23 ก.ค. 2020 เวลา 16:24
ความรู้สึกละอายใจ (Shame) และ ความรู้สึกผิด (Guilt)
เอาจริงๆนะต่างกันอย่างไร ? แล้วแบบไหนส่งผลแย่กว่ากันอ้ะ ?
มีหลายๆครั้งเลยที่เรามักจะพบเห็นกับความรู้สึกนี่ของคนรอบตัว หรือไม่ก็...เราเป็นซะเองเน้อะ
คือวันนี้เราดันไปอยู่ในเหตุการณ์ของคนใกล้ตัวที่กำลังเผชิญกับความรู้สึกแบบหัวข้อนี้แหละ เราบังเอิ้ญญญ บังเอิญ เราไปเจอบทความที่เกี่ยวกับเรื่องนี้พอดี (ไม่แน่ใจว่าเราถูกสะกดรอยตามในมือถือป่าวเนี่ย ทำไมเจอคอนเท้นตรงกับคำถามไวจังเลย? 555)
เอางี้ละกัน เราย่อยมาแล้ว นอกจากจะเล่าให้เพื่อนๆคนนั้นฟังแล้ว เราขอย่อยมาให้เพื่อนๆอ่านกันสนุกๆด้วย (แต่ขออนุญาตไม่พูดถึงเหตุการณ์ของเพื่อนคนนั้นนะจ้าา)
ถ้าเราจะสรุปตั้งแต่เริ่มเขียนเลยได้ไม๊ว่า
Guilt ความรู้สึกผิด เนี่ย ทำให้คนมีโอกาสที่จะเกิดการพัฒนาในทางที่ดีได้มากกว่า
Shame ความรู้สึกละอายใจ นอกจากจะให้ความรู้สึกในแง่ลบมากๆ ยังทำให้เราติดกับทางอารมณ์จนบางที วนอยู่อย่างนั้นออกมาไม่ได้
เพื่อนๆคิดว่ายังไงกันมั้งก่อนอ่าน.... (เพื่อนๆอาจจะบอกว่า แหม แกร เขียนมาขนาดนี้แล้ว bias ไปในทาง Guilt รึเปล่า ? 5555)
ส่วนตัวเราคิดว่าไม่มีความรู้สึกไหนใน 2 อย่างนี้ ที่มันดีนะ มันก็เจ็บทั้งคู่
แต่ว่า การที่เรามีความรู้สึกแบบนี้ จะทำให้เราเกิดการเรียนรู้ทางอารมณ์
อ้ะ งั้นเพื่อนๆมาลองอ่านกันต่อดูน้ะ
ต้นกำเนิดของความรู้สึกทั้ง Guilt และ Shame คือ ?
- ก็คือสิ่งที่เราทำพลาดไป และส่งผลเสียต่อคนอื่น
- อาจจะเกิดมาจากการกระทำที่เราไม่รู้ตัวเช่น พูดอย่างคิด ทำโดยไม่คิด
แต่ทั้งคำว่า Guilt และ Shame จะไม่เกิดขึ้นถ้าหากว่าเรายังคงไม่มองเห็นเน้อะ (reflect)
Guilt และ Shame เริ่มมาแตกต่างกันยังไง ?
Dr.Jena-Field, London-based psychologist ได้จำแนกไว้ว่า
- Guilt จะโฟกัสไปที่พฤติกรรมที่เราทำผิดลงไป รู้สึกมัน และเรียนรู้
- Shame คือความรู้สึกละอายต่อสิ่งที่ทำ โดยอันนี้คนเราจะโฟกัสไปแค่ที่การกระทำ ว่าทำไมชั้นถึงทำอย่างนี้ ? หรือทำไมชั้นโดนกระทำอย่างนี้แล้วทำไมชั้นถึงต้องแสดงท่าทีแบบนี้กลับ ??
อันนี้บอกก่อนว่า เราไม่ได้กวนนะเพื่อนๆ แงงง กลัวเข้าใจผิด
แต่น้อยคนจริงๆ ที่จะ search หา 2 คำนี้เน้อะ เราอยากให้เพื่อนๆแวะอ่านความหมายกันสักนิ้ดดดนุง
- Shame ทำให้คนเราเริ่มหาข้ออ้าง เพราะความรู้สึกละอายใจ มันก็จะมีรู้อยู่แก่ใจแล้วปิดบังเอาไว้ เพราะอาจจะทำให้เสียหน้า และนี้แหละคือที่มาของคำว่า ข้ออ้าง (แต่ เราก็ไม่ควรไปซ้ำเติมนะเพื่อนๆ เพราะถ้าเป็นเราเอง อาจจะรู้สึกเศร้าไปเลยก็ได้เน้อะ)
- ต่อเนื่องเลยทำให้คนเราแทนที่จะพยายาม ก้าวถอยหลังมาเพื่อ reflect แต่กลับถลำลึกต่อไปเพื่อหาข้อแก้ตัว และสมองจะสั่งการว่า ชั้นนะถูกต้องแล้ววว
- เช่นสมมุติว่าเพื่อนถูกแฟนจับได้ว่ามีกิ้ก..... แน่นอนนว่า Shame คือ ชั้นไม่ได้เป็นกิ้กกับเค้า เค้านะแหละมาหงไหลชั้นเอง..... หรือ เราจะเรียนรู้กับความผิดพลาดทางอารมณ์นั้นน (แต่เราว่าในกรณีนี้ จะโดนเค้าทิ้งไป ก็ไม่แปลกนะ......)
Shame กับเรื่องของ Racist
Lea Flego, a marriage & family therapist ใน Oregon ได้บอกไว้ว่า
- ถ้าเหตุการณ์ Racist ผู้คนต่างเรียกว่า Shame แล้วโฟกัสไปที่การกระทำของนายตำรวจผิวขาวท่านนั้น ก็จะทำให้เกิดแต่ความแค้น และการกระทำเพื่อโต้กลับในความเป็นคนผิวสี (แต่นั้นแหละ มนุษย์ก็ไม่ได้พัฒนาหรือเรียนรู้อะไรขึ้นเลย)
- แต่นั้นก็เป็น 1 ในธรรมชาติของมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาให้หนีความเจ็บปวด
Guilt เป็นความรู้สึกที่ไม่ดี แต่ก่อให้เกิดการสร้างพฤติกรรมใหม่ๆ (Constructive)
Shame เป็นความรู้สึกที่ไม่ดี แต่ถมตัวเองไปกับการบั่นทอน (Destructive)
Dr.Gerald Fishkin, ผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Science of Shame บอกว่า
- จากงานวิจัยของเค้าพบว่า Shame เป็นความรู้สึกที่ทำปฏิกิริยากับสมองส่วน Limbic ที่ทำมีส่วนของระบบประสาทอัตโนมัติ และทำให้เราเกิดอารมณ์ของ fight-or-flight นั้นเองงงง (เพราะงั้น ถ้ามันอธิบายทางวิทยาศาสตร์ได้ ก็ไม่ต้องตกใจน้าา)
- Shame attack คือภาวะของการรู้สึกละอายอย่างมากๆ จนทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะกลัว (Fear response) และในบางคนอาจเข้าสู้ภาวะ Panic attack (อันนี้จะหนักเลยละ)
- อีก Level ที่ลึกไปของ Shame คือ Toxic shame โดยภาวะนี้ เพื่อนๆจะเริ่มรู้สึกว่า ชั้นไม่มีใครรักแล้ว ชั้นมันไม่มีค่าอะไรกับใครและโลกนี้ หรือภาวะจมดิ่งนั้นเอง (Sunken) และขั้นนี้ถ้าไม่รีบรู้ตัว แน่นอน โรคซึมเศร้ายืนที่มีดรออยู่เลยย (ไม่อาวววนะ)
- โดยที่ Guilt จะติดอยู่ในแค่ Cognitive Behavioral ซึ่งเราสามารถรับรู้และ reflect ได้ง่ายกว่า เอาง่ายๆคือไม่ได้ฝังลึกลงไปมากนั้นเอง
สรุปตอนท้ายคือ
1. เราเรียนรู้เจ้าความรู้สึกทั้ง 2 อย่างนี้ และความแตกต่างของมัน เพื่อที่จะทำให้เรา reflect ความรู้สึกตัวเองได้แม่นยำมากขึ้น
และจะนำไปสู่การพัฒนาตัวเองดีที่ขึ้นนน
2. เราไม่ได้เรียนรู้ที่จะสิ่งหนีความรู้สึกที่เรียกว่า Shame แต่เราเรียนรู้มัน และถ้าเราพบเจอเราก็จะต้องเข้าใจ ยอมรับ และแปลงเปลี่ยนมันให้เร็วที่สุดเท่านั้นเอง
3. ถ้าเพื่อนๆติดกับดักทางอารมณ์ ก็ลองระบายให้คนข้างๆฟังดูน้ะ บางทีการแบกทุกอย่างไว้คนเดียวอาจไม่ใช่คำตอบ และบางทีเราอาจะอยู่ในสถานะของการตาบอด (Blind) นั้นเองงง ลองให้คนอื่นช่วยวิเคราะห์เรา (แต่ต้องเปิดใจด้วยน้ะจ้ะ)
4. เราจะแก้ไขมันได้ ก็ต่อเมื่อเราสามารถรู้ได้ว่า อะไรคือเหตุที่จะทำให้เราทำผิดในครั้งต่อไป ? หรือสิ่งไหนที่ท้าทายและยั่วยุให้เราทำสิ่งนั้น ?
5. ลองเปลี่ยนมาใช้วิธีการเห็นอกเห็นใจตัวเองดูบ้างก็ได้นะ (Compression therapy technique)
6. ถ้าเพื่อนๆไม่ไหว สามารถพบจิตแพทย์ได้นะ เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล็กที่คุณหมอเค้าจะมองข้ามอย่างแน่นอน :):)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา