5 ส.ค. 2020 เวลา 11:26 • ประวัติศาสตร์
เรื่องราวของ Emoji มีอะไรที่น่าสนใจบ้างนะ ?
ต้องบอกว่าเป็นสิ่งใกล้ตัวที่เราใช้แทบจะทุกวันเนอะ
โดยเฉพาะส่วนใหญ่เวลา chat อย่างเป็นทางการแต่อยากให้ดูไม่เป็นทางการมาก ยิ่งใช้บ่อยเลย
คิดว่าวันนี้เพื่อนๆคงจะได้รับข่าวสารที่น่าเสียใจเกี่ยวกับเหตุระเบิดที่เลบานอนกันมาเยอะแล้วเนอะ
เข้าใจว่าน่าจะมีหลายๆบทความเขียนเรื่องราวนี้ไปแล้ว
งั้นเราจะมาย่อยเกี่ยวกับ เรื่องราวของ Emoji ในฉบับของ Simple Journey เป็นการพักผ่อนสมองของเพื่อนกันหน่อยละกัน !
Emoji เริ่มต้นจาก ?
- ที่ประเทษญี่ปุ่นในปี 1997 โดย J Phone (หรือ Softbank) ที่ทำการเปิดตัว SkyWalker phone และ Emoji ทั้ง 90 ตัว
Emoji 90 ตัวแรก ใน J-Phone
J-Phone (เราเกิดไม่ทันใช้อะ แงงง)
- ซึ่งเจ้า Emoji ทั้ง 90 ตัวแรกนี้ จะใช้งานได้แค่เฉพาะ J-Phone รุ่นนี้เท่านั้น ก็เพราะว่า SoftBank ในขณะนั้นเองยังไม่สามารถพัฒนาให้เจ้าอีโมจินี้ใช้ข้าม device ได้
Docomo และ SoftBank ใครสร้าง Emoji ก่อนกัน?
จาก Emojipedia
- ถ้าจากภาพข้างบนจาก Emojipedia เราก็พอจะเห็นได้ว่า SoftBank เนี่ยเป็นคนเริ่มต้นทำ "ชุด" ของอีโมจิมาก่อนเนอะ
- แต่ไปๆมาๆ เหมือนจะการค้นพบว่า Docomo จะทำอีโมจิรูป Single heart ออกมาใช้งานก่อน (แค่ 1 อันนี้ละ) ในปี 1995 ที่ใช้สำหรับส่งหัวใจระหว่างเครื่อง Pager
เหมือนหัวใจเวลาเราเลี้ยง Tamagot เลย (ทันกันไหมน้าเพื่อนๆ ?)
การพัฒนาการของ Emoji
- Shigetaka Kurita, วิศวะกรจาก Docomo ได้คิดค้น Emoji ขึ้นมาอีก 176 อัน
- Kurita ไม่ใช่ Designer แต่ว่าด้วยความที่เค้าเองต้องการใช้ Emoji ที่เพิ่มขึ้นและ เหล่าเพื่อนๆเค้าใน Docomo ดันไม่มีใครคิดค้นต่อนะสิ
- โดย Emoji ชุดนี้มีได้ทำออกมาในรูปแบบของ 12-pixel emoji
เรียบง่าย และใช้งาานสื่อสารได้ดีเยี่ยม !
- และนับจากนี้ Emoji ที่เป็นที่ป้อปปูล่าในญี่ปุ่นมากๆเลยละ
- จนกระทั่ง Apple ได้พัฒนา Emoji เพิ่มขึ้นมาสำหรับฝั่งอเมริกากับ ios message ของ iphone
Emoji แรกของ U.S กับ Apple Iphone iOS 2.2
- ในปี 2008 Emoji ชุดใหม่ที่ถูกขัดเกลาโดย apple ก็ได้ถูกปล่อยออกมา ถึง 471 แบบเลย !! และเปิดตัวครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นด้วยละ ก็เพื่อที่จะได้ทดลองใช้งานกับคนญี่ปุ่นดูก่อน (เพราะมันเกิดขึ้นมาจากทีนี้)
- คือ Emoji เนี่ยคล้ายๆกับสี pastel เลยย ถ้าคำพูดที่เราพิมพ์จะห้วน จะหยาบแค่ไหน เพียงแค่ใส่อีโมจิยิ้มเข้าไป เป็นอัน Soft ลงมาทันที 😊
- และ Apple จากอเมริกาจะไม่มีทาง popular ในหมู่คนญี่ปุ่นได้เลยถ้าไม่มี emoji เหล่านี้
- และในปี 2011 Apple ก็ได้ปล่อยตัวเจ้าชุดอีโมจิเหล่านี้แก่ผู้ใช้งานทุกคน ใน iOS 5.0 (ก่อนหน้านี้พวกเราต้องโหลดแอพเพิ่ม หรือ jailbreak อะเนอะ จำได้กันไหมเอ่ย ?)
เรื่องราว Drama ของ Emoji กับสีผิว
- ต้องบอกเลยว่า หลังจากที่ Apple เปิดตัว emoji ใน U.S ได้ไม่นานก็มีกระแสดราม่าเกิดขึ้น เช่น ทำไม Human emoji ของคนโพกหัว (Turban wearing man) ถึงมีแค่ผิดสีคล้ำ ในขณะที่ human ตัวอื่นๆถึงเป็นคนผิวขาว ?
- ทำไมถึงผลิตออกมาแค่ Emoji ผิวขาวเหลือง แล้วคนผิวสีละ ?
- บริษัทที่พยายามคว้าวิกฤตของ Apple ให้เป็นโอกาสคือ Microsoft ที่ได้พัฒนา Human icon เป็นผิวสีเทา
Microsoft emoji
- และจนถึงปัจจุบัน จึงทำให้ Emoji ต่างๆมีสีผิวให้เลือกในเกือบทุก skin tone เลยละ
เรื่องราว Drama ยังไม่จบ เพราะมีเรื่องของเพศและ Emoji เข้ามา
- โดยเริ่มมีนักสังเกตได้ออกมาบอกว่า ทำไม Emoji ผู้ชายถึงต้องออกมาในลักษณะของ adventure, กีฬาลุยผาดโผน หรือแสดงความแข็งแกร่ง
- ในขณะที่ผู้หญิงเป็นลักษณะของ หญิงแต่งงาน, ตัดผม, นวด, spa หรือการเต้น
- แบบนี้มันแบ่งความแตกต่างและความไม่เท่าเทียมทางเพศชัดๆ
- Apple ก็ไม่รอช้าได้เพิ่ม Emoji ทุกๆ activity ให้มี 3 แบบให้เลือก : เพศหญิง, Neutral, เพศชาย
- หลังจากนี้ก็ได้มีชุด Emoji เพิ่มเติมอย่างเช่นในหมวด object อย่าง ระเบิด 💣, 🎊 Confetti Ball, 📓 Notebook, ⚔ Crossed Swords
จบแล้วจ้าาา เป็นเรื่องราวพอสังเขปอ่านสนุกๆเนอะเพื่อนๆ
แต่เราว่าในปัจจุบันการพัฒนาของ Sticker ที่สามารถแสดงอารมณ์ที่ชัดเจนกว่า emoji รวมถึง การใช้ภาพการ์ตูนที่เรารู้จัก หรือแม้แต่บุคคล แล้วผสมเข้ากับคำพูดเนี่ย จะเป็นที่นิยมใช้มากกว่า Emoji ซะแล้ว (และนั้นก็ทำให้การพัฒนา emoji อาจะต้องหยุดหรือช้าลง)
Emoji ที่เราชอบใช้บ่อยที่สุดเห็นทีจะเป็นเจ้าตัวนี้ 🥰 Smiling Face with Hearts
แล้วของเพื่อนๆละ มีตัวไหนบ้างน้า ?
โฆษณา