29 ก.ค. 2020 เวลา 14:20 • นิยาย เรื่องสั้น
จักรวาลเรื่องเล่าจากชมรมศิลป์ : เรื่องสั้น The true revolution
ช้อนโลหะมันวาวถูกคนไปมาในแก้วกาแฟลาเต้อุ่น จนฟองนมแทบไม่เหลือแล้ว ด้วยความตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้คุยกับชายคนนี้ ผู้ที่จะอธิบายเรื่องราวเกี่ยวกับชายอีกคนที่ผมสนใจและกำลังศึกษาเรื่องราวของเขา เพื่อนำไปเขียนบทความอิงประวัติศาสตร์ที่จะลงในนิตยสารฉบับใหม่
หลังจากได้คุยกันผ่านจดหมายมาสองฉบับ เขาจึงนัดเจอผมที่ผับแห่งนี้ Au Bon Vieux Temps ซึ่งกว่าจะหาเจอก็เดินหลงอยู่นาน ผับที่ซ่อนตัวอยู่กลางเมืองบรัสเซลส์อันจอแจ ดูแล้วน่าจะเป็นร้านที่เขาชอบมาแวะนั่งคุยกับเพื่อน ๆ เป็นประจำ เพราะบรรยากาศเหมือนอยู่ในโบสถ์เก่าแต่กลับน่าอบอุ่นอย่างประหลาด
photo by Jaymz Campbell
"แอนโทนี่ ใช่ไหม" เสียงชายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นข้างหน้า ผมรีบเงยหน้าขึ้น เห็นเป็นชายร่างสันทัด ดวงตามีประกายและดูแข็งขันเอาจริงเอาจัง เขาอยู่ในโค้ทสีเข้มแบบสบาย ๆ
เขาคือจิตรกรเรืองนามอีกคนแห่งบรัสเซลส์ ฟรองซัวร์ โจเซฟ นาเวซ (François-Joseph Navez) ลูกศิษย์ใกล้ชิดคนหนึ่งของผู้ที่ผมกำลังศึกษางานศิลปะของเขาอยู่ จิตรกรแห่งการปฏิวัตินาม ฌัก หลุยส์ ดาวีด (Jacques-Louis David)
Francois-Joseph Navez : photo by Rama
"เป็นเกียรติมากครับ ที่ท่านให้โอกาสผม" ผมรีบลุกขึ้นโค้งตัวอย่างนอบน้อม เพราะความเกรงใจที่ต้องรบกวนเวลาอันมีค่าของท่านนั่นเอง
"ไม่ต้องเกรงใจ นั่งเถอะพ่อหนุ่ม เรียกผม นาเวซ เถอะ" คุณนาเวซนั่งลง ขยับเสื้อให้กระชับเข้าที่ อากาศในผับอุ่นสบาย แต่ผนังหินโบราณนี่ก็เย็นใช่ย่อยทีเดียว บริกรชายเดินเข้ามาถามในทันที คุณนาเวซจึงทักทายกับเขาเล็กน้อย
"ผมขอเหมือนเดิมนะ อเล็กซ์" เขายิ้มอย่างใจดี
"โอเค เราจะคุยกันเรื่องอะไรก่อนดีล่ะ" คุณนาเวซหันกลับมาเริ่มบทสนทนาอย่างไม่รอรี
"อ่อ..ขอเริ่มต่อจากในจดหมายเลยได้ไหมครับ ถ้าท่านพอจะจำได้" ผมอึกอักนิดหน่อยที่โดนจู่โจมอย่างรวดเร็ว
"โอ ได้สิ เรื่องที่อาจารย์เริ่มความคิดที่จะปฏิวัติใช่ไหม" คุณนาเวซกระแอมเล็กน้อยก่อนเริ่มพูด
Jacques-Louis David
"ใช่ครับ อาจารย์ดาวีดท่านเคยเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังบ้างไหมครับ" ผมเริ่มจรดปากกาลงในสมุดบันทึกทันที
"ไม่เชิงหรอก แต่อาจารย์ช่วงเจอผมในตอนแรก ๆ ท่านมักอธิบายให้ผมเข้าใจศิลปะในแบบที่ควรจะเข้าใจ ท่านว่าศิลปะนอกจากจะต้องงดงาม ยังต้องสื่อสารกับผู้คนด้วย จึงจะเรียกว่ามีคุณค่า อย่างพวกหัวโบราณที่เห็นว่าต้องยึดตามแบบแผนดั้งเดิมอยู่ตลอด ช่างไร้สาระสิ้นดี" เขาหัวเราะในลำคอเล็กน้อย
"อาจารย์มักคุยถึงตอนที่ท่านอดข้าวประท้วงพวกคนแก่ในราชวิทยาลัยศิลปะที่ฝรั่งเศสตอนนั้นเสมอ ว่าพวกเขาพยายามหาข้ออ้างต่าง ๆ นานา ที่จะกีดกันท่านจากทุนไปโรมให้จงได้ ...สี่ปีเลยนะ ต้องเรียกว่าสี่ปีกับการอดข้าวอีกสองวันครึ่งถึงจะถูก" คุณนาเวซหัวเราะร่วนกับมุขตลกที่คิดขึ้นมาแบบปุบปั๊บ จนผมอดยิ้มตามไม่ได้ พอดีบริกรคนนั้นกลับมาพอดี เสียงหัวเราะจึงหยุดไปเสียก่อน
สามภาพ กับสามปีแห่งความผิดหวังของ David
"อ้า ขอบคุณมาก อเล็กซ์ เยี่ยมเลย" เบียร์สีน้ำตาลอ่อนถูกรินมาเต็มแก้ว ฟองสีขาวตัดกับน้ำสีเข้มราวกับเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าสีทองจาง
"ในบรัสเซลส์ก็ต้องคอบเบอร่านี่ล่ะ นี่ฝีมือการหมักของพวกนักบวชของแท้นะพ่อหนุ่ม มีโอกาสต้องลองดู" คุณนาเวซไม่รอช้ารีบยกขึ้นลิ้มรสฟองอากาศนุ่มหยุ่นที่ลอยยั่วล้อตรงหน้า
"จะนับว่าอาจารย์ท่านรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรมของการมีอำนาจในมือของคนบางกลุ่ม แบบนั้นได้ไหมครับ" ผมจดยุกยิก
ภาพสุดท้ายซึ่งทำให้ได้รับทุนไปเรียนศิลปะต่อที่โรม จากการเพิ่มสีดำทมึนในฉากหลัง
"คงสะสมมาทีละเล็กละน้อย จนมาลุกโชนเมื่อได้มาพบเพื่อนนักปฏิวัติของท่านนั่นล่ะ สภาพของสังคมฝรั่งเศสตอนนั้นก็เร่งสถานการณ์ให้ร้อนแรงขึ้นไปอีก" คุณนาเวซวางแก้วลงกึก
"ยิ่งตอนที่มารามาตายแบบนั้นด้วย ท่านเปรยถึงรูปนั่นเสมอ ภาพที่ท่านตั้งใจวาดเพื่อเพื่อนร่วมอุดมการณ์ที่รักยิ่ง.." เสียงถอนหายใจดังขึ้นปิดท้าย
"แต่ว่ากันว่า ภาพนั้นดูสวยงามกว่าความเป็นจริงมากเลย ใช่ไหมครับ อาจารย์ดาวีดท่านเคยพูดถึงเรื่องความเหนือจริงพวกนี้ไหมครับ" ผมยิงคำถามเพิ่ม
"ศิลปินก็สร้างสรรค์ผลงานเหนือจริงอยู่แล้วนี่พ่อหนุ่ม คุณคิดว่าศิลปินเคยเห็นคิวปิดกับไซคีเหรอ เราแค่ต้องการสื่อสารกับผู้คน ในแบบที่ผู้คนจะซึมซับสารนั้นได้อย่างมีสุนทรีย์ แบบนั้นสิถึงจะเรียกว่าเป็นศิลปะ" คุณนาเวซหมุนฐานแก้วในมืออย่างลืมตัว
"พวกเราต้องการผลลัพธ์มากกว่าความสมจริง แต่ก็คงวิเศษถ้าความสมจริงมันมากับความงดงามทางศิลปะได้ด้วยพร้อม ๆ กัน ลองนึกภาพอาจารย์ท่านวาดม้าล่อให้นโปเลียนขี่ในรูปนั้นสิ ความสมจริงที่บางคนอาจไม่ต้องการ ฮ่าฮ่าฮ่า" เสียงหัวเราะของคุณนาเวซทำเอาโต๊ะข้าง ๆ หันมามองกันหลายคน
ม้าที่แสนสง่างาม ซึ่งมาแทนที่ม้าล่อในความเป็นจริง
"หมายถึงรูป Napoleon at the Saint-Bernard Pass ใช่ไหมครับ รูปนั่นทรงพลังจริง ๆ ไม่แปลกใจเลยที่นโปเลียนชื่นชอบในตัวของอาจารย์ดาวีดมาก" ผมรีบจดไปด้วยคุยไปด้วย
"แต่อาจารย์ยังคิดถึงอุดมการณ์แรกเริ่มเสมอ มันยากนะที่คนเราจะเลือกทางเดินสักทางแล้วมุ่งมั่นจนสำเร็จ แม้ว่าจะต้องแลกด้วยความเจ็บปวดมากมายเกินบอกใครได้ มีหลายภาพที่สื่อสารมาตั้งแต่สมัยท่านยังไม่เข้าร่วมขบวนการ อย่างภาพ The Lictors Bring to Brutus the Bodies of His Sons ภาพนั่นถ้าใครสนใจรายละเอียดมากพอ จะรู้เลยว่าความตั้งใจอันแน่วแน่นั้นต้องสะกดกลั้นความร้าวรานไว้มากมายขนาดไหน" เขาหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง
Brutus กับสีหน้าที่เคร่งขรึมแต่ปลายเท้างองุ้มจิกพื้น แสดงความอดกลั้นที่กดเก็บเอาไว้ เพื่ออุดมการณ์ที่เหนือกว่า ทุกการได้รับแลกด้วยบางสิ่งเสมอ นั่นคือความโศกเศร้าของผู้เป็นแม่และภรรยา
"แต่ท่านไม่เคยลืมภาพ Tennis Court Oath ได้เลย ภาพที่ท่านเปรยเสมอว่ามันไม่มีวันเสร็จ" แก้วเบียร์ถูกยกดื่มอีกครั้ง ความเงียบแทรกขึ้นมาชั่วครู่
"ไม่เสร็จ คือความหมายทางศิลปะ หรือว่า…" ผมค้างปากกาไว้พร้อมจ้องมองคุณนาเวซแบบตาไม่กระพริบ
Tennis court oath
"ก็ทั้งสองอย่างนั่นล่ะ คุณก็รู้ว่าเกิดอะไนขึ้นต่อจากนั้นนี่ พ่อหนุ่ม ช่วงเวลาความโหดร้ายที่ชะโลมไปด้วยเลือด ทั้งจากเหล่ารอยัลลิสต์ แม้กระทั้งกลุ่มผู้ร่วมอุดมการณ์แห่งความหวังใหม่ต่างก็สูญเสียไปไม่น้อย แล้วสุดท้ายทุกอย่างก็วนกลับมาเหมือนเดิม เหมือนกงล้อที่ติดในปรักโคลนไม่ผิด" เสียงของคุณนาเวซเข้มขึ้นเห็นได้ชัด
"แต่อาจารย์ดาวีดรอดจากคมกิโยตินได้เพราะอะไรเหรอครับ ไม่ใช่เพราะท่านปวดท้องอย่างที่เขาเล่ากันแน่ ๆ" ผมกลืนน้ำลายอึกใหญ่
"ไม่รู้สิ เรื่องนี้ท่านไม่เคยพูด ท่านบอกแค่ว่าที่ท่านพยายามมีชีวิตต่อไปแม้จะต้องวางอุดมการณ์ของความเสมอภาคลงก่อน ก็เพราะ...คุณชาล็อต ภรรยาของท่านเอง"
"ที่ท่านออกมาแต่งงานอีกรอบกับเธอใช่ไหมครับ" ผมเผลอถามเสียงดัง
Madame David by Jacques-Louis David
"ใช่ คุณชาล็อตนี่เองที่ทำให้ท่านมองเห็นภาพรวมทั้งหมด ความสูญเสียที่แลกไปกลับไม่เคยมีใครได้รับผลลัพธ์ที่ต้องการอย่างแท้จริงเลย มีเพียงสตรีผู้ต้องหลั่งน้ำตาเพียงลำพัง ภายใต้การต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ที่ต่างฝ่ายต่างเชื่อ ของเหล่าบุรุษที่คิดว่าตนคือผู้สร้างวีรกรรม…" คุณนาเวซมองตาผมแววตาดูเศร้าจนเห็นได้ชัด
"อาจารย์ท่านถ่ายทอดผ่านงานชิ้นไหนบ้างไหมครับ เรื่องที่ผู้หญิงคือบุคคลที่เปลี่ยนแปลงความคิดของท่านไป" ผมรีบจดต่อ
"ก็อย่างภาพ The Intervention of the Sabine Women คุณพอทราบตำนานของเหล่าสตรีผู้เปลี่ยนแปลงสงครามเหล่านี้บ้างไหมล่ะ" เขาเลิกคิ้วถามผม
"เอ่อ..ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ครับ คุณนาเวซช่วยเล่าเรื่องนี้สั้น ๆ ทีสิครับ" ผมยิ้มแห้งเพราะพลาดที่ยังศึกษางานของคุณดาวีดมาไม่ดีพอ
the intervention of the sabine women
"พวกเธอวิ่งเขาไปกลางสนามรบของเหล่าชายผู้ห้าวหาญ ซึ่งฝั่งหนึ่งก็คือญาติ ส่วนอีกฝั่งคือสามีที่รัก พวกเขารบราเพราะตัวเธอที่โดยลักพาตัวมา แต่จะมีประโยชน์อะไรที่หากการรบนี้จะพรากพ่อไปจากเธอ พรากสามีและพ่อไปจากเธอและบุตร เธอจึงวิ่งไปท่ามกลางสนามรบนั้นเพื่อยุติทุกอย่าง" คุณนาเวซมองน้ำสีอำพันเข้มในมือ
"อาจารย์ท่านเลยเห็นแล้วว่า บางที่การเข้าห่ำหั่นกัน ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไร มีแต่ความสูญเสียที่ทิ้งไว้ให้คนข้างหลัง ใช่ไหมครับ" ผมจดบันทึกแบบแทบไม่มองกระดาษในมือด้วยซ้ำ
"จะพูดแบบนั้นก็ได้ ท่านพบแล้วว่าโลกในอุดมคติของท่านคือการได้อยู่กับศิลปะและหญิงที่ท่านรักต่างหาก ที่ท่านเฝ้าฝันถึงหลังจากผ่านเหตุการณ์และช่วงเวลาที่น่าเศร้าในตอนนั้นมาได้ ท่านถึงย้ายมาอยู่ที่บรัสเซลส์นี้กับภรรยาและลูกศิษย์หลายคน ถึงจะได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้วก็ตาม ท่านก็ไม่กลับไปฝรั่งเศสอีก" เบียร์แก้วนั้นถูกยกดื่มอีกครั้ง
"เหมือนภาพสุดท้ายที่อาจารย์ลงมือวาดทิ้งท้ายใช่ไหมครับ Mars Being Disarmed by Venus and the Three Graces ภาพนั้นงดงามมากจริง ๆ" ผมนึกถึงภาพนั้นในหัว ภาพที่อิทธิพลการเขียนของอาจารย์ดาวีดเปลี่ยนไปในทางอ่อนโยนและนุ่มนวลขึ้นอีกครั้ง
Jacques-Louis David: Mars Being Disarmed by Venus
"ภาพนั้นอาจารย์ถ่ายทอดชีวิตตลอดช่วงเวลาหลายสิบปีลงในนั้น ทั้งด้านศิลปะและด้านจิตวิญญาณ เทพนักรบอันเกรี้ยวกราดที่วางทุกสิ่งลงตรงหน้าหญิงสาวผู้เป็นที่รักยิ่ง นั่นคือข้อสรุปที่อาจารย์ถ่ายทอดได้ลงตัวที่สุดจริง ๆ" คุณนาเวซพูดพร้อมน้ำตาคลอเล็ก ๆ
"เขาว่ากันว่า แม้ร่างของอาจารย์ดาวีดท่านไม่ได้รับอนุญาตให้นำกลับไปฝั่งที่ฝรั่งเศสได้ แต่มีคนนำหัวใจท่านไปกลับไปฝังไว้ที่หลุมเดียวกับภรรยาท่านชาล็อต จริงรึเปล่าครับ" ผมมองตาคุณนาเวซอย่างแน่วแน่ไม่กระพริบ
"ไม่จำเป็นต้องรู้หรอกมัง ว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่ เพราะคุณน่าจะทราบแล้วนี่พ่อหนุ่ม ว่าหัวใจของท่านไม่เคยห่างจากกันไปไหนทั้งทางจิตและวิญญาณ และเธอนี่เองเปลี่ยนแปลงหัวใจของท่านอาจารย์ไปตลอดกาล" แก้วเบียร์เปล่าถูกวางลงเบา ๆ บนโต๊ะไม้โบราณตรงหน้า
ที่นอนอันสงบที่หัวใจของดาวีดและชาล็อตอยู่ด้วยกันตลอดกาล
"เบียร์หมดพอดี คงถึงเวลาที่ผมต้องขอตัวนะพ่อหนุ่ม ผมจะรออ่านงานของคุณละกัน" คุณนาเวซค่อย ๆ พยุงลุกขึ้น ผมรีบลุกพยายามจะเข้าไปช่วย แต่เขายกมือขึ้นปราม แล้วลุกขึ้นเองจนได้
"ไว้มีโอกาส คงได้คุยกันใหม่นะแอนโทนี่ โชคดีพ่อหนุ่ม ทีนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าใครคือนักปฏิวัติตัวจริง คนที่เปลี่ยนแปลงชายคนหนึ่งไปตลอดชีวิต.. การปฏิวัตที่แท้อาจไม่ใช่อยู่ที่ระบอบหรือระบบอะไรทั้งนั้นหรอก มันมาจากตรงนี้ต่างหาก" คุณนาเวซดึงมือขวาที่ซุกไว้ในเสื้อโค้ทตรงบริเวณหน้าอกแล้วยื่นมือมา ผมโค้งให้แล้วจับแน่นแล้วเขย่าเพียงเล็กน้อย
"ขอบคุณครับ ผมเข้าใจเรื่องราวบางส่วนเพิ่มขึ้นอีกมากเลยครับ" ผมเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
"ทำการบ้านมาดีทีเดียวนะ ดี ดีมาก ฮ่าฮ่าฮ่า ไปละ โชคดีพ่อหนุ่ม" คุณนาเวซค่อย ๆ เดินออกไปช้า ๆ ผ่านประตูผับออกไปท่ามกลางอากาศหนาวเย็นด้านนอก
ผมก้มลงมองบันทึกย่อที่จดไว้ในมืออีกครั้ง มันเขียนว่า
"Love"
ผมยิ้ม แล้วเติมคำว่า " Freemason " ไว้ลาง ๆ จนแทบมองไม่เห็น ในบรรทัดถัดลงไป
หมายเหตุ : เรื่องราวนี้เกิดจากจินตนาการล้วน ๆ ตัวละครบางตัวมีอยู่จริง งานศิลปะมีอยู่จริง แต่การเรียงร้อยเรื่องราวเป็นเรื่องแต่งแต้มขึ้นทั้งสิ้น
ผู้เขียนอาจเขียนได้ไม่สวยงามนัก แต่เชื่อว่าถ้าค่อย ๆ อ่านเรื่องราวทั้งหมด จะเข้าใจและอธิบายทุกความเป็นไปทั้งในโลก กระทั่งประเทศของเราได้เป็นอย่างดี อาจมีซ่อนความบันเทิงและจินตนาการไปบ้าง เพื่ออรรถรสเท่านั้นเอง
ซึ่งนั่นคือความยินดีที่สุดแล้วของคนเขียน กราบขอบพระคุณผู้อ่านทุกท่านไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา