27 ก.ค. 2020 เวลา 10:33 • ประวัติศาสตร์
“มาร์โค โปโล (Marco Polo) นักเดินทางในตำนาน” ตอนที่ 1
เด็กชายมาร์โคและพื้นฐานครอบครัว
“มาร์โค โปโล (Marco Polo)” เป็นนักเดินทางคนสำคัญผู้ที่ฝากเรื่องราวไว้ในประวัติศาสตร์
แต่เรื่องราวของเขาเป็นอย่างไรนั้น มาลองดูกันได้เลยครับ
“มาร์โค โปโล (Marco Polo)” เกิดในปีค.ศ.1254 (พ.ศ.1797) ที่เวนิส ประเทศอิตาลีในปัจจุบัน โดยปีที่เขาเกิดนั้น เป็นปีที่ “นิคโคโล (Niccolo)” พ่อของเขา และ “มาฟฟีโอ (Maffeo)” ลุงของเขาออกเดินทางจากเวนิสไปทำการค้าที่เอเชีย
1
พ่อของมาร์โคนั้นเดินทางออกจากเวนิสไปเป็นเวลานานมาก กว่านิคโคโลจะกลับมาและมาร์โคได้พบกับพ่อของตนเป็นครั้งแรก มาร์โคก็อายุได้ 15 ปีแล้ว
1
ภายหลังจากที่มาร์โคเกิดได้ไม่นาน แม่ของเขาก็เสียชีวิต และมาร์โคก็ถูกส่งไปอยู่กับญาติ
ในช่วงวัยเด็ก มาร์โคไม่ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนมากนัก แต่ครอบครัวของเขาได้สอนวิธีทำการค้าให้แก่เขา
มาร์โคได้เรียนรู้วิธีการชั่งน้ำหนักเหรียญ หน่วยเงินและหน่วยวัดเงินของประเทศตนเองและประเทศอื่นๆ เพื่อให้สามารถทำการค้าอย่างราบรื่น
นอกจากนั้น เหล่าพ่อค้าที่มาร์โคพบที่ท่าเรือเวนิส ยังใจดี สอนหลักการค้าต่างๆ แก่มาร์โค
ในเวลานั้น เวนิสเป็นเมืองท่าการค้าที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก มีเรือเข้าออกอยู่เกือบจะตลอดเวลา
1
เวนิสในสมัยโบราณ
เวนิสนั้นไม่เหมือนเมืองอื่นๆ แต่เป็นเกาะเล็กๆ จำนวน 118 เกาะที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน
ในเวลานั้น อิตาลียังไม่ได้เป็นประเทศ หากแต่ประกอบด้วยกลุ่มนครรัฐ โดยแต่ละนครรัฐมีอำนาจปกครองตนเอง โดยเวนิสเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุด มีประชากรประมาณ 100,000 คน
1
สินค้าของเวนิสที่ขายให้ต่างชาติคือ ไม้ ข้าวสาลี และเกลือ
ในสมัยนั้น เกลือเป็นสิ่งที่ล้ำค่า เนื่องจากยังไม่มีตู้เย็น การเก็บอาหารให้อยู่ได้นาน จำเป็นต้องใช้เกลือ
เกลือ
มาร์โคเติบโตมาโดยไม่มีพ่อ โดยพ่อและลุงของเขานั้นออกเดินทางไปตามที่ต่างๆ
ค.ศ.1260 (พ.ศ.1803) นิคโคโลและมาฟฟีโอก็ไปที่คอนสแตนติโนเปิล โดยได้ทำการค้าขายสินค้าจากเวนิส
ภายหลังจากเดินทางข้ามทะเลดำ นิคโคโลและมาฟฟีโอก็ได้เดินทางไปทางตะวันออก ไปยังเมืองบอลการา และได้เข้าพบกับผู้นำชาวมองโกลชื่อ “เบิร์คข่าน (Berke Khan)”
1
เบิร์คข่าน (Berke Khan)
นิคโคโลและมาฟฟีโอได้มอบเพชรพลอยให้เบิร์คข่าน ในขณะที่เบิร์คข่านก็ได้มอบสินค้าจำนวนมากให้พวกเขาเป็นการตอบแทน
แต่ในขณะที่การค้ากำลังเป็นไปด้วยดีนี้เอง ก็ได้เกิดสงครามระหว่างเบิร์คข่านกับผู้นำชาวมองโกลอีกรายที่ชื่อ “ฮูลากู (Hulagu)”
ฮูลากู (Hulagu)
นิคโคโลและมาฟฟีโอตั้งใจจะเดินทางกลับบ้าน แต่เส้นทางกลับบ้านนั้นถูกปิด เนื่องจากเกิดสงคราม ทำให้พวกเขาตัดสินใจเดินทางไปยังเมืองบูคารา ประเทศอุซเบกิสถาน และติดอยู่ที่เมืองนี้เป็นเวลากว่าสามปี
ต่อมาในปีค.ศ.1265 (พ.ศ.1808) ฮูลากูก็ได้ส่งม้าเร็วไปหาพี่ชายที่ชื่อ “กุบไลข่าน (Kublai Khan)”
1
กุบไลข่านและผู้นำชาวมองโกลคนอื่นๆ มาจากดินแดนที่ชื่อว่า “มองโกเลีย (Mongolia)”
ม้าเร็วของกุบไลข่านพบนิคโคโลและมาฟฟีโอระหว่างทาง จึงได้เชิญสองพี่น้องให้เดินทางไปด้วย ซึ่งทั้งสองพี่น้องก็ตอบตกลง
นี่เป็นการตัดสินใจที่เสี่ยงมาก มีชาวยุโรปเพียงไม่กี่รายที่เคยเดินทางไปจีน ในเวลานั้น คนเชื่อกันว่าจีนนั้นอยู่สุดขอบโลก และการเดินทางก็ต้องเสี่ยงกับโจรป่า สงคราม การเดินทางที่ยากลำบาก
1
นิคโคโลและมาฟฟีโอรวมทั้งม้าเร็วใช้เวลานานกว่าหนึ่งปี จึงเดินทางถึงพระราชวังของกุบไลข่านที่เมืองหลวงของมองโกล (ปัจจุบันคือเมืองปักกิ่ง ประเทศจีน)
1
นิคโลโลและมาฟฟีโอเป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกๆ ที่กุบไลข่านได้พบ และท่านข่านก็ให้การต้อนรับสองพี่น้องเป็นอย่างดี
กุบไลข่านถามสองพี่น้องโปโลถึงเรื่องราวต่างๆ ในยุโรป และขอให้สองพี่น้องถือสาส์นไปถวายพระสันตะปาปา ผู้นำคริสตจักรคาทอลิกในกรุงโรม โดยในเวลานั้น พระสันตะปาปายังเป็นผู้ทรงอำนาจทางการเมืองอีกด้วย
กุบไลข่านขอให้สองพี่น้องทูลขอสองสิ่งจากพระสันตะปาปา
1.บาทหลวงที่มีความรู้ด้านดาราศาสตร์ คณิตศาสตร์ และความรู้ด้านอื่นๆ จำนวน 100 รูป
1
2.น้ำมันศักดิ์สิทธิ์จากโบสถ์ในเยรูซาเลม
เป็นที่ร่ำลือกันว่าน้ำมันศักดิ์สิทธิ์นี้มีพลังวิเศษ ซึ่งกุบไลข่านน่าจะต้องการใช้น้ำมันนี้เอาชนะศัตรู
กุบไลข่านกล่าวว่าหากบาทหลวงที่นำกลับมาด้วยสามารถพิสูจน์ได้ว่าศาสนาคริสต์คือศาสนาที่ดีที่สุด บางทีตัวเขาเองอาจจะหันมานับถือศาสนาคริสต์ก็ได้
การที่กุบไลข่านกล่าวเช่นนี้ก็เป็นที่น่าสงสัยในเจตนาของท่านข่าน จริงอยู่ที่กุบไลข่านสนใจที่จะเรียนรู้ศาสนาอื่นๆ แต่ก็เป็นไปได้ที่ท่านข่านเพียงอยากจะใช้มิชชันนารีเหล่านี้ในการขยายอำนาจเหนือดินแดนคริสตจักร
นิคโคโลและมาฟฟีโอตอบตกลง และพวกเขาก็ได้เดินทางออกจากจีนไป
สองพี่น้องจะทำตามคำขอของกุบไลข่านได้หรือไม่ มาร์โคจะมีบทบาทอย่างไร
ติดตามได้ในตอนต่อไปนะครับ
โฆษณา