24 ก.ค. 2020 เวลา 03:08 • ประวัติศาสตร์
*** เรื่องของรถประหลาด ***
ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ผมได้ไปท่องเที่ยว ณ ตอนเหนือของศรีลังกา ซึ่งเมื่อสิบปีก่อนนี้เคยเป็น "อีกประเทศ" เรียกว่า "อีแลม"
ประเทศอีแลมนั้นถูกก่อตั้งโดยกบฏชาวทมิฬที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนจากชาวสิงหลซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ พวกเขาก่อสงครามกลางเมือง รบกับรัฐบาลศรีลังกานานยี่สิบกว่าปี (1983-2009) สร้างความเสียหายมากมาย
อย่างไรก็ตามเรื่องราวที่ผมจะเล่าวันนี้ไม่ได้โฟกัสที่ภาพกว้างของสงครามดังกล่าว แต่จะเล่าถึงบุญคุณความแค้น ที่เกิดขึ้นรอบๆ "รถประหลาด" คันหนึ่งเท่านั้น
รถประหลาดที่อยู่ข้างหลังผมนี้มีเรื่องราวบุญคุณความแค้นอันสยดสยองแฝงอยู่ในตัวมันมากมายจนน่าเหลือเชื่อ
ปัจจุบันรถคันดังกล่าวถูกตั้งแสดงที่ Elephant Pass หรือ "ทางช้าง" ซึ่งเคยเป็นสมรภูมิสำคัญระหว่างรัฐบาล กับกบฏในสงครามกลางเมืองศรีลังกา
ทางช้างนี้เป็นเส้นทางเล็กๆ ที่เชื่อมเมืองจาฟนา (เมืองหลวงของชาวทมิฬศรีลังกา) เข้ากับดินแดนอื่นๆ ของประเทศ มันได้ชื่อนี้เพราะสมัยโบราณมักถูกใช้ลำเลียงช้างจากแผ่นดินใต้ ไปพักที่จาฟนาซึ่งมีการ "ส่งออกช้าง" ไปยังที่ต่างๆ ในโลก
จาฟนาเป็นเมืองสำคัญ แต่มีทางเข้าทางบกหลักๆ คือเส้นทางเล็กๆ นี้ ทางช้างจึงเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่รัฐบาล และกบฏต้องช่วงชิงมาให้ได้ หากอยากเอาชนะ
ในตอนที่ฝ่ายกบฏยึดจาฟนาอยู่นั้น กองทัพรัฐบาลได้มาสร้างป้อมค่ายอยู่ที่ทางช้างอย่างแน่นหนา เพื่อไม่ให้พวกกบฏพยัคฆ์ทมิฬในจาฟนาเล็ดรอดออกมาได้
ผู้นำกบฏพยัคฆ์ทมิฬ คือนายประภาการันเล็งเห็นความสำคัญของจุดยุทธศาสตร์นี้เป็นอย่างดี เขาพุ่งเป้าโจมตีทันทีที่มีโอกาส
วันที่ 10 กรกฎาคม 1991 ประภาการันสั่งให้ทหารพยัคฆ์ทมิฬจากจาฟนา รวมกับทหารกลุ่มย่อยที่แยกย้ายกันอยู่ในดินแดนวันนิ รวมกำลังกันเข้าตีป้อมทางช้างเป็นจุดเดียว พร้อมทั้งจัดกองกำลังยิงป้องกันไม่ให้ทหารรัฐบาลข้างนอกเข้ามาช่วยได้ทั้ง ทางบกและทางอากาศ (ภาพแนบ: ธงของพวกพยัคฆ์ทมิฬ)
ทหารรัฐบาลในป้อมต้องรับมือกับการโจมตีนี้อย่างยากลำบาก ตามบันทึกของทหารรัฐบาลในสมรภูมิบอกว่า:
“ในวันที่ 14 กรกฎาคม พวกเราถึงปิดล้อมอยู่ในป้อม ปราศจากน้ำและอาหารเพียงพอ พวกพยัคฆ์ทมิฬส่งกำลังพลระลอกแล้วระลอกเล่าเข้ามาตีจากทุกทิศทาง แม้ว่าเราจะยิงจนพวกมันล่าถอยไปบางส่วน แต่ก็มีหนุนเนื่องต่อมาอีกจนดูเหมือนหาที่สิ้นสุดไม่ได้
พวกเราพยายามปลอบขวัญกันเองให้มีขวัญกำลังใจ แต่แล้วพอถึงเวลาพลบค่ำ พวกเราก็ต้องตกตะลึงกับ ‘อาวุธใหม่’ ของพวกพยัคฆ์ทมิฬที่กำลังเคลื่อนที่เข้ามา
…มันเป็นก้อนเหล็ก
…เป็นแท่งเหล็กใหญ่ที่กำลังเคลื่อนไหว…
…มันเป็นรถถัง …เป็นรถถังแน่ๆ …แต่พวกพยัคฆ์ทมิฬที่รบนอกแบบจะมีรถถังได้อย่างไร?
พวกเราพยายามยิงไปที่รถถังนั้น แต่กระสุนของเราทำอะไรมันไม่ได้ ตรงกันข้าม บนรถถังนั้นมีการติดตั้งปืนกล มันยิงพวกเราตายไปหลายคน
…คลื่นมนุษย์ของพวกพยัคฆ์ทมิฬโถมกระหน่ำมาอีก พวกเราคิดว่าจะต้องพ่ายแพ้แน่ๆแล้ว
…แต่ในขณะนั้นเองเพื่อนของเราคนหนึ่งชื่อ กามิณี ได้ทำในสิ่งที่น่าตกใจ เขาวิ่งออกจากบังเกอร์ตรงไปยังกองทหารฝ่ายตรงข้ามตัวเปล่า …ไม่สิ เขาถือลูกระเบิดมือไปด้วยสองลูก
การวิ่งไปอย่างนั้นท่ามกลางดงกระสุนมันเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ กามิณีเองก็โดนยิงไปหลายนัด แต่เขายังคงวิ่งต่อไปจนเข้าใกล้เจ้ารถถังประหลาดนั้นได้สำเร็จ
…ที่นั่นเขาขว้างระเบิดมือตกเข้าไปในรถถัง
บึม!
1
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว รถถังประหลาดนั้นยังคงอยู่เหมือนเดิม แต่มันไม่เคลื่อนไหวอีกแล้ว และปืนกลก็ไม่ลั่นมาอีกแล้ว
ร่างของกามิณีที่บาดเจ็บจากกระสุนนับไม่ถ้วนร่วงลงกองกับพื้น ...แต่กามิณีนี้ คือใครกันแน่ อะไรเป็นสาเหตุให้เขากล้าบ้าบิ่นถึงเพียงนี้?
เรื่องนี้ต้องเล่าย้อนไปเมื่อสี่ปีก่อนเกิดเหตุการณ์ ...สี่ปีก่อนกามิณีไม่ได้ชื่อกามิณี แต่มีฉายาว่า "ธรรมโชติ" เขาเคยเป็นพระสงฆ์ซึ่งแสวงหาความสงบใต้ร่มศาสนา
วันที่ 2 มิถุนายน 1987 พระสงฆ์กามิณีได้ทำหน้าที่พี่เลี้ยงพาเณรสามสิบรูปนั่งรถบัสไปแสวงบุญที่วัดกัลยาณี เมืองโคลัมโบ
ขณะรถแล่นผ่านป่า อยู่ๆ ก็มีชายฉกรรจ์แต่งกายคล้ายทหารโผล่ออกมามากมาย
และบัดนั้นเหล่าชายฉกรรจ์ก็เปิดฉากกราดยิงเณรคนหนึ่งกะโหลกแตกตายทันที!
พระอินทรสาระซึ่งเป็นพระพี่เลี้ยงอีกคนพยายามเอาตัวเข้าปกป้องเด็กๆ แต่ถูกเอาดาบแทงตายอย่างเลือดเย็น
เหล่าเณรต่างวิ่งหนี อ้อนวอนขอชีวิต แต่ไม่มีใครได้รับการละเว้นเลย...
1
วันนั้นมีพระ เณรและฆราวาสร่วมทางถูกฆ่าตายไป 37 ศพ
...กามิณีเป็นเพียงหนึ่งในสี่คนที่รอดโดยอาการบาดเจ็บสาหัส
พวกพยัคฆ์ทมิฬทำเช่นนี้เพราะเณรเป็นเหยื่ออ่อนแอ และการฆ่าเณรจะสร้างความโกรธแค้นแก่ชาวสิงหลได้มาก...
นี่ตรงตามหลักการก่อการร้ายที่หวังสร้างความแตกแยกเกลียดชังในสังคม ให้ชาวทมิฬสิงหลไม่อาจอยู่ร่วมโลก บีบให้ชาวทมิฬที่เคยเป็นกลางต้องมาเข้ากับกบฏ
...นับแต่วันนั้นกามิณีก็ละทิ้งชื่อ "ธรรมโชติ" เขากลายเป็นนายทหารกามิณีที่ใช้อาวุธประหัตประหารผู้อื่นได้อย่างคล่องแคล่ว
วันที่ 14 กรกฎาคม 1991 กามิณีได้พลีชีพของเขาเพื่อหยุด "รถถังประหลาด" ของฝ่ายทมิฬ แท้จริงแล้วรถถังนั้นเป็นเพียงรถบูโดเซอร์ที่ถูกพวกพยัคฆ์ทมิฬเอามาดัดแปลง จากการตรวจสอบพบว่าคนขับรถคันนี้ถูกล็อคกุญแจมือไว้กับพวงมาลัยให้เป็นตายกับรถอีกด้วย
การพลีชีพของกามิณีทำให้เพื่อนทหารเกิดกำลังใจ ร่วมกันต่อสู้จนได้รับชัยชนะในการศึกรอบนั้น
เมื่อแม่ของกามิณีทราบเรื่องนี้ เธอได้ส่งคำขอร้องไปยังรัฐบาลศรีลังกาเพียงอย่างเดียว
...นั่นคือเธออยากเห็นรถถังคันนั้นกับตาตนเอง...
...เธอต้องการทราบว่า "ราคา" ที่ลูกของเธอเอาชีวิตแลกมานั้นหน้าตาเป็นอย่างไร...
ต่อมาจึงมีการสร้างอนุสาวรีย์ของ กามิณี กุลารัตเน คู่กับรถประหลาดดังกล่าว ให้เป็นที่เคารพสักการะอยู่ที่ด่านทางช้างจนปัจจุบัน ...และนี่คือเรื่องราวบุญคุณความแค้นอันน่าตื่นใจระคนสังเวชซึ่งผมได้พบเห็นในการผจญภัยรอบนี้ครับ
::: ::: :::
สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ สงคราม เรื่องต่างประเทศ กดติดตามเพจ The Wild Chronicles - เชษฐา https://www.facebook.com/pongsorn.bhumiwat ได้เลยครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา