18 ก.ค. 2020 เวลา 11:44 • ประวัติศาสตร์
“การสร้างชาติสิงคโปร์” จากความเจ็บปวดสู่ความรุ่งเรือง
1
ประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันสูงที่สุดในโลก...
1
ประเทศที่ดึงดูดการลงทุนมหาศาลจากทั่วทุกมุมโลก...
ประเทศที่มีระบบการศึกษาเป็นอันดับต้นๆของโลก...
ประเทศที่มีความทันสมัยที่สุดประเทศหนึ่งในโลก...
ประเทศที่อำนาจทางเศรษฐกิจอยู่ในอันดับต้นๆของโลก...
และประเทศที่ถือว่าพัฒนาแล้วเพียงประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้...
ทุกท่านครับ ผมกำลังพูดถึงประเทศที่ชื่อว่า “สิงคโปร์”
สิงคโปร์ที่เป็นเพียงเกาะเล็กๆไร้ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติ...
สิงคโปร์ที่เคยเป็นอาณานิคมให้อังกฤษเข้ามาตักตวงผลประโยชน์...
2
สิงคโปร์ที่เคยโดนกองทัพญี่ปุ่นย้อมแผ่นดินให้เต็มไปด้วยเลือด...
1
สิงคโปร์ที่เคยขอเข้าร่วมกับมาเลเซีย แต่ภายหลังโดนขับออกมาอย่างไม่ใยดี...
สิงคโปร์ที่สามารถยืนหยัดด้วยลำแข้งของตัวเองจนสร้างชาติให้กลายเป็นเหมือนดั่งทุกวันนี้...
และทั้งหมดนี้ คือเรื่องราว “การสร้างชาติสิงคโปร์” จากความเจ็บปวดสู่ความรุ่งเรือง
โปรดนั่งลงเถิดครับ แล้วผมจะเล่าให้ฟัง
ภาพจาก Telegraph
สิงคโปร์ (แต่ก่อนเรียก เทมาเสก) ตั้งแต่โบร่ำโบราณนั้นก็ได้ถือว่าเป็นที่มั่นทางการค้าของทั้งฟีนีเชียน มาเลย์ และจีน เพราะเรื่องทำเลที่อยู่ตรงเส้นทางเดินเรือ ซึ่งก็มีชาวจีนอพยพเข้ามาในสิงคโปร์เพื่อทำการค้า แต่เมื่อการค้ารุ่งเรืองมากเข้าๆ ดินแดนนี้ก็ได้เกิดโจรสลัดขึ้นมามากมาย กลายเป็นที่ที่มีโจรชุกชุมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในอดีตเลยล่ะครับ
พอเข้าสู่ช่วงศตวรรษที่ 17 ซึ่งเป็นยุคล่าอาณานิคมของตะวันตก ในบริเวณอินโดนีเซีย มาเลเซียและสิงคโปร์ได้กลายเป็นเขตอิทธิพลของฮอลันดาซึ่งเข้ามาเพื่อผูกขาดการค้าเครื่องเทศ
1
แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงศตวรรษที่ 19 มหาอำนาจใหม่อย่างอังกฤษได้ผงาดขึ้นมาแล้วยึดอินเดียมาเป็นอาณานิคมของตัวเองได้
เมื่ออังกฤษยึดอินเดียเสร็จแล้วก็ได้ตั้งบริษัท East India Company ขึ้นปกครองและเป็นผู้ควบคุมการค้าทางทะเลในแถบเอเชีย โดยเส้นทางการค้าขนาดใหญ่นั้น คือ อินเดียและจีน
ซึ่งเผอิญว่ากว่าจะเดินทางจากอินเดียไปถึงจีนก็ใช้เวลานาน เหนื่อยก็เหนื่อย ทางบริษัท East India Company ก็เลยคิดอยากหาสถานที่ที่อยู่ตรงกลางระหว่างเส้นทางเป็นจุดแวะพัก
และสถานที่ที่ว่า คือ บริเวณช่องแคบมะละกาที่อยู่ระหว่างมาเลเซียและเกาะสุมาตราของอินโดนีเซีย ซึ่งเผอิญว่าเป็นเขตอิทธิพลของฮอลันดา ดังนั้นอังกฤษจึงพยายามชิงสถานที่ที่ว่านี้มาจากฮอลันดา
ซึ่งฮอลันดาในตอนนั้นเริ่มเสื่อมอำนาจลงแล้ว บวกกับเป็นช่วงที่อังกฤษพีคสุดๆ ดังนั้นมาเลเซียจึงกลายเป็นของอังกฤษในที่สุด
1
เมื่ออังกฤษได้สถานที่ที่ต้องการมาแล้ว จึงทำการจัดตั้ง Straits Settlement ที่ประกอบไปด้วย ปีนัง ดินดิง มะละกา ลาบวน และสิงคโปร์ เพื่อเป็นท่าเรือและจุดแวะพักของเรือสินค้าอังกฤษที่มุ่งจากอินเดียไปจีนหรือจีนไปอินเดียตามที่คิดไว้
และอังกฤษได้ส่งเซอร์โทมัส สแตนฟอร์ด ราฟเฟลส์ ไปปกครองดินแดนที่เรียกว่าสิงคโปร์
เซอร์โทมัสคนนี้นี่แหละครับ ที่ทำให้สิงคโปร์กลายเป็น Straits Settlement ที่นิยมมากที่สุด รุ่งเรืองมากที่สุด และกลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค...
4
ภาพจาก Manchester Hive (Straits Settlement)
เซอร์โทมัสเล็งเห็นตั้งแต่แรกแล้วครับว่า “ที่ตรงนี้ทำเลแจ่มมากในการเป็นท่าเรือ!” จึงสร้างสิงคโปร์ให้เป็นเมืองท่าเสรี
ผลปรากฏว่า ได้รับเสียงตอบรับด้านบวกที่ท่วมท้นมากๆจากพ่อค้าชาวจีนและอาหรับ
พ่อค้าเหล่านั้นต่างถูกจูงให้เข้ามาในสิงคโปร์ด้วยสิ่งที่เรียกว่า “การค้าเสรี” บวกกับทำเลที่ตั้งที่เดินทางไปอินเดียก็ไม่ไกล ไปจีนก็ไม่ไกล จนทำให้ภายในเวลาไม่ถึงปีมูลค่าการค้าสิงคโปร์ได้พุ่งขึ้นมาระดับแนวหน้าของเมืองท่าทั่วโลก อีกทั้งประชากรก็เพิ่มมากขึ้นจากการอพยพเข้ามาเพื่อทำการค้าในสิงคโปร์ โดยเฉพาะการมาของคนจีนที่ทำให้กลายเป็นประชากรส่วนใหญ่ในสิงคโปร์
1
แต่ทว่า แม้เศรษฐกิจจะอู้ฟู้ แต่การเมืองนั้นกลับอ่อนแอ เพราะสิงคโปร์ถูกปกครองโดยบริษัท East India Company ที่อยู่อินเดีย จึงทำให้ไม่ค่อยมีความมั่นคงทางการเมืองซักเท่าไหร่
อีกทั้งเงินจากการค้าที่ไหลเข้าสิงคโปร์ส่วนใหญ่นั้น อังกฤษริบเอาไปหมด ทำให้เงินและสวัสดิการที่คนสิงคโปร์ควรจะได้ก็กลับไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
ประมาณว่า เศรษฐกิจที่รุ่งเรืองของสิงคโปร์ส่งผลให้อังกฤษรวยเละ แต่กลับทำให้คนสิงคโปร์ที่จนแบบไหนก็ยังจนอยู่แบบเดิม...
ปัญหานี้จึงทำให้คนสิงคโปร์ทนไม่ไหวครับ จึงพากันก่อจราจลต่อต้านอังกฤษ แล้วอังกฤษจึงเข้าปราบปรามจนราบคาบ
หลังจากนั้น อังกฤษเลยคิดว่า “สิงคโปร์เปรียบเสมือนขุมทองทางการค้าชัดๆ ต้องดูแลให้รัดกุมมากยิ่งขึ้น” ดังนั้น อังกฤษจึงเปลี่ยนการปกครองในสิงคโปร์ที่แต่เดิมถูกปกครองด้วยบริษัท East India Company ที่อยู่อินเดีย เปลี่ยนมาเป็นให้รัฐบาลของอังกฤษปกครองเองซะเลย
ตั้งแต่นั้น ฐานอำนาจของอังกฤษในสิงคโปร์ก็มั่นคงสุดๆ
จนกระทั่งเข้าสู่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีมหาอำนาจชาติหนึ่งเข้ามาทำลายฐานอำนาจของจักรวรรดินิยมตะวันตก และปลดแอกอาณานิคมทั้งหมดในเอเชีย
ชาติที่ว่า คือ ญี่ปุ่นนั่นเองครับ...
ภาพจาก The Sun (การเดินขบวนของทหารญี่ปุ่นในสิงคโปร์)
สิงคโปร์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ถือว่าเป็นฐานสำคัญของอังกฤษในภูมิภาคนี้เลยล่ะครับ ดังนั้น ญี่ปุ่นจึงเล็งสิงคโปร์ไว้ตั้งแต่แรก จนใน ค.ศ.1942 ญี่ปุ่นก็สามารถยึดเอามาเลเซีย อินโดนีเซียและสิงคโปร์ได้ทั้งหมด ทำลายฐานอำนาจของอังกฤษในบริเวณนี้จนหมดสิ้น!
1
หลังจากนั้นญี่ปุ่นก็ได้เข้ามาปกครองในสิงคโปร์ โดยอ้างว่า “ญี่ปุ่นได้ทำการปลดแอกอาณานิคมในเอเชียจากพวกตะวันตกเรียบร้อยแล้ว คราวนี้เรามาสร้างวงศ์ไพบูลย์ร่วมแห่งมหาเอเชียบูรพา เพื่อทำให้เอเชียนั้นยิ่งใหญ่ด้วยกันเถอะ!”
แต่คำพูดกับการกระทำของญี่ปุ่นนั้นเรียกได้ว่าตรงกันข้ามกันเลยล่ะครับ เพราะการปกครองของญี่ปุ่นในสิงคโปร์นั้น โหด ดิบ เถื่อนมากๆ ซึ่งผมได้เล่าไปแล้วว่าคนจีนนั้นเป็นประชากรส่วนใหญ่ในสิงคโปร์ ดังนั้น จึงเกิดการสังหารหมู่คนจีนในสิงคโปร์โดยทหารญี่ปุ่นขึ้น
เรียกได้ว่า เป็นยุคแห่งความวุ่นวายและความหวาดกลัวในสิงคโปร์อย่างแท้จริง เพราะมีคนจีนที่ถูกสังหารหมู่ไปกว่า 100,000 คน!
1
คนจีนจำนวนมากก็คิดว่า “อยู่ไม่ได้แล้ว!” จึงพากันอพยพหลบหนีออกจากสิงคโปร์ไปเป็นจำนวนมาก
ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีเด็กหนุ่มหน้าตี๋ใสซื่อคนหนึ่งที่ชื่อว่า “ลี กวนยู” ได้อพยพหลบหนีไปอังกฤษ โดยเด็กหนุ่มคนนี้ในอนาคต จะกลายเป็นตัวละครที่สำคัญที่สุดของสิงคโปร์...
ภาพจาก The Sun (การสังหารหมู่ของทหารญี่ปุ่น)
และแล้วญี่ปุ่นก็แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีการถอนกำลังออกไปจากสิงคโปร์ หลังจากนั้นอังกฤษก็ได้เข้ามามีอำนาจในสิงคโปร์อีกครั้ง
การเข้ามาครั้งนี้ของอังกฤษนั้นไม่ใช่เพื่อต้องการเอาสิงคโปร์เป็นอาณานิคมอีกครั้ง แต่เข้ามาเพื่อจัดระเบียบการปกครองใหม่และสร้างประชาธิปไตยขึ้นในสิงคโปร์ จนเกิดพรรคการเมืองขึ้นมาพรรคหนึ่ง คือ พรรคกิจประชาชน หรือ PAP ที่มีผู้นำคือ ลี กวนยู ที่เมื่อก่อนเคยหนีทหารญี่ปุ่นแล้วไปเรียนที่อังกฤษ จากนั้นก็ได้กลับมาที่สิงคโปร์แล้วก่อตั้งพรรค PAP ขึ้น
และแล้วใน ค.ศ.1958 อังกฤษก็ได้ให้สิงคโปร์ปกครองตัวเอง (ยังไม่ได้เอกราชสมบูรณ์) แล้วพรรค PAP ก็ได้เข้าปกครองประเทศ
ซึ่งลี กวนยูนั้นต้องการให้สิงคโปร์เป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซีย จึงไปขอมาเลเซียว่า “ให้สิงคโปร์เข้าร่วมด้วย” ซึ่งมาเลเซียก็ยอมให้เข้าร่วม
แต่แล้วใน ค.ศ.1963 อังกฤษก็ให้เอกราชสิงคโปร์อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเมื่อได้เอกราชแล้ว แนวคิดที่เริ่มบูมขึ้นมาในสิงคโปร์ คือ คอมมิวนิสต์
1
ทางมาเลเซียก็เริ่มกังวลสิครับ กลัวว่าการเอาสิงคโปร์เข้ามาจะกลายเป็นภัยต่อความมั่นคงของตัวเอง อีกทั้งสัดส่วนประชากรของสิงคโปร์นั้นส่วนใหญ่เป็นคนจีน แต่ในมาเลเซียประชากรส่วนใหญ่คือคนมลายู ทำให้รัฐบาลมาเลเซียกลัวสุดๆ เพราะไม่อยากให้คนจีนมีอิทธิพลทางการเมืองในมาเลเซีย
และผู้นำมาเลเซียคือ ตนกู อับดุล เราะห์มาน นั้นคิดว่า “หากรวมสิงคโปร์ไว้กับมาเลเซีย ในอนาคตต้องเกิดปัญหาทางด้านเชื้อชาติจนมีการนองเลือดกันแน่นอน!”
1
ในที่สุด วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1965 สิงคโปร์ก็ถูกขับออกจากการเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซีย และเป็นวินาทีที่เจ็บปวดที่สุดของลี กวนยู ถึงขนาดต้องหลั่งน้ำตาออกมาเลยทีเดียว เพราะความกังวลใจที่ว่า
1
“ผมต้องการสร้างสิงคโปร์ที่เต็มไปด้วยคนหลากหลายเชื้อชาติและความเห็นต่างกัน ให้กลายเป็นบ้านเกิดเมืองนอน แต่ผมจะทำได้อย่างไรเมื่อสิงคโปร์เป็นเพียงดินแดนเล็กๆ ปราศจากทรัพยากรธรรมชาติ และมีปัญหาสังคมอยู่มากมายขนาดนี้”
1
สื่อต่างประเทศหลายๆสำนักต่างก็เคลมกันว่า “สิงคโปร์ที่อังกฤษได้ออกไปแล้ว แถมมาเลเซียก็ยังไม่เอา อนาคตคงมืดมนสุดๆ”
ภาพจาก TheOnline Citizen (การหลั่งน้ำตาของลี กวนยูหลังถูกขับออกจากมาเลเซีย)
หลังจากถูกขับออกจากมาเลเซียอย่างเจ็บปวด ลี กวนยูจึงมีปณิธานที่แน่วแน่ในการสร้างสิงคโปร์ให้ยิ่งใหญ่ด้วยน้ำมือของสิงคโปร์เอง
และงานแรกของลี กวนยู คือ การสร้างความมั่นคงทางการเมืองของพรรค PAP เพื่อให้สามารถปกครองสิงคโปร์ได้ง่ายขึ้น ดังน้ัน จึงมีการปราบปรามคอมมิวนิสต์ขนานใหญ่ และมีการกำจัดพรรคการเมืองอื่นๆด้วย
ซึ่งกุญแจสำคัญที่ลี กวนยูได้ใช้น้ัน คือ การสร้างพรรค PAP ให้แข็งแกร่งเพียงหนึ่งเดียว ลี กวนยูจึงใช้กลยุทธ์ทุกวิถีทางเพื่อให้ชนะการเลือกตั้ง ทั้งข่มขู่พรรคอื่น เสี้ยมให้แตกความสามัคคีกัน ใช้อำนาจของเงินในการเป็นเครื่องมือหาเสียง และบีบพรรคอื่นให้ไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้
ทำให้พรรค PAP นั้นแข็งแกร่งมาก จนสามารถชนะการเลือกตั้งมาตลอดจนปัจจุบัน จนมีการพูดว่าสิงคโปร์ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่แท้จริง แต่เป็นเพียงเผด็จการอ่อนๆ
เมื่ออำนาจของพรรคและตัวของลี กวนยูนั้นมั่นคง สเตปต่อมาจึงทำการแก้ปัญหาของประเทศไปทีละเปราะ ซึ่งปัญหาใหญ่ๆที่ปรากฏอยู่ก็คือ...
2
ปัญหาเศรษฐกิจ...
ปัญหาสังคมและความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ...
ประเทศไร้ซึ่งทรัพยากร...
ซึ่งทั้งหมดนี้ ลี กวนยูก็ได้มองเห็นทางออกที่จะสามารถแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ทั้งหมด!
โดยทางออกที่ว่า คือ การปฏิรูปการศึกษานั่นเองครับ
1
ภาพจาก Asia One (พรรค PAP)
ลี กวนยู คิดว่า การศึกษาจะสร้างทรัพยากรบุคคลที่มีความสามารถ ให้เป็นกลไกในการพัฒนาเศรษฐกิจ อีกทั้งยังเป็นการสร้างแนวคิดชาตินิยมทางอ้อมให้ประชากรในสิงคโปร์
ดังนั้นจึงมีการยุบโรงเรียนที่เป็นโรงเรียนเฉพาะเชื้อชาติ เช่น โรงเรียนจีน โรงเรียนอินเดีย โรงเรียนมาเลย์ เพราะลี กวนยูคิดว่าโรงเรียนเหล่านี้มีแต่จะสอนภาษาและค่านิยมของชาตินั้นๆจนทำให้เกิดอคติต่อชนชาติอื่นจนเกิดการแบ่งแยกเชื้อชาติขึ้น
และมีการประกาศอย่างแน่วแน่ว่า “ต่อแต่นี้สิงคโปร์จะไม่มีคนจีน คนอินเดีย คนมลายู คนอาหรับ จะมีแต่เพียงคนสิงคโปร์เท่านั้น”
อีกท้ังระบบการศึกษาของสิงคโปร์นั้น “ต่อต้านการเล่นพรรคเล่นพวก และไม่มีการแบ่งชนชั้นหรือแบ่งแยกเชื้อชาติ ไม่ว่ารากเหง้า หน้าตา และรูปร่างคุณจะเป็นคนเชื้อชาติไหน แต่พอเข้าสู่ระบบการศึกษาของสิงคโปร์คุณจะมีฐานะที่เท่าเทียมกัน และสิ่งที่จะตัดสินความสำเร็จในชีวิตของคุณไม่ใช่เส้นสายหรือเชื้อชาติ แต่เป็นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน!”
และลี กวนยูยังมีการปลูกฝังค่านิยมในการขยัน ทำงานหนัก และเอาจริงเอาจัง ซึ่งส่งผลให้ระบบการศึกษาของสิงคโปร์นั้นมีการสอบที่เข้มงวดมาก!
ดังนั้น ทุกคนในสิงคโปร์สามารถเป็นใหญ่เป็นโตได้แบบไม่ถูกกีดกันหากว่ามีความสามารถมากพอ
การสร้างระบบการศึกษาแบบไม่แบ่งแยกนี้ทำให้ลี กวนยูสามารถแก้ปัญหาความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติในสิงคโปร์ได้อย่างหมดจดเลยล่ะครับ!
และสเตปต่อมาคือใช้ระบบการศึกษาสร้างบุคคลให้ตอบโจทย์ในการพัฒนาประเทศ มีการทุ่มงบประมาณและจูงใจให้คนเข้ามาศึกษาในสายเฉพาะ อาชีวศึกษา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพราะเป็นสายงานที่ตลาดสิงคโปร์ต้องการจำนวนมาก
4
ซึ่งการศึกษาของสิงคโปร์จะมีความพิเศษอย่างหนึ่งที่เรียกว่า “การค้านำการศึกษา” โดยรัฐจะมีการวางแผนร่วมกันกับเอกชน ที่เมื่อหากมีการพัฒนาธุรกิจหรืออุตสาหกรรมประเภทใด โรงเรียน สถาบัน หรือศูนย์ฝึกก็จะสร้างแรงงานให้ตอบโจทย์และตรงตามจำนวนที่อุตสาหกรรมนั้นๆต้องการ
4
หมายความว่า หากแรงงานในอุตสาหกรรมนั้นๆเต็ม จะไม่มีการฝึกหรือสร้างแรงงานขึ้นมาใหม่ในอุตสาหกรรมนั้น
ซึ่งพูดให้เห็นภาพง่ายๆคือ ลี กวนยูได้สร้างระบบการศึกษาของสิงคโปร์ให้โหดหินสุดๆ ใครไม่เก่งจริงอยู่ไม่ได้แน่นอน (แต่มันก็ได้สร้างแรงงานที่คุณภาพคับแก้วขึ้นมาได้จริงๆ) อีกทั้งแรงงานที่สร้างขึ้นมาสามารถตอบโจทย์กับอุตสาหกรรมและแนวทางในการพัฒนาประเทศ
1
ซึ่งไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า การศึกษาทำให้สิงคโปร์เจริญขึ้นมาแบบก้าวกระโดดทั้งที่เป็นประเทศเล็กๆไร้ซึ่งทรัพยากรใดๆ...
ภาพจาก The Strait Time (ระบบการศึกษาสิงคโปร์ที่เน้นการแข่งขันและสร้างแรงงานให้ตรงกับความต้องการในการพัฒนาประเทศ)
เมื่อลี กวนยูได้กำหนดให้การค้านำการศึกษา พูดง่ายๆคือเป็นการสร้างคนให้สอดคล้องกับประโยชน์ทางการค้า จนทำให้เกิดผลกำไรมหาศาล สิงคโปร์จึงเริ่มลืมตาอ้าปากได้ในที่สุด
เมื่อเริ่มรวยขึ้น รัฐบาลก็ได้จัดตั้ง “กองทุนเพื่อความมั่งคั่งแห่งชาติสิงคโปร์” ในชื่อของบริษัทเทมาเสก โฮลดิ้ง ใน ค.ศ.1975 และ GIC ใน ค.ศ.1981 เพื่ออัดฉีดการลงทุนในสิงคโปร์
นอกจากนั้นลี กวนยูก็ยังเห็นว่าสิงคโปร์ยังมีของดีที่หลงเหลือมาจากอดีต นั่นคือ ทำเลที่ตั้ง
ดังนั้น จึงมีการใช้ประโยชน์จากจุดนี้สร้างสิงคโปร์ให้เป็นเมืองท่าเสรีเหมือนในอดีต กองทุนเพื่อความมั่งคั่งและการสร้างเมืองท่าเสรี ทำให้นักลงทุนจากต่างชาติถึงกับตาลุกวาว แห่กันเข้ามาลงทุนในสิงคโปร์จำนวนมหาศาล ยิ่งทำให้สิงคโปร์เจริญมากขึ้นและเทมาเสก โฮลดิ้ง กับ GIC ก็รวยขึ้นไปอีก ไปๆมาๆไม่ใช่แค่มีการสนับสนุนลงทุนในสิงคโปร์อย่างเดียว แต่ยังมีการสนับสนุนการลงทุนในต่างประเทศอีกด้วย
อำนาจนักลงทุน นักธุรกิจ และเงินของสิงคโปร์จึงเริ่มมีพาวเวอร์ในระดับภูมิภาค...
1
ภาพจาก Mothership (สิงคโปร์ ค.ศ.1980)
ลี กวนยูก็ได้สร้างจุดแข็งของสิงคโปร์ขึ้นมา แล้วลบจุดอ่อนได้ทั้งหมด
สร้างระบบการศึกษาที่ไม่แบ่งแยก และตรงตามความต้องการของตลาด...
ระบบการศึกษาก็สร้างแรงงานที่คุณภาพสูงโดยเฉพาะในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี...
แรงงานเหล่านั้นก็ได้สร้างอุตสาหกรรม ธุรกิจ การค้าและตลาดเทคโนโลยี...
อีกทั้งการเมืองและการปกครองของสิงคโปร์คือพรรค PAP ที่มีอำนาจมั่นคงสูงสุด ได้สร้างกฎระเบียบที่เข้มงวดและบทลงโทษที่รุนแรง จนทำให้สิงคโปร์กลายเป็นสังคมที่มีระเบียบวินัย ปัญหาอาชญากรรมต่ำ...
บวกกับการจัดตั้งกองทุนความมั่งคั่งเพื่อเพิ่มการลงทุนและใช้ทำเลที่สมบูรณ์แบบ สร้างเมืองท่าเสรีขึ้นมา...
ทำให้บริษัทข้ามชาติกว่า 7,000 บริษัท ต่างกรูเข้ามาเพื่อใช้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการทำธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้...
1
และในที่สุด สิงคโปร์ก็กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้า ศูนย์กลางการเดินเรือ ศูนย์กลางการเงิน และศูนย์กลางการบินของภูมิภาค...
การเมือง ระบบการศึกษา แรงงาน และทำเล ซึ่งลี กวนยูใช้เป็นจุดแข็ง ได้กลบจุดอ่อน คือ ความเป็นประเทศเล็ก ไร้ซึ่งทรัพยากร ไ้ด้อย่างหมดจด
และถึงแม้จะถูกแขวะว่า “สิงคโปร์มีเสรีอย่างเดียวคือเรื่องการค้า ส่วนการเมือง การศึกษา และสังคมล้วนเป็นเผด็จการทั้งหมด!”
แต่ลี กวนยูและรัฐบาลก็ไม่ได้สนใจ เพราะจุดแข็งที่ได้สร้างขึ้นมานั้นทำให้สิงคโปร์เจริญ
ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจดี มั่นคง เข้มแข็งและประชาชนอยู่ดีกินดี ไม่ว่าจะเป็นการปกครองแบบไหน ประชาชนก็ย่อมยอมรับในที่สุด
1
จากวันที่ถูกขับออกจากมาเลเซีย ลี กวนยูรู้สึกเจ็บปวด เคว้งคว้าง ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป...
แต่ต่อมาก็ตัดสินใจทิ้งอดีต แล้วลุกขึ้นแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้า...
จนสร้างสิงคโปร์จากไม่มีอะไรเลย ให้กลายเป็นชาติที่รุ่งเรืองและมั่งคั่งชาติหนึ่งในโลก...
และเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วเพียงประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ภาพจาก Ramboll
อ้างอิง
Barr, Micheal. Lee Kuan Yew : The Beliefs Behind the Man, Washington : Georgetown University Press, 2007.
Ban Kah Choon and Anne Pakir. Imagining Singapore, Singapore : Time Academic Press, 1992.
Buchanan, Iain. Singapore in Southeast Asia : An Economic and Political Appraisal, London : Bell, 1972.
Lee Kuan Yew. From Third World To First : The Singapore Story : 1965-2000, Singapore : Singapore Press Holding, 2000.
Lee Kuan Yew. The Singapore Story : Memories of Lee Kuan Yew, Singapore : Singapore Press Holding, 1998.

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา