Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ถ่ายรูปเล่าเรื่อง/FotoTeller
•
ติดตาม
15 ส.ค. 2020 เวลา 10:08 • ท่องเที่ยว
พุกาม ...ความงามแห่งอดีตอันเรืองรอง
chapter 1
ปะกั่น บากาน พุกาม สุดแท้แต่จะเรียก คำแรกนั้นพม่ายุคอำนาจปัจจุบันไม่นิยมเรียกตนเช่นนั้น ด้วยไปพ้องกับภาษาอังกฤษว่า pagan อันหมายถึงคนป่า คนเถื่อน จึงเปลี่ยนเป็น bagan
แต่จะอย่างไรที่นี่คือ พุกาม ชื่อที่คุ้นหูคนไทยอย่างฉันที่รู้จักจากละครทีวีพร้อมๆกับหน้าหนังสือวิชาประวัติศาสตร์
หน้าตาสนามบินยองอูในพุกาม
เราจ่ายค่าเหยียบแผ่นดินพุกามไปคนละ 10 เหรียญ ตรงด่านขาออกจากสนามบินยองอู ค่าธรรมเนียมนี้เราสามารถเข้าชมโบราณสถานในพุกามได้ทุกแห่ง แล้วจะช้าอยู่ไย แจ้งความประสงค์ให้คนขับทราบ
โดยมีไกด์ท้องถิ่นติดรถมาด้วยโดยยังไม่คิดค่าบริการ แต่ต้องการนำเสนอรายการเที่ยวพรุ่งนี้ โดยมีเขาเป็นผู้นำทาง
“ ช่วยแนะนำสถานที่ดูพระอาทิตย์ตกได้มั้ยคะ” ฉันตะเบ็งเสียงแข่งกับรถตู้ขนาดเล็ก สภาพอย่างที่เห็นมาแล้วในย่างกุ้ง
ชายผิวคล้ำ วัยเลยกลางคนไปหลายปี หันมาตอบพร้อมรอยยิ้มเปื้อนน้ำหมาก “ ชเวซานดอว์ เซดี เราจะพาคุณไปที่นั่น ก่อนเข้าที่พัก ”
คุณครูไกด์ท้องถิ่นของเราในการพาเราเที่ยวเมืองพุกามครั้งนี้
ฉันเข้าใจเอาว่า “เซดี” ที่ว่า หมายถึง เจดีย์ในภาษาบ้านเรากระมัง
ฟังชื่อแล้วเข้าที เพราะว่าอันดับของการดูอาทิตย์อัสดงที่ฉันอ่านมา ซึ่งจะมี บูพญาเจดีย์ , มังกะลาเจดีย์, วัดก่อเต๊าะปะหลิ่น ที่ในหนังสือบอกไว้ว่าเป็นที่ที่ดีที่สุดในการชมพระอาทิตย์ตกดิน
ชเวซานดอว์ถือเป็นหนึ่งในพุทธสถานสามแห่ง ที่พระเจ้าอโนรธาสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1057 หลังจากชนะศึกเมืองตะโถ่ง
ด้วยความสูงห้าชั้นของเจดีย์ เมื่อคนท้องถิ่นแนะนำให้ไป ฉันก็เห็นด้วยอย่างว่าง่าย และหันไปขอความเห็นกับเพื่อนร่วมทาง
ทุกคนก็พยักหน้ากันหงึกหงัก ไม่รู้ว่าเห็นด้วย หรือเพราะรถที่กำลังขลุกขลักบนผิวถนนขรุขระทำให้พวกเราต้องพยักเพยิดไปตามแรงรถ ก็ไม่รู้ละ แต่จะว่าไปถนนก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนักหรอก
เป็นเรื่องธรรมดาเสียแล้ว ที่พวกเราจะต้องถูกถามว่ามาจากประเทศอะไร เพราะเดาจากหน้าตาที่ดูหลากหลายพันธุกรรมแล้วคงเดาไม่ถูกละซิ
“โยเดีย” ฉันตอบเป็นการหยั่งเชิงว่าคนพม่าเรียกคนไทยอย่างนั้นจริงรึเปล่า
“ฮ้า...ไทยแลนด์..สวัสดีครับ” ทั้งคนขับหนุ่มและไกด์สูงอายุ ต่างฉีกยิ้มกว้างขวาง เป็นรอยยิ้มราวกับคนคุ้นเคยกันมาแต่ปางเก่า แถมด้วยคำทักทายเป็นภาษาไทย
“ผมเคยเป็นครู ลาออกมาได้หลายปีแล้ว” ได้ยินมาว่าเงินเดือนข้าราชการพม่านั้น ไม่เกินสองพันบาทต่อเดือน อาชีพเกี่ยวกับการท่องเที่ยว น่าจะมีรายได้ดีกว่า ดูจากค่าตัวที่เขาเสนอบริการให้เราพรุ่งนี้ สิบเหรียญ ต่อวัน ส่วนค่ารถเราต้องจ่ายให้คนขับ
ซึ่งต่อรองไปมาตกราวคนละหกเหรียญ ยังไม่ทันตกลงยืนยันอะไรแน่นอน รถพาเราเลี้ยวตามทางถนนลูกรังเข้ามาถึงเจดีย์ชเวซานดอว์ ทันก่อนอาทิตย์จะลาพอดี
ภาพหมอกจางๆ ลอยเอื่อยๆ พาดผ่านเจดีย์นับพันองค์
ไกด์สูงวัย อดีตคุณครู , บอกให้เราทิ้งรองเท้าไว้ที่รถ และเดินเท้าเปล่าขึ้นเจดีย์ ฉันแหงนหน้ามองข้างบน เห็นแล้วว่ามีนักท่องเที่ยวขึ้นไปจับจองทำเลกันอย่างคึกคัก เพื่อสบตากับลำแสงสุดท้ายแห่งตะวัน
ฉันเสียจังหวะเล็กน้อย เมื่อมีภาพโปสเตอร์หลายใบถูกยื่นมาพร้อมกับกล่องไม้แลคเกอร์ และอะไรอีกเยอะแยะ ก่อนจะรู้ตัวว่าถูกรุมล้อมด้วยเด็กและผู้ใหญ่ ระเบ็งเซ็งแซ่บอกราคา
เด็กๆ พยายามสบตากับฉัน ทักทายเป็นภาษาญี่ปุ่นบ้าง เกาหลีบ้าง จีนบ้าง พวกเขาอาจนึกสนุกว่ามันต้องถูกสักอย่างซิน่า เจอแบบนี้เข้า ฉันได้แต่ยิ้มและก้มหน้าก้มตาเดินไปหาบันไดและทำทีเป็นตั้งอกตั้งใจปีนขึ้นไป
เสียงจ้อกแจ้กค่อยๆ หายไป ฉันก้าวเดินไปอย่างช้าๆ ชเวซานดอว์ แม้ดูไม่สูงมาก แต่ก็ยังรักษาจังหวะการเดินขึ้นช้าๆ แต่ถึงอย่างปลอดภัยและไม่เหนื่อยเกินไป เงยหน้ามองอีกครั้งในที่สุดก็ถึงจนได้
ใบหน้าแรกที่พบ “อีกแล้วหรือนี่!” นี่มันเด็กตะกี้ที่อยู่ข้างล่าง ตามตื๊อฉันถึงบนนี้เชียวหรือ แถมขึ้นมาดักคอยฉันเสียอีก ฉันทำทีเป็นหายใจฟืดฟาด ราวกับเป็นหอบหืด โบกไม้โบกมือ พูดจาไม่รู้เรื่อง กลุ่มเด็กน้อยจึงหันไปหาเป้าหมายใหม่
ฉันยืดตัวมองทุ่งเขียวขจีรอบเจดีย์ ที่ผุดไปด้วยเจดีย์ ตรงนั้น ตรงนี้ ตรงโน้น เต็มไปหมด แสงแดดเหลืองอ่อนอาบไล้ทุ่งหญ้าที่พริ้วไหวอย่างปลอบประโลม
สายลมเบาๆ ช่วยลูบไล้เหงื่อไคลให้คลายตัว พวกเราที่มาด้วยกัน ต่างแยกย้ายกันชื่นชมฉากโรมานซ์ บนความอลังการแห่งท้องทุ่งเจดีย์
“นั่นอานันทวิหาร” เสียงคุณครูนั่นเอง พลางชี้มือไปด้านประมาณตะวันตกเฉียงเหนือ
“ตรงนู้น ไกลๆ สีทอง น่าจะเป็น ชเวซิกอง”
ที่มองเห็นอีกด้านหนึ่ง ดูใหญ่โตแม้มองจากที่ไกล “ที่นั่นละ วัดธรรมยังจี”
“แล้วสีขาวๆ นั้นล่ะคะ”
“วัดทัตบินยู” หนังสือที่ติดมือมาด้วยถูกกางออก และมองหาตามลักษณะที่เห็น และมีอีกหลายเจดีย์ที่ไม่ปรากฏในหนังสือ แต่ปรากฏอยู่ในสายตาขณะนี้ ฉันนึกวาดภาพย้อนหลังเมื่อราวสิบศตวรรษที่แล้ว เจดีย์ร่วมหมื่นองค์ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธาของผู้คน จะทำให้ท้องทุ่งของที่ราบผืนนี้เรื่องรองอลังการสักเพียงใดหนอ
รถม้ายังเป็นที่นิยมทั้งคนพื้นถิ่นและนักท่องเที่ยว
มุมพระอาทิตย์ตกที่ยังคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว
ไม่ค่อยได้เห็นรถโบราณแบบนี้ในบ้านเรา ที่สำคัญมันยังใช้การได้อยู่
กาลเวลากลืนกินทุกสิ่ง ศาสนเจดีย์ที่หลงเหลืออยู่เพียงสองพันแห่งบ่งบอกถึงความจริงแห่งคำพูดนี้ ฉันเริ่มสังเกตผู้คนที่คราคร่ำกันอยู่บนยอดเจดีย์อายุเกือบพันปีแห่งนี้ นอกจากนักท่องเที่ยวแล้ว
เหล่าเด็กน้อยวัยแรกรุ่นประแป้งทะนาคา เรียกร้องความสนใจด้วยสินค้าในมือ ภาพโปสการ์ดถูกยื่นมาตรงหน้าอีกครั้ง แต่เรียกความสนใจจากฉันไม่มากเท่ากับ ดวงหน้าเล็กๆ ประทับรอยยิ้มเห็นฟันขาวซี่เล็กๆ ขณะที่เธอพูด ฉันมองดวงตาประกายใสฉายแววอ้อนอย่างมีความหวัง ฉันปล่อยให้เธอแสดงศักยภาพนักขายอย่างเต็มที่
“ดอลลาร์เดียวเอง พี่สาว มีรูปในชุดนี้เป็นสิบเลยนะ.... นี่ดูนี่ซิ มีรูปเจดีย์ทุกที่เลย พี่สาวลองเปิดดูซิ”
เด็กน้อยวัยแรกรุ่นประแป้งทะนาคา
ฉันคิดในใจ ถ้าได้ลองหยิบมาดู คงไปไหนไม่ได้แน่ แต่จะรีบร้อนไปไหนละ พระอาทิตย์ยังไม่คล้อยต่ำไปเร็วกว่านี้นักหรอก ฉันนั่งลงหวังเป็นการพักขาไปด้วย แน่ละ ยอมติดกับดักเล็กๆ ของหนูน้อยด้วย...จะเป็นไรไป
“แล้วพี่สาวไม่ดูระฆังนี้หน่อยเหรอ ของเก่านะ” เด็กชายผิวคล้ำไม่รอช้า ยื่นระฆังแกว่งกรุ๊งกริ๊งประกอบคำเชิญชวน....และแล้ว พัดเอย กล่องแลกเกอร์เอย ไม้แกะสลักเอย ก็ประเดประดังเข้ามา
แย่แล้วตู! ชักจะไม่ไหวแล้วซี ไม่รู้ว่าอยากเขกกบาลตัวเองหรือกบาลเด็กพวกนี้มากกว่ากัน เด็กๆ ทำตัวเป็นผึ้งรุมตอมดอกอุดตะพิษอย่างไม่รู้เหน็ดรู้เหนื่อย
“น้องๆ หนูๆ ลูกอมมั้ย มานี่เร็ว” อู้วว... ระฆังช่วย! เข้าให้ เมื่อหนุ่มเพื่อนร่วมทางผู้แสนใจดี พกพาเอาลูกอม ลูกกวาด มาแจกจ่ายเด็กๆ
ค่อยหายใจหายคอโล่งหน่อย พลันกลิ่นยาสูบลอยมาจากตรงไหนสักแห่ง ฉันมองหาที่มา ไม่ไกลนักตรงทางเดินรอบฐานเจดีย์ ชายชราผิวเกรียม ใบหน้ายับย่นเหมือนใครขยี้กระดาษปาทิ้งไว้ นั่งพ่นควันจากใบยาที่เรียกว่า..เซป้าวเลก มวนโตคับปาก
ดวงตาเหม่อลอยออกไปไกล เฒ่าชราขยับใบหน้าอย่างช้าๆ ราวกับรู้มุมกล้องที่กำลังจับจ้องอยู่ สายตาที่ไม่บ่งบอกความรู้สึกอันใด
นอกจากความชาชิน ชำเลืองแลมาทางฉัน แต่ไม่ได้หมายถึงฉัน เพราะสายตานั้นเหมือนไร้จุดหมาย จะค้นหาความหมายจากดวงตาคู่นั้นช่างแสนยากบรรยาย มันไร้ซึ่งความหวัง ไร้เรี่ยวแรงร้องขอ
นี่เป็นเพียงเศษซากของชะตากรรมที่ถูกหลงลืมไร้การเหลียวแล หรือไร เจดีย์ที่ผ่านกาลเวลานับศตวรรตแห่งนี้กลับเป็นที่พักพิงและพอจะพึ่งพาให้ชีวิตรอดในวันนี้ เท่านั้นเองหรือ?
คนบันทึกภาพไม่เอาเปรียบนายแบบที่แสดงฉากชีวิตอย่างเข้าถึง เขาต่างตอบแทนกันและกัน โดยที่ต่างฝ่ายไม่ได้ร้องขอด้วยภาษาใดๆ แม้แต่ภาษากาย หากเป็นภาษาที่อ่านได้ด้วยใจ
ดวงตะวันท่าทางไม่อยากเผยตัวตอนร่ำลากระมัง จึงม้วนตัวซ่อนอยู่หลังแผงเมฆ แต่ส่งลำแสงกระเจิงกระจายเป็นนัยให้รู้ว่าหมดภาระหน้าที่วันนี้
ฉันค่อยๆ เดินลงจากชเวซานดอว์ บอกตัวเองว่าประตูพุกามแง้มบานรอมานานนับปีแล้ว เชื้อเชิญให้เราได้พูดคุยกับอดีต ซึ่งเล่าโดยผู้คน ต้นไม้ สายน้ำ วิหาร เจดีย์ รถม้า กลิ่นอาย สายลม แห่งปัจจุบัน เหลือเพียงว่า หัวใจของผู้มาเยือนมีเนื้อที่พอ ที่จะรับมือกับเสน่ห์ยวนใจของผู้บอกเล่า โดยไม่สำลักล้นไปเสียก่อน
เพียงหน้าแรกของพุกาม ทำให้ฉันกระหายใคร่รู้จักได้ขนาดนี้ ฉันเตือนตัวเองให้ลดระดับความพลุ่งพล่านลง ยังมีเวลามากพอที่จะค่อยๆ พลิกหาความงามของสถานที่วิเศษสุดยอดแห่งที่ราบพุกาม อีกหลายเพลา
ทะเลเจดีย์
ฉันว่า..พุกาม มองมุมสูงจากที่ไหนๆ ก็สวย เรากำลังยืนอยู่บนเจดีย์ด้านตรงข้ามกับเจดีย์ชเวซานดอว์เมื่อเย็นวานนี้ หมู่ยอดเจดีย์ กำลังล้อแสงเล่นกับอาทิตย์แรกแย้ม หมอกจางๆ ยังคงอ้อยอิ่งกับองค์เจดีย์ที่ยังตื่นไม่เต็มตา
เจดีย์แห่งนี้ซุกตัวอยู่กลางทุ่งถั่ว ทุ่งงา คุณครู ซึ่งวันนี้เรายอมให้แกเป็นไกด์ให้ทั้งวัน หาทางพาเราลัดทุ่ง เลาะป่าหญ้าเข้าไปจนได้
บันไดสูงชันหน้าเจดีย์ เดินรวดเดียวและลอดขึ้นบันไดอีกสองตลบก็ถึงข้างบน
1
“ไมด์ ยัวร์ เฮด” อุ๊ย!...เช้าขนาดนี้ ยังมีคนมาถึงก่อนเราอีก เสียงสั่นๆของหญิงชราคอยบอกด้วยความหวังดี พอหมดหน้าที่ คุณยายก็นั่งลงไขว้ห้างสูบยาอย่างสบายอารมณ์ ราวกับที่นี่เป็นระเบียงรับแขกส่วนตัวของแก
เมื่อลงมาถึงด้านหน้า ป้ายบอกชื่อเจดีย์แห่งนี้ว่า “khay-Min-Gya”
เราเดินไปตามถนนลูกรัง เห็นป้ายทางไป วัดสุลามะนี ตอนนั้นไม่ได้เอะใจอะไร จึงไม่ได้เรียกร้องให้ไกด์พาไป ภายหลังก็เสียดาย เพราะวัดนี้มีสถาปัตยกรรมแบบบะหม่าที่สุดยอด
รถตู้คันเดิมพร้อมคนขับที่ให้เราเรียกเขาว่า อาม พาเราผ่านประตูเมืองที่เห็นเมื่อคืนนี้ ฉันยืนใต้ต้นสะเดาใหญ่ มองกำแพงหนาก่ออิฐสูงเป็นประตูเมือง ที่เรียกว่า Saraba Gate หันหน้าไปทางทิศตะวันออก กำแพงส่วนที่เลยไปจากประตูเมืองออกไปด้านซ้ายและขวา เอนตัวเอียงลงจวนจะล้มในไม่ช้า
ประตูนี้น่าจะถูกบูรณะใหม่ เพราะดูสมบูรณ์เกินไป ฉันเห็นรูปมหาคีรีนัตเป็นครั้งแรก ตั้งอยู่ในซุ้มข้างประตู อ่านจากหนังสือ ทำให้รู้ว่า ก่อนพุทธศาสนาจะเข้ามา ชาวพม่านับถือผี เทพ เทวดา มหาคีรีนัต คือเทพสองพี่น้อง ที่คอยปกปักรักษาให้ชาวบ้านพ้นภัยอันตราย
เราคงเห็น นัต ในลักษณะต่างๆ อีกมากมายเพราะมีถึง 37 ตน มีพระอินทร์เป็นราชาแห่งนัต ชาวเหนือแต๊ๆ ที่มาด้วยกันคุ้นเคยดีกับคำว่า นัต แถมออกเสียงเหมือนกันด้วยฉันเดินออกไปกลางถนน
หลังจากปล่อยให้รถม้าที่บรรทุกคนและข้าวของผ่านไปก่อน เพื่อมองให้เต็มตาอีกครั้ง นึกถึงตอนยืนมองประตูเมืองที่เชียงใหม่ ที่บัดนี้ไม่อาจกั้นกระแสแห่งความเร่งรีบได้อีกต่อไป
ได้แต่หวังว่าพุกามยังคงก้าวไปอย่างช้าๆ ค่อยๆพาตัวเองไปสู่จุดหมาย เพราะสาวท่าแพ ที่รีบร้อนแต่งหน้า ทาปาก ป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่ากำลังจะไปไหน ฉันเดินหันหลังกลับไปขึ้นรถ ต้องสะดุ้งโหยง กับเสียงมอเตอร์ไซค์แผดเสียงจากด้านหลัง วิ่งผ่านชิ้วไปข้างหน้า!
“???” ฉันชักไม่แน่ใจอะไรซะแล้ว
...to be continued
ยังมีอีกนะค่ะรออ่านต่อตอนต่อไป
เรื่องราวที่เกิดขึ้นและภาพถ่ายทุกภาพถูกบันทึกเมื่อเดือนตุลาคม 2549 ด้วยกล้องnikon D200 เป็นการเดินทางเที่ยวพม่าในขณะที่ประเทศนี้ยังไม่เปิดรับการท่องเที่ยวเต็มรูปแบบเหมือนในปัจจุบัน
เล่าเรื่องโดย สีละมัน
ถ่ายภาพโดย อนุพันธ์ สุภานุสร
#ถ่ายรูปเล่าเรื่อง #fototeller #keepshooting #เที่ยวพม่า #เที่ยวมัณฑเลย์ #เที่ยวเมียนมาร์ #เที่ยวอังวะ #เที่ยวพุกาม #เที่ยวภูเขาโปปา #เที่ยวตลาดยองน์อู #เที่ยวสะกาย #เที่ยวมินกุน #เที่ยวอินเล
9 บันทึก
59
23
5
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
พม่าสวยมาก Beautiful Myanmar
9
59
23
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย