20 ส.ค. 2020 เวลา 11:24 • ธุรกิจ
Walmart กำลังวางแผนจะเอาชนะ Amazon ในปี 2020 ให้ได้เหรอ ?
จะทำได้ไหมมม ทำได้รึเปล่าาา ?
ต้องบอกว่า Walmart เค้าเป็น Retail store เจ้าที่ใหญ่ที่สุดมาตั้งแต่ Amazon ยังคงขายแค่หนังสือ ในปี 1990
ถ้าเพื่อนๆนึกถึงความใหญ่ของ Walmart ไม่ออกเนี่ย (เพราะที่ไทยเราอาจจะไม่คุ้นกันเนอะ) ให้เพื่อนๆนึกถึงสาขาของ 7-Eleven ที่ติดกันแทบจะมองเห็นร้านชนร้านเลย
Walmart เป็นเหมือนกับ 7-Eleven แต่สลับประเทศเป็น อเมริกาแทน (ซึ่งแน่นอนว่าใหญ่มากๆ)
และตั้งแต่การเข้ามาของ E-commerce ของ Amazon ที่ไม่ได้แค่ขายหนังสืออีกต่อไป ใช้เวลาสักพักหนึ่ง Amazon ก็เริ่มบุกเข้ามาในตลาด Online retail ในช่วงต้นปี 2000 และก็ค่อยๆแย่งแชร์ไปจนเกือบ 38.7% ของตลาด Retail ไปได้ โดยที่ Walmart นั้นกลับมีแชร์เหลือเพียงแค่ 5.3% ในปี 2018 (เนื่องด้วยกลยุทธ์ที่ไม่ได้เน้นออนไลน์และเรื่องของการ shipping worldwide อย่าง Amazon)
จุดที่น่าสนใจคือ Walmart เค้าไม่ได้ยอมแพ้นะ แต่เค้ากำลังพยายามพัฒนาธุรกิจเพื่อกลับมาแย่ง Amazon ให้ได้อีกครั้ง
มันเป็นยังไงบ้าง ไปย่อยกันเลย !
เปิดตัว Walmart+ หวังสู้ Amazon Prime
- ในปี 2018 Walmart พึ่งจะรู้ตัวว่าพวกเค้าเนี่ยเสียแชร์ไปให้กับ Amazon ก็เพราะ Amazon Prime ที่มี Same day delivery (ซึ่งเค้ามีมาตั้งนานแล้วตั้งแต่ 2005)
- สิ่งที่ทำให้ Walmart Plus ที่ดูเหมือนจะเหนือกว่า Prime คือราคา subscribe ค่าสมาชิก ต่อปีอยู่ที่ 98$ ซึ่งถูกกว่า Prime อยู่ที่ 21$
- โดย Feature ที่ Walmart + นำมาสู้ด้วยคือ
>> Same day delivery สำหรับ Walmart 1,600 สาขา ณ วันเปิดตัว
>> Early bird access deal โดยที่สมาชิกจะได้มีสิทธิ์ใช้โปรโมชั่นต่างๆได้ก่อนลูกค้าทั่วไป
>> ส่วนลดการเติมน้ำมันในปั้มของ Walmart
>> สามารถจอง Delivery slot ล่วงหน้าได้
>> และการใช้บริการ Walmart Express โดยมีการจัดส่งภายใน 2 ชั่วโมง (ขึ้นอยู่กบสถานที่และสาขา) ซึ่งตรงนี้ก็ออกมาสู้กับ Amazon prime สบายๆ
ช้ากว่าที่กำหนดไว้ในเดือนเมษา แต่มาแน่นอนจ้า
- แต่ Walmart ยังคงเสียเปรียบ Prime ในเรื่องของ Entertainment ที่ยังไม่ได้มีบริการนั้นเลย ขณะที่ Amazon Prime มีทั้งหนังและเพลง รวมถึงหนังสือ
และถ้า Walmart ไม่สามารถทำลายสถิติเหล่านี้ของ Amazon ได้ ก็คงกล่าวได้ว่าพวกเค้าไม่สามารถชนะได้ (เป็นโจทย์ที่น่าท้าทาย)
- Prime มียอดสมาชิกเกือบ 65% ของสมาชิก Amazon
- Prime มียอดการต่ออายุเกือบ 95% เลยแน่ะ !
Walmart กลับมาซื้อ Jet.com แล้วมันช่วยยังไง ?
- ต้องบอกว่า ถ้าเทียบจำนวนของ Vendors เนี่ย Walmart ยังคงแพ้ Amazon อยู่เยอะมาก เพราะ Walmart มีเพียงแค่ 50,000 vendors แต่ Amazon มีเกือบ 8.6 ล้าน ! (แม่เจ้า แบบนี้น่าจะเรียกว่าห่างกันยับเลย T T)
- และด้วยเหตุผลนี้เอง Walmart เลยต้องซื้อ Jet.com ในปี 2016 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผู้ให้บริการสินค้าา
- และแน่นอนว่า สิ่งที่ Jet.com ทำก็คือการขายตัดราคาคู่แข่ง หรือ Undercut
- ต่อมา Walmart ก็ได้ทิ้งแบรนด์ Jet.com ไป และให้ Co-founder, Marc Lore ที่เคยทำงานอยู่ที่ Amazon เข้ามาบริหารแผนก E-commerce ใน Walmart
- ปัจจุบันนี้ถ้าเพื่อนๆเข้า Jet.com ก็จะกลายเป็น Walmart ไปแล้ว
- อย่างไรก็ตาม Walmart มีแผนที่จะดึงแบรนด์ Jet.com กลับมา
ซึ่งคาดว่าน่าจะต้องการรุกกลยุทธ์ด้านราคาแบบ Undercut Amazon อีกครั้ง
Third Party Sellers จะช่วยให้ Walmart ตีตื้น Amazon ได้จริงเหรอ ?
- อย่างที่พูดถึงในหัวข้อข้างบนว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้ Walmart เสียเปรียบคือจำนวน Vendors ที่มีนั้นน้อยมากเมื่อเทียบกับ Amazon ก็เพราะ Walmart ไม่ได้มีนโยบายในเรื่องของ Third Party Vendors (มีแต่ vendors ที่ Walmart ไป acquire มาเอง)
- อย่างไรก็ตาม การ acquire Jet.com นั้นทำให้ Walmart มี Third Party Sellers เพิ่มขึ้นมาเป็น 10 เท่า (ก็คือเจ้าที่เค้ามีสัญญากับ Jet อยู่แล้วนั้นเอง)
- และเพื่อนๆรู้ไหมว่า Third Party Sellers เจ้าไหนที่ Walmart พึ่งจะไป partner ด้วยแล้วมีความดุดันสู้กับ Amazon ได้เลย ? (ติ้กต่อกๆๆ....)
>> นั้นคือ Shopify นั้นเองงง
- และนี่ทำให้ Walmart มี product ที่ขายมาขึ้นด้วย เช่น อุปกรณ์เกี่ยวกับรถยนต์ หรือแม้กระทั่งสินค้าจากผู้ผลิตรายเล็กๆ (Small business)
- แต่โดยความเห็นเรา การจับมือครั้งนี้ทำให้พวกเค้าทั้งคู่แข็งแกร่งขึ้นเยอะ แต่ยังคงสู้ Amazon ไม่ได้อยู่ดี แต่แค่ในปัจจุบันนี้นะ
Walmart ถนัดในสิ่งที่ Amazon ไม่เคยสันทัดเลย นั้นคือ "Brick-and-Mortar" หรือการขายแบบมีหน้าร้าน
- Amazon เริ่มด้วยรูปแบบ Online ในขณะที่ Walmart เป็นร้านสะดวกซื้อมาก่อนเกือบ 50 กว่าปี
- ถึงแม้จะไม่ดังในไทย แต่เพื่อนๆอย่าลืมว่า Walmart มีสาขาเกือบ 11,500 สาขาทั่วโลกเลยนะ
งั้นพูดถึงตรงนี้ เพื่อนๆเห็นความได้เปรียบอะไรบ้าง ?
1. Shipping and delivery cost เนื่องจากหน้าร้านและ Stock สินค้าที่กระจายไปได้ทั่วถึง ทำให้ Walmart สามารถคุมต้นทุนตรงนี้ได้กว่า (แต่ก็ต้องแลกกับค่าใช้จ่ายการมีหน้าร้าน) ในขณะที่ Amazon มีแต่ Center Warehouse ที่กระจายสินค้า
2. ด้วยความที่ Walmart มีหน้าร้านนี่ละ พวก Grocery ต่างๆ อาหาร หรือของสด ก็จะสามารถทำตลาดได้ดีกว่า Amazon โดยที่ Amazon มีเพียงแค่ 475 ร้านค้าที่พวกเค้าซื้อจาก Whole Food ที่สามารถส่ง Grocery product ในแบบ Same-day delivery ในขณะที่ Walmart กำลังจะเปิดโปรแกรม Plus ด้วย สาขาที่รองรับมากถึง 1,400 สาขา หรือ 3 เท่า !!
3. Walmart ขาย Grocery และ Delivery ได้อย่างรวดเร็วกว่า Amazon โดยจากการที่พวกเค้ามีหน้าร้านที่เยอะนี้ละ (เหมือน 7-11delivery ที่พี่ๆเค้าเดินมาส่งที่คอนโด หลังจากที่เรากดสั่งใน app ไปเลย)
พูดง่ายๆก็คือ Order made >> Walmart >> Stores
แต่ของ Amazon นั้น ต้องใช้กระบวนการเยอะกว่า เพราะไม่ได้เป็นเจ้าของ
พูดง่ายๆก็คือ Order made >> Amazon >> Wholefood >> Stores
จบแล้วจ้าาา สั้นๆแต่ได้ใจความสำคัญ
เพราะงั้นการที่ Walmart จะเอาชนะและทวงบัลลังก์คืนมาจาก Amazon ไม่ใช่แค่มี Walmart+ อย่างเดียวแน่นอน
แต่ต้องประกอบไปด้วยความได้เปรียบในเรื่องของ Supply Chain และ Logistics
รวมถึงเรื่องของการสร้าง Partnership กับ Third Party
งานนี้จะล้มยักษ์แต่เอาคนแคระมาสู้คงจะไม่ได้แล้ว (ไม่มีเรื่องราวของ Jack ผู้ฆ่ายักษ์ในศึกนี้แน่นอนจ้า)
คือพูดถึงเรื่อง Branding ตัว Walmart นั้นคงไม่มีปัญหาแล้วละ :)
โฆษณา