่วนน้อยเสียด้วยซ้ำไปที่เอาแต่ใจแล้วจะทำให้สถานะการณ์โดยรอบดีขึ้น
.
คนดีจะมีชีวิตที่อึดอัดและถูกมองว่าเป็ฯคนไม่น่าเชื่อถือ เพราะตามใจผู้คนรอบข้างไปเสียทุกอย่างจนขาดจุดเด่นหรือเรียกว่าเป็นคนที่ไม่มีเส้นแบ่งพื้นที่ส่วนตัว พวกเขามักถูกเอาเปรียบ ไขว่คว้าการยอมรับจากผู้อื่น เป็นคุณค่าหลักในการดำเนินชีวิตของเขา
.
แต่ไม่ต้องตระหนกไปนะครับ ผมว่าใครๆ ก็เป็นกัน คนส่วนน้อยนักที่จะเป็นคนในแบบตรงกันข้ามกับคนดี หนังสือเล่มนี้ได้ให้แนวคิดที่ออกจะสุดโต่งในเรื่องการเลิกใส่ใจความคิดและการชี้นำคนรอบข้าง ซึ่งแท้จริงแล้วผมคิดว่าเราจะเอาแต่ใจได้เบอร์นั้นเราน่าจะต้องอยู๋ในตำแหน่งที่สูงเพียงพอเสียก่อน มีฐานะมั่งคั่ง ถึงจะเลิกรับความช่วยเหลือจากใครต่อใครได้
.
80% ของเนื้อหาในเล่ม ผมคิดว่าเอามาปรับใช้ในสังคมแบบไทยๆ ยากมาก ตอนใกล้จบเล่มเนื้อหาก็จะดูเบาลงหน่อย อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนได้บอกว่านี่คือความคิดความรู้สึกส่วนตัวของเขา ไม่มีสิ่งใดถูกหรือผิดขึ้นอยู่กับการปรับใช้ตามแต่สถานการณ์ กระนั้นเองผมก็มีข้อคิดที่ชอบอยู่มากๆ ในหนังสือเล่มนี้ คือ “การได้ทำตามความต้องการของตัวเอง จะทำให้ไม่รู้สึกแย่และค้างคาใจในภายหลัง” ซึ่งข้อนี้จริงที่สุด ผมไม่ได้หมายความว่าให้ทุกคนทำชั่ว หรือเอาแต่ใจ แต่บางครั้งเมื่อโอกาสมาถึงอย่าปล่อยให้มันหลุดลอยไปเพียงเพราะว่า ไม่กล้าแสดงออกหรือกระทำในสิ่งที่ต้องการ ด้วยความเกรงใจ อาย กลัวโดนมองว่าไร้สาระ
.
คนดีช่างน่าเบื่อหน่าย แม้ผมจะรู้สึกแปลกๆ กับข้อความนี้แต่ลองไตร่ตรองจากประสบการณ์ดูแล้วมันจริง การที่เรารู้ว่าคาแรคเตอร์ของใครเป็นอย่างไรมันทำให้เราสบายใจกว่าเวลาที่คบหาด้วย เช่น คนนี้ไม่ชอบให้พูดหยาบ คนนี้มักให้ข้อคิดเป็นที่ปรึกษาที่ดีแต่เป็นคนเจ้าชู้ คนนี้ชอบกินฟรีแต่ถ้ามีงานที่ต้องใช้แรงกายถ้าออกปากแล้วเขาไม่เคยปฏิเสธเลย จะยังดีเสียกว่าที่คบคนดีตามใจเราทุกอย่างแต่เรามองไม่ออกถึงคาแรคเตอร์ ที่แท้จริงของเขาเลย ทำให้คนดีพวกนี้โดดเดี่ยวเพราะไม่มีใครวางใจ
.
คนดีจะปิดบังตัวตนที่แท้จริงเพราะกลัวถูกเกลียด ถ้าเป็นคู่รักกันก็จะเป็นความจืดชืด เพราะมีแต่คำพูดว่า “แล้วแต่คุณ” บางครั้งเป็นการดีเสียยิ่งกว่าที่จะแสดงตัวตนที่แท้จริงของทั้งคู่ออกมาในเดทแรก ฝ่ายชายอาจเลือกร้านเหล้าแบบธรรมดาไม่ได้หรูหรามากนัก ก็จะทำให้เห็นอาการของอีกฝ่ายได้ เช่นเดียวกันฝ่ายหญิงอาจแสดงตัวออกไปว่าไม่ชอบการทำงานบ้านเลย เพื่อรอดูว่าฝ่ายชายจะว่าอย่างไร จะได้ไม่ต้องเสียเวลาซึ่งกันและกัน โดยการแกล้งเป็นคนดี เพราะเมื่อกินอยู่ด้วยกันไปแล้วความผูกพันธ์จะเป็นสายใยที่ตัดขาดยากกว่าความรักแบบหนุ่มสาวถึงตอนนั้นการเลิกรากันคงไม่ใช่เรื่องง่าย
.
ความสัมพันธ์ ทางกายของฝ่ายหญิงที่จะให้กับฝ่ายชายผู้เขียนได้กล่าวว่า ฝ่ายชายจะมีกระบวนการทำให้ความรักของเขาสุกงอมอยู่มันเป็นเหมือนการไต่ระดับขั้นบรรได เช่น เดทแรกกลับบ้านด้วยความประทับใจโทรหากันทุกวัน นัดเดทอีกครั้งมีกิจกรรมอื่นๆ ข้างนอกบ้าง บางครั้งงอนกัน ร้องไห้ ง้อกัน กลับมาคืนดี คิดถึงอยากเจออยากคุยด้วย นัดเดทอีกครั้ง ความรู็สึกที่มีต่อกันเพิ่มมากขึ้น ความประทับใจ ถ้านานพออาจได้เรียนรู้ข้อเสียของทั้งสองฝ่ายออกมาบ้าง จนทั้งคู่เริ่มรู็สึกถึงคำว่าชีวิตคู่ ขาดกันและกันไม่ได้ อยากที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน แล้วตามด้วยการมีเพศสัมพันธ์อย่างถูกที่และถูกเวลา จะยิ่งสร้างความสัมพันธ์ให้แนบแน่นขึ้นหลายเท่าตัว
แต่ถ้าความรู็สึกของฝ่ายชายยังไม่มาถึงจุดนี้ ฝ่ายหญิงก็จะมีโอกาสที่จะโดนทิ้งเพราะความรู้สึกที่ว่านั้นยังไม่ได้เกิดขึ้น แต่ฝ่ายชายได้สำเร็จเป้าหมายอันสูงสุดไปแล้วเขาก็จะตีจากไปหาคนใหม่ๆ ผู้เขียนบอกว่าเวลา 1 เดือนเป็นอย่างน้อย หรืออาจตั้งเกณฑ์ อื่นๆ มาช่วยก็ได้ เช่น เดท 10 ครั้ง เดือนแรกจะไม่ให้สัมผัสตัว เป็นต้น
.
จริงอยู่มีคู่รักมากมายที่มีเพศสัมพันธ์กันในเวลาไม่กี่วันและเป็นคู่แต่งงานที่มีความสุข คู่เหล่านั้นเป็นคู่ที่อาาจเก่งในเรื่องการแสดงความต้องการของตัวเอง และนอกเหนือจากเรื่องบนเตียงแล้วสิ่งที่เขาทำด้วยกันอย่างอื่นเป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า ฉันอยากใช้ชีวิตคู่กับเธอ หรือเขาคนนั้น ไม่ใช่แค่ว่ายอมนอนด้วยเพราะอยากถูกรัก
.
ปัญหาแบบนี้สะสมมาตั้งแต่วัยเด็ก ผู้ใหญ่ที่ต้องการคำชม หรือคำพูดดีๆ หรือมักจะโหยหาความรัก ส่วนใหญ่มักจะไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่ ไม่ได้หมายถึงครอบครัวแตกแยกกันนะครับ ครอบครัวที่สมบูรณ์ก็สามารถทำให้ลูกรู้สึกว่าไม่ได้รับความรักได้เช่นกัน เช่นรู้สึกว่าพ่อแม่รักน้องสาวมากกว่า รู้สึกว่าพ่อแม่ชมแต่ลูกคนอื่นว่าเก่ง เมื่อทำผิดพลาดก็มักจะโดนเปรียบเทียบกับลูกๆของเพื่อนบ้านเสมอ จนกระทั้งถึงวัยรุ่น
.
วัยรุ่นหรือวัยต่อต้าน เป็นสิ่งที่เกิดตามธรรมชาติเด็กจะมีความคิดเห็นต่างเป็นตัวของตัวเอง ถ้าดูแลและชี้นำได้อย่างถูกต้องแล้วก็จะทำให้ความคิดต่างหรือเป็นตัวของตัวเองนั้นเป็นประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของเขา การได้ลองทำสิ่งท้าทายสิ่งใหม่ หรือสิ่งที่พ่อแม่ไม่ได้สอน แต่มันก็ให้ผลลัพธ์ที่ดี ก็ถือว่าเป็นการฝึกให้เขาสามารถพึ่งพาตัวเองได้
.
แต่ถ้าไปจำกัดกักขังความคิดของเขาเอาไว้ในช่วงวัยต่อต้าน ก็จะให้ผลเสียมากกว่า เพราะจะทำให้ลูกรักเป็นคนดีที่ไม่กล้าเถียงใครอีกเลยเพราะกลัวจะถูกเกลียด ทั้งชีวิตของเขาต่อไปจากนี้จะเป็ฯการพึ่งพาคนอื่นเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่กล้าแสดงความคิดเห็ฯหรือคิดริเริ่มอะไรเลย แม้แต่ในฐานะของคู่รักก็มักจะโดนเอาเปรียบเสมอ
.
ฝึกการถกเถียงและทะเลาะแบบผู้ใหญ่ กล้าบอกความต้องการ ไม่ใช่ยอมรับข้อเสนอทางธุรกิจทั้งๆที่ไม่เต็มใจเพราะอีกฝ่ายเป็นเพื่อนของพ่อ กล้าจะบอกพนักงานเสิร์ฟว่าทำอาหารมาให้ผิดและคุณอยากเป็นเป็นเมนูที่คุณสั่งเท่านั้น กล้าปิดบริษัทหรือเลิกกิจการเมื่อรู้แล้วว่ามันไม่มีทางไปรอดเสียยังดีกว่าดันทุรังทำต่อทั้งๆที่ขาดทุนเพราะเสียดายกิจการที่เคยลงทุนลงแรงไปแล้ว
.
หากท่านผู้อ่านจะแนะนำหนังสือเล่มนี้ให้กับใครส่วนตัวผมแนะนำว่าขอให้เป็ฯผู้ใหญ่จะดีกว่าครับ เพราะถ้าอ่านและทำความเข้าใจแบบครึ่งๆ กลางๆ ก็จะทำให้เข้าใจสิ่งที่ผู้เขียนอยากจะสื่อสารผิดพลาดไปได้ และใครที่เริ่มอ่านแล้วก็ขอให้อ่านให้จบไวๆ จะได้ครี่คลายประเด็นที่ยกไว้อย่างสุดโต่งของผู้เขียน อย่างไรก็ตามหนังสือเล่มนี้ดีแน่นอนครับ แค่ออกจะ Hardcore/Extreme ไปบ้างในบางบท ขอให้สนุกกับการเป็นนักอ่านนะครับ