Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
กลยุทธ์
•
ติดตาม
31 ก.ค. 2020 เวลา 15:04 • ประวัติศาสตร์
#การปลดเเอกในยุคสามก๊ก
สามก๊กหลายฉบับล้วนเรียกกลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองว่าเป็น โจร เเต่ถ้ามองเเละวิเคราะห์ดูดีๆนั้นหาใช่ไม่
กลุ่มโพกผ้าเหลือง
ความจริงโจรโพกผ้าเหลืองเป็นขบวนการกู้ชาติขบวนหนึ่งในยุคที่บ้านเมืองเป็นจลาจล ไม่ต่างกับขบวนการกู้ชาติของเหล่านิสิตนักศึกษาในปัจจุบัน ที่ประเทศไทยเรากำลังประสบอยู่ในขณะนี้
แต่เมื่อขบวนการกู้ชาตินี้พ่ายแพ้ ก็ต้องถูกขนานนามว่าเป็นกบฏ และเป็นธรรมเนียมการเมืองจีนโบราณที่ต้องเหยียบย่ำซ้ำเติมผู้พ่ายแพ้ ดังนั้นขบวนการกู้ชาติขบวนนี้จึงถูกเหยียดหยามว่าเป็นเพียงกลุ่มโจรเท่านั้น
เรื่องของโจรโพกผ้าเหลืองเริ่มต้นขึ้นที่เมืองกิลกกุ๋น ซึ่งเป็นดินแดนทางทิศใต้ของเมืองหลวง ในยุคพระเจ้าเลนเต้ โดยมีชายคนหนึ่งชื่อ เตียวก๊ก เป็นหมอยาแผนโบราณ ตั้งตนอยู่ในศีลธรรม มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ชอบช่วยเหลือราษฎร จึงเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านในถิ่นนั้นเป็นอันดี
อยู่มาวันหนึ่งเตียวก๊กไปหาตัวยาบนภูเขา พบคนแก่คนหนึ่งผิวหน้านั้นเหมือนทารก จักษุนั้นเหลือง มือถือไม้เท้า คนนั้นพาเตียวก๊กเข้าไปในถ้ำ จึงให้หนังสือตำรา 3 ฉบับชื่อไทแผงเยาสุด แล้วว่าตำรานี้ท่านเอาไปช่วยทำนุบำรุงคนทั้งปวงให้อยู่เย็นเป็นสุข ถ้าตัวคิดร้ายมิซื่อตรงต่อแผ่นดิน ภัยอันตรายจักถึงตัว เตียวก๊กกราบไหว้แล้วจึงถามว่าท่านนี้ชื่อใด คนแก่นั้นจึงบอกว่าเราเป็นเทพยดา บอกแล้วก็เป็นลมหายไป
เตียวก๊กกลับมาบ้านก็ลงมือศึกษาเล่าเรียนตำราทั้ง 3 เล่ม ปรากฏว่าเป็นตำราเรียกลม เรียกฝนเล่มหนึ่ง เป็นตำราผูกพยนต์ หรือตำราปลุกเสกสิ่งของให้เป็นคน หรือเป็นสัตว์เล่มหนึ่ง และตำรารักษาโรคอีกเล่มหนึ่ง
เตียวก๊กศึกษาตำราทั้งสามเล่มแล้วก็ได้ใช้วิชารักษาโรครักษาชาวบ้าน ซึ่งทั้งหมดเป็นคนยากไร้ ไม่มีเงินค่ารักษาพยาบาล ไม่สามารถไปหาหมอหลวงหรือแพทย์ตามร้านหมอต่างๆ ได้ ชาวบ้านจึงพากันมาให้เตียวก๊กรักษาไข้เจ็บโรคภัยต่างๆ จนเป็นที่นับถือศรัทธาของชาวบ้านทั้งเมืองกิลกกุ๋น
ต่อมาห่าลงกินเมืองกิลกกุ๋น ชาวเมืองเกิดความไข้ล้มตายลงเป็นอันมาก ชาวเมืองกิลกกุ๋นจึงพากันไปหาเตียวก๊กให้ช่วยรักษาความไข้จากโรคห่า เตียวก๊กได้เขียนยันต์ตามตำราของเทพยดาแจกให้ชาวเมืองบำบัดความไข้ ความไข้นั้นก็หาย โรคห่าก็หมดสิ้นไป
ชาวเมืองจึงพากันมาฝากตัวเป็นศิษย์เตียวก๊กมากขึ้น ประกอบกับช่วงนั้นพวกขุนนาง ข้าราชการรีดนาทาเร้นราษฎรเพื่อเก็บส่วยส่งให้กับขันที และเพื่อความร่ำรวยของตนเอง จนบ้านเมืองอดอยากยากแค้น ทั้งข้าราชการ และพวกมาเฟียต่างๆ ได้ประพฤติตนเป็นโจรปล้นชิงวิ่งราวชาวบ้าน แพร่ขยายไปทุกตำบล ดังนั้นราษฎรจึงยิ่งหันเข้ามาพึ่งพาเตียวก๊กมากขึ้น
บรรดาลูกศิษย์ของเตียวก๊กซึ่งได้รับการอบรมสั่งสอนให้ช่วยเหลือผู้อื่น จึงได้จัดตั้งกันขึ้นเป็นกลุ่มอาสาป้องกันตนเอง เป็นกองกำลังติดอาวุธของประชาชน ด้านหนึ่งป้องกันโจรผู้ร้ายที่มาเบียดเบียนปล้นชิงวิ่งราว อีกด้านหนึ่งเพื่อต่อสู้กับขุนนางและข้าราชการที่มากดขี่ข่มเหง ซึ่งสอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของราษฎร ดังนั้นชาวเมืองจึงได้เข้าร่วมขบวนการอาสาป้องกันตนเองมากขึ้นทุกวัน จนขบวนการอาสาป้องกันตนเองเติบใหญ่ และขยายตัวไปยังเมืองต่างๆ อีก 7 เมือง รวมเป็น 8 เมือง คือเมือง กิลกกุ๋น เฉงจิ๋ว อิวจิ๋ว ชิวจิ๋ว เกงจิ๋ว ยังจิ๋ว กุนจิ๋ว และ อิจิ๋ว ชาวเมืองทั้ง 8 เมืองนี้นับถือศรัทธาเตียวก๊ก เขียนเอาชื่อเตียวก๊กไว้บูชาทุกบ้านเรือน
บรรดาเจ้าเมืองทั้ง 8 เมืองดังกล่าว เห็นว่าการเคลื่อนไหวของขบวนการอาสาป้องกันตนเองนี้เป็นประโยชน์แก่ตัวอยู่บ้าง ตรงที่คอยกีดขวางลูกน้องขันทีที่มารีดส่วย จึงทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ บ้างก็กลัวภัยจะมาถึงตัวจึงทำเฉยปล่อยปละละเลยเหตุการณ์ไปตามสถานการณ์ ทำให้การเคลื่อนไหวของขบวนการอาสาป้องกันตนเองขยายตัวและเข้มแข็งขึ้น
เมื่อขบวนการอาสาป้องกันตนเองเติบใหญ่เข้มแข็งขึ้นเช่นนี้ ก็มีความจำเป็นที่จะต้องจัดระบบการบริหารเพื่อควบคุมกองกำลังอาสาป้องกันตนเอง ดังนั้นเตียวก๊กจึงแต่งตั้งให้ศิษย์ที่ไว้ใจเป็นหัวหน้าขบวนการสาขาเรียกว่า นายบ้าน ถึง 30 ตำบล ตำบลใหญ่มีกำลังติดอาวุธประมาณหมื่นเศษ ตำบลเล็กมีกำลังติดอาวุธ 6-7 พันคน จัดตั้งกำลังแบบกองทหาร มีธงสำหรับรบศึกทุกตำบล
เมื่อมีผู้คนมาเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก และจัดตั้งขบวนเป็นกองทัพฉะนี้แล้ว บรรดาลูกศิษย์ลูกหาของเตียวก๊กก็ยุยงส่งเสริมให้เตียวก๊กกอบกู้ฟื้นฟูชาติบ้านเมือง ให้ราษฎรได้ร่มเย็นเป็นสุข
เตียวก๊กฟังแล้วยังไม่ตัดสินใจประการใด แต่ปรากฏการณ์ที่ได้พบเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันก็คือ การกดขี่ข่มเหงราษฎรของฝ่ายขุนนางและข้าราชการ และการเบียดเบียนปล้นชิงวิ่งราวที่ขยายตัวลุกลามไปอย่างกว้างขวางนั้น ทำให้ความคิดเตียวก๊กโน้มไปในทางที่เห็นว่า ข้อเสนอของลูกศิษย์เป็นข้อเสนอที่เข้าท่า
ที่เป็นเช่นนี้เพราะเตียวก๊กเป็นคนมักน้อยและสันโดษ มีจิตใจที่ดีงาม ไม่ได้มีจิตใจมักใหญ่ใฝ่สูงมาแต่ต้น ที่ทำการมาเป็นเพียงเพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนทุกข์ยาก มิได้หวังเอาอำนาจวาสนาเป็นเป้าหมายแห่งชีวิตแต่ประการใด
แต่เป็นวิสัยคนที่ทนความเย้ายวนต่ออำนาจได้โดยยาก ดังคำที่ว่าหยดน้ำเซาะหินยังกร่อน เตียวก๊กเมื่อถูกลูกศิษย์ยุยงหนักเข้าก็ตกลงใจเห็นด้วย จึงตั้งตนเองเป็นพระยา เปลี่ยนขบวนการอาสาป้องกันตนเองเป็นขบวนการกู้ชาติ แล้วสร้างข่าวลือทั้ง 8 เมืองว่า แผ่นดินจะผันแปรปรวนไปแล้ว จะมีผู้มีบุญมาครองแผ่นดินใหม่ บ้านเมืองจะเป็นสุข แล้วให้เอาปูนขาวเขียนเป็นอักษรไว้ที่บ้านเรือน 2 คำว่า ปีชวดบ้านเมืองจะเป็นสุข
นี่เป็นธรรมดาของอำนาจวาสนาที่เข้าครอบงำบุคคลใดแล้ว ก็จะทำให้บุคคลนั้นเป็นคนขี้ลืม คือลืมความหลัง ลืมเรื่องเก่า ลืมมิตรเก่า เตียวก๊กที่ถูกลูกยุและอำนาจวาสนาครอบงำแล้วเช่นนี้ จึงลืมคำของเทพยดาที่เคยเตือนไว้ตอนมอบตำรา 3 เล่มว่า ถ้าตัวคิดร้ายมิซื่อตรงต่อแผ่นดิน ภัยอันตรายจะถึงตัว
แต่ก็น่าเห็นใจเตียวก๊ก เพราะในความคิดและความรับรู้ของเตียวก๊กนั้น ไม่ได้คิดเห็นว่าสิ่งที่ตัวทำเป็นเรื่องคิดร้ายมิซื่อตรงต่อแผ่นดิน เพราะเชื่อโดยสนิทใจว่าเป็นการตัดสินใจด้วยความเสียสละเพื่อกอบกู้ฟื้นฟูชาติ ช่วยเหลืออาณาประชาราษฎรให้ร่มเย็นเป็นสุข ขจัดทุกข์เข็ญให้แผ่นดิน
เมื่อเตรียมการดั่งนี้แล้วก็จำเป็นอยู่เองที่ต้องประสานงานในเมืองหลวงเพื่อทำการใหญ่สืบไป ดังนั้นเตียวก๊กจึงมอบหมายให้ลูกน้องชื่อ ม้าอ้วนยี่ ไปติดสินบนฮองสี ขันที ซึ่งเป็นคนหนึ่งในสิบขันที ให้ทำการเป็นไส้ศึกในเมืองหลวง
เตียวก๊กนั้นมีน้องชายอยู่สองคนชื่อเตียวโป้และเตียวเหลียง ได้รับมอบหมายให้เป็นรองหัวหน้าขบวนการ ดังนั้นเมื่อจะทำการกอบกู้ฟื้นฟูชาติ เตียวก๊กจึงสอนน้องว่า บัดนี้เราจะทำการใหญ่เพื่อการกอบกู้ฟื้นฟูชาติ ถ้าจะคิดอ่านการสิ่งใดจงเอาใจไพร่เป็นประมาณ
เตียวก๊กได้บอกน้องทั้งสองคนว่าบัดนี้การพร้อมแล้ว ควรจะคิดเอาแผ่นดิน มิฉะนั้นแล้วก็จะเสียการไป น้องทั้งสองคนก็เห็นด้วย จากนั้นจึงเตรียมกำลังรบพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ไว้พร้อมเพื่อเตรียมเคลื่อนทัพเข้ายึดเมืองหลวง
หลังจากเตรียมการพร้อมแล้ว เตียวก๊กจึงใช้ให้ลูกศิษย์ชื่อ ตองจิ๋ว ถือหนังสือลับไปบอกฮองสีขันที เพื่อเตรียมการด้านราชสำนักให้เกิดจลาจลวุ่นวายขึ้น สอดคล้องกับการศึกจากภายนอก แต่ตองจิ๋วเปลี่ยนใจกลับนำหนังสือลับนั้นไปให้ขุนนางกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ ความศึกจึงแตก เพราะศิษย์ขายอาจารย์ผู้นี้
พระเจ้าเลนเต้ทราบความแล้วจึงให้ โฮจิ๋น ผู้บัญชาการกรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นพี่เมียและไต่เต้าเข้าสู่ตำแหน่งด้วยอาศัยความร่วมมือและประนีประนอมกับสิบขันที นำทหารไปจับม้าอ้วนยี่ ซึ่งเป็นคนเดินสารติดสินบนฮองสีขันทีมาประหาร
ในขณะเดียวกันก็มีรับสั่งให้จับฮองสีขันที มาพิจารณาโทษพร้อมกันด้วย แต่เนื่องจากการทั้งนี้สิบขันทีย่อมรู้เห็นเป็นใจอยู่ด้วย ดังนั้นจึงคิดอ่านช่วยเหลือพรรคพวกให้ผ่อนหนักเป็นเบา
เหล่าขันที
เหตุนี้ในขณะที่ม้าอ้วนยี่ ซึ่งเป็นเพียงคนเดินสารถูกพิจารณาโทษถึงประหาร แต่ ฮองสีขันทีซึ่งเป็นคนขายชาติ และรับสินบนเพื่อการขายชาติกลับถูกลงโทษเพียงจำคุกไว้เท่านั้น
เมื่อกำจัดไส้ศึกแล้ว พระเจ้าเลนเต้จึงโปรดให้มีตราไปทุกหัวเมืองว่า ถ้าผู้ใดมีฝีมือกล้าหาญ ให้ช่วยกันจับโจรโพกผ้าเหลืองแล้วจะปูนบำเหน็จให้เป็นขุนนาง และมีพระบรมราชโองการตั้งให้ โลติด เป็นแม่ทัพ ให้ โลจิ๋น เป็นที่ปรึกษา ให้ ฮองฮูสง เป็นทัพรอง และให้ จูฮี เป็นทัพหนุน แยกขบวนทัพออกเข้าตีขบวนการกู้ชาติเป็นสามด้าน
ฝ่ายเตียวก๊กเมื่อทราบข่าวว่าความลับแตก และเมืองหลวงแต่งทัพยกมาเป็นสามด้าน ก็ประกาศตัวกู้ชาติโดยเปิดเผย ตั้งตัวเองเป็น เจ้าพระยาสวรรค์ ตั้งเตียวโป้ผู้น้องเป็น เจ้าพระยาแผ่นดิน และตั้งเตียวเหลียงผู้น้องสุดท้องเป็น เจ้าพระยามนุษย์ ให้รื้อเกล้ามวยซึ่งเป็นธรรมเนียมการเกล้ามวยในยุคนั้น แล้วสยายผม เอาผ้าเหลืองโพกศีรษะเป็นสำคัญ
เตียวก๊กได้ชุมนุมพลประกาศกู้ชาติ และให้กำลังใจปลุกระดมกำลังพลว่า บัดนี้แผ่นดินจะสาบสูญฉิบหายแล้ว ผู้มีบุญจะมาเสวยสมบัติใหม่ คนทั้งปวงจงทำตามคำเทพยดาทำนายเถิด จะได้อยู่เย็นเป็นสุขพร้อมมูลกัน
เมื่อประกาศตัวขบวนการกอบกู้ชาติอย่างเป็นทางการแล้ว เตียวก๊กก็สั่งให้จัดกองทัพกำลังพลห้าสิบหมื่น อาวุธยุทโธปกรณ์พร้อมสรรพ ตั้งตัวเองเป็นแม่ทัพใหญ่ เตียวโป้และเตียวเหลียงผู้น้องเป็นแม่ทัพรองและแม่ทัพหนุนโดยลำดับ แล้วสั่งให้เคลื่อนทัพเข้ายึดหัวเมืองต่างๆ เพื่อเตรียมยึดเมืองหลวงต่อไป
กำลังพลห้าสิบหมื่นของกองทัพเตียวก๊กครั้งนี้ แม้ยังมิใช่กำลังรบทั้งหมดที่มีอยู่แต่ก็ต้องนับว่าเป็นกองทัพขนาดใหญ่ คือมีขนาดใหญ่กว่ากำลังพลของกองทัพไทยในปัจจุบันนี้ถึงสองเท่า จะเรียกกองทัพเช่นนี้ว่า โจร ได้อย่างไร ดังนั้นการเรียกกลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองจึงออกจะไม่เป็นธรรมและไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง เพราะเป็นเรื่องการเหยียบย่ำทางการเมืองดังที่กล่าวข้างต้นนั้น
ศึกใหญ่ระหว่างกองทัพจากเมืองหลวงที่บัญชาการโดย โลติด แม่ทัพใหญ่ กับกองทัพของขบวนการกอบกู้ชาติ ที่บัญชาการโดย เตียวก๊ก แม่ทัพใหญ่ และมีกำลังพลถึงห้าแสนคนจึงระเบิดขึ้น กลายเป็นสงครามโจรโพกผ้าเหลืองนับแต่บัดนั้น
บันทึก
1
1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
สามก๊กเเบบวิเคราะห์
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย