20 ส.ค. 2020 เวลา 14:12
#จันทร์เจ้าขาบทที่3ตอนที่7
(20/8/2020)
สวัสดีครับ เพื่อนๆ
ช่วงนี้ ยุ่งกับหลายเรื่อง หลายสิ่งจริงๆครับ :)
ขออนุญาตส่งจันทร์เจ้าขา ตอนใหม่ มาแทนความคิดถึงจากผม และน้องเปรมนะครับ 😇🥛🎵🎶❤️
สุขสันต์วันพฤหัส นะขอรับ ❤️💚💙
บทที่ 3 จิตประภัสสร
ตอนที่ 7 อัคคีมรกต
#ณ.ห้องเครื่องต้น ตำหนักเสด็จฯที่บน,
“..ตำรับอาหารในวังแต่ละอย่างนั้น..ล้วนแต่มีขั้นตอนการทำที่ซับซ้อนพิถีพิถันใส่ใจ..ในการปรุงอาหารอย่างที่สุด..”
“..โดยเฉพาะ..สาวๆชาววัง จากตำหนักนี้ ..ผู้ที่ได้เล่าเรียนการทำอาหารจากครูแม่ช้อยคนนี้ ..ถามชาวพระนครและตำหนักอื่นๆได้เลย.. ว่าแต่ละคนที่ได้ออกเรือนไป ล้วนแต่ได้รับคำชมเชย เลื่องลือกันทั่ว.. ถึงสเน่ห์ปลายจวัก.. ความเป็นแม่ศรีเรือน..จนเป็นที่หมายปองของหนุ่มเล็กหนุ่มใหญ่ ทั่วพระนคร กันทีเดียวเชียวนะ..”
คุณช้อย คนสนิทของคุณเพ็ญ เล่าฝอยน้ำลายแตกฟอง ก่อนที่จะเริ่มสอนเมนู ข้าวต้มปลาทู ให้กับข้าหลวงตัวน้อย..
“..เขยิบเข้ามาดู มาฟังกันใกล้ๆ กันหน่อยเถิดจ้ะ .. ครูแม่ช้อยคนนี้ไม่อยากให้สูตรนี้ หลุดออกไปถึงตำหนักอื่นๆ.. มาๆ ล้อมวงกันเข้ามา..”
คุณช้อยกระซิบและกวักมือหยอยๆ เรียกให้สาวๆเข้าไปหา..
“คุณหนูพา คุณหนูพลอย เดินตามหนูน้อยซ์ ไปแถวหน้ากันเถิดนะเจ้าคะ..”
คุณหนูน้อย พูดด้วยสำเนียงทองแดงใต้(ชัดเปรี๊ยะ).. พลางก็จับมือคุณหนูพา คุณหนูพลอย เดินแทรกเข้าไปล้อมวงแถวหน้าสุด..
ควันไฟ ผสมไอน้ำเดือดลอยฟุ้งอยู่รอบบริเวณ..จนแว่นของคุณหนูน้อยซ์ขึ้นฝ้าอยู่บ่อยๆ
เสียงน้ำที่เดือดปุดๆนั้น..และกลิ่นหอมอ่อนๆที่ลอยขึ้นมาแตะจมูก..
ล้วนดึงความสนใจของคุณหนูพลอย..ให้ตื่นตาตื่นใจจ้องหม้อต้มและส่วนผสมต่างๆ ที่ลอยอยู่บนผิวน้ำเดือด..จนลืมสารพัดสิ่งรอบตัว..
ขณะที่ คุณหนูน้อยซ์ และคุณหนูพา ตั้งใจฟังครูแม่ช้อย.. แต่สายตาทั้งสองกลับสนใจจ้องมองสีเปลวไฟ ที่เปลี่ยนไปมาในเตา มากกว่า..
ครูแม่ช้อย หยิบปลาทูขึ้นมาตัวหนึ่ง แล้วเริ่มสอนว่า..
“ข้าวต้มปลาทูนั้น ..ต้องเริ่มจากการต้มน้ำให้เดือดก่อน..จากนั้นจึงค่อยๆนำปลาทูลงจุ่มในน้ำเดือด..
สาวๆต้องระวังขั้นตอนนี้กันนะ.. เคล็ดลับของตำหนักเราคือ (กระซิบ:ต้องถือหางปลาทูไว้ ไม่ต้องขยับแกว่งพลิกปลาไปมาบ่อยๆ) ..
แล้วพอสังเกตเห็นปลาทู ว่าเริ่มสุก ถึงจะยกขึ้นนำเอามาขูดเอาแต่เนื้อ ..นี่เป็นเคล็ดลับที่จะทำให้ข้าวต้มปลาทู ของตำหนักเราที่จะไม่มีกลิ่นคาว..”
“เอ้า .. ทีนี้สาวๆ ก็ลองจับคู่กันฝึกจุ่มปลาทู ในหม้อต้ม ..แล้วขูดเอาเนื้อมาให้ครูแม่ช้อยตรวจกันได้เลยนะจ้ะ..หึหึหึ..”
ครูแม่ช้อยปรบมือไล่ให้สาวๆ ให้กระจายออกไปฝึกทำข้าวต้มปลาทู ของตัวเอง.. พร้อมกับหัวเราะ อย่างอารมณ์ดี ..
จากนั้น ครูแม่ช้อย จึงเริ่มหยิบเครื่องปรุง และวัตถุดิบ มาวางทำของเสวย จานต่อไป พร้อมกับลูกมือ คนสนิท..
..
..
..
“คุณหนูน้อยซ์ ได้สังเกตเห็นไฟสีแปลกๆ ในเตาเมื่อสักครู่ .. หรือไม่ นะเจ้าคะ?”
หนูพาเอ่ยกระซิบถามเบาๆ
“เห็นเจ้าค่ะ คุณหนูพา.. เปลวไฟสีเขียว แล้วเปลี่ยนเป็นสีฟ้า .. “ หนูน้อยซ์ตอบ พร้อมกับทำหน้าครุ่นคิด
ถึงสิ่งที่เคยอ่านผ่านตา มาเมื่อครั้ง ที่ได้เล่าเรียนกับหมอเฮ้าส์..แต่ก็นึกไม่ออกว่า จะอธิบายสิ่งนี้ว่า อย่างไร..
คุณหนูพา จึงล้วงหยิบปากกาขนนกของหม่อมท่านขึ้นมา พลางยกมือขึ้นประนม แล้วงึมงำอธิษฐาน..
คุณหนูน้อย หันหน้ากลับมาเห็นอาการแปลกๆของคุณหนูพา และปากกาขนนกที่อยู่ในมือ ..
พลันนึกถึงภาพเก่าๆในความทรงจำ ที่หม่อมท่านลอยอยู่บนเพดาน แล้วยื่นหน้ามาใกล้ๆ..
จึงรำพึงกับตัวเองเบาๆว่า ..
” คราวนี้ คุณหนูพาถึงกับอัญเชิญองค์มา กันในเวลากลางวันแสกๆ ..ให้มาลอยกลางหม้อต้ม ปลาทู เพื่อมาตอบคำถามกันเลยหรือ เจ้าคะ .. คุณหนูพา..บรื๋ออ!!”
1
คุณหนูน้อยซ์ ทำท่าย่นคอหนาวบรื๋อ แล้วก้าวถอยหลังออกไปยืนกอดอก เว้นระยะราว 2 ศอก..ห่างจากคุณหนูพา..
“สวัสดี แม่หนูพา.. สวัสดี แม่หมอน้อยซ์..” หม่อมทินกร เอ่ยทักทายทางจิต ก่อนที่จะค่อยๆ ปรากฏเป็นร่างโปร่งแสง ลอยอยู่ระหว่างทั้งสอง..
“กราบสวัสดี หม่อมท่านนะเจ้าคะ..” คุณหนูพายกมือขึ้นสวัสดี หม่อมทินกร
ขณะที่คุณหนูน้อยซ์ ยกมือขึ้นไหว้เหนือหัวแต่หลับตาปี๋
หม่อมทินกร ยิ้มให้ทั้งสองด้วยความเอ็นดูครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะพูดกับหนูพาว่า
“สิ่งนี้เรียกว่า อัคคีมรกต นะแม่หนูพา..
..ไฟนั้นเกิดจากสารประหลาด (Copper Sulfate) ที่มาจากอังกฤษ ที่บริษัทอังกฤษนิยมใช้ทาไม้ กันเชื้อรา ฆ่าตะไคร่น้ำ..
..ทีนี้เวลาคนเอาไม้เหล่านั้นมาเป็นเชื้อฟืน ..สีเปลวไฟจากสารนั้นก็จะเป็นสีเขียว..”
หม่อมทินกร ชะงักหยุดพูด อยู่ครู่หนึ่ง.. ก่อนจะพูดต่อว่า
“อืม.. แม่หนูพาเอ๋ย..
สิ่งนี้ทำข้าหวนนึกถึง อัคคีมรกต ในกรณีเหตุวิกฤติวังหน้า ได้อีกครั้ง..”
“ในครั้งนั้น ได้เกิดระเบิด สีไฟเขียวมรกตนี้ โชติช่วงขึ้นที่ตึกดินในวังหลวง
..ไฟไหม้ลุกลามไปถึงพระบรมมหาราชวังในยามค่ำคืน ..โดยยังไม่สามารถจับผู้วางเพลิงในครั้งนั้น..ได้จนทุกวันนี้..
แต่ก็มีเสียงลือ อ้างถึง อังกฤษผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ..แต่ก็ยังปราศจากหลักฐานที่ชัดแจ้งที่จะกล่าวโทษอังกฤษได้..
จนในวันนี้ที่แม่หนูพาถามถึงเปลวอัคคีมรกตนี้ อีกครั้ง.. ทำให้ข้ารู้สึกอดที่เป็นห่วงคุณหลวงวิสุทธิภุชงค์ และเมืองเชียงใหม่ ไม่ได้จริงๆ..”
หม่อมทินกร เงยหน้าขึ้นมองฟ้า ก่อนที่จะจางหายไป
พร้อมๆกับไฟสีเขียวในเตาถ่านที่ค่อยๆเปลี่ยนกลับมาเป็นสีแดงฉานดังเลือด..
จบบทที่ 3 ตอนที่ 7
..
..
#เกร็ดเพิ่มเติม
#วิกฤติการณ์วังหน้า,
-ในช่วงปีพุทธศักราช 2417 ขณะทรงพระชนมายุ 22 พรรษา,ในช่วงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงริเริ่มปฏิรูปปรับปรุงการปกครองประเทศให้ทันสมัยโดยโยงอำนาจเข้าศูนย์กลาง ทรงตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ (Auditing Office ปัจจุบันคือกระทรวงการคลัง) เพื่อรวบรวมการเก็บภาษีมาอยู่ที่เดียวกัน ซึ่งกระทบกระเทือนต่อการเก็บรายได้ สร้างความไม่พอใจแก่เจ้านายและขุนนางเก่าแก่เป็นอันมาก โดยเฉพาะกับกรมพระราชวังบวรสถานมงคล,
1
-กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ทรงมีความรู้ภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี และเข้าไปคบค้าสนิทสนมกับนายโทมัส น็อกซ์ กงสุลอังกฤษ ประกอบกับในสมัยนั้น อังกฤษคุกคามสยาม ถึงขั้นเรียกเรือรบมาปิดปากแม่น้ำ ทางวังหลวงจึงหวาดระแวง เชื่อว่ามีแผนการจะแบ่งดินแดนเป็นสามส่วนคือ ทางเหนือถึงนครเชียงใหม่ (หรืออาจจะเป็นพื้นที่ตั้งแต่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาไปทางฝั่งตะวันออกของประเทศ) ให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปกครอง พื้นที่ตั้งแต่ฝั่งตะวันออกแม่น้ำแม่กลองไปจนถึงฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ให้สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ปกครอง ทางใต้ตั้งแต่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำแม่กลองลงไป ให้กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญครอง นัยว่าเมื่อแบ่งสยามให้เล็กลงแล้วจะได้อ่อนแอ ง่ายต่อการเอาเป็นเมืองขึ้น
-เหตุการณ์บาดหมางเกิดขึ้นเมื่อวันที่28 ธันวาคม 2417 เกิดระเบิดขึ้นที่ตึกดินในวังหลวง ไฟไหม้ลุกลามไปถึงพระบรมมหาราชวัง ทางวังหลวงเข้าใจว่าวังหน้าเป็นผู้วางระเบิด และไม่ส่งคนมาช่วยดับไฟ ส่วนกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ก็เสด็จหลบหนีไปอยู่ในสถานกงสุลอังกฤษไม่ยอมเสด็จออกมา เหตุการณ์ตึงเครียดนี้กินเวลาถึงสองสัปดาห์ จนกระทั่งสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เดินทางกลับจากราชบุรี เข้ามาไกล่เกลี่ย โดยฝ่ายอังกฤษและฝรั่งเศสถือว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นการเมืองภายในของสยาม และไม่ได้เข้ามาก้าวก่าย,
-พระราชหัตถเลขา ถึงวังหน้าช่วงวิกฤตการณ์นี้เนื้อความว่า
-พระราชหัตถเลขา ถึงกรมพระราชวังบวรฯ
ลงวัน 3ฯ131 ค่ำปีจอฉศก,
ด้วยการที่เกิดขึ้นครั้งนี้ เปนการใหญ่ไม่เคยมีเลย ฉันมีความเสียใจมาก เธอไปอาไศรยอยู่ที่บ้านกงสุลอังกฤษนี้ ด้วยเหตุอันใด ฉันไม่ได้คิดจะฆ่าเธอ เธอมีความหวาดหวั่นข้อไหน เธอก็รู้อยู่เองว่าในแผ่นดินเราปัจจุบันนี้ ผู้ใดมีความผิดใหญ่หลวงที่ควรจะต้องตายก็ฆ่ากันไม่ได้ ด้วยอาไสการยุติธรรมเปนที่ตั้ง นี่เธอมีความสดุ้งหวั่นหวาดถึงชีวิต จะคิดการเกินไปดอกกระมัง ฤามีความผิดใหญ่อยู่ในใจ จึ่งได้มีความร้อนระแวงกัน ก็ไม่มีความสำคัญเลย ไม่ควรจะเปน ฉันไม่ได้โกรธเธอๆ มาโกรธฉันข้างเดียว ฉันเสียใจหนัก เธอทำการถึงเพียงนี้ จภา (จะพา-ผู้เขียน) ให้เสียชื่อแผ่นดินไปทั้งสองฝ่าย ก็เธอจะคิดต่อไปอย่างไร จึ่งจะเปนการดีการชอบ อย่าให้ราษฎรได้ความเดือดร้อน หวั่นหวาดต่อไป การที่เปนไปนี้ ฉันก็ไม่ได้ทราบชัด ต่อเจ้าคุณมาบอกว่า เธอกลัวฉันฆ่าเธอ การนี้ฉันไม่ได้คิดเลย ถ้าเธอคิดเหนการอย่างไร จะเปนการเรียบร้อยสิ้นสงไส เลิกแล้ว เปนการดี จงมีหนังสือสำคัญมาให้รู้ด้วย”,
1
สวัสดี และขอจบเพียงเท่านี้
ร้อยเรียงข้อมูล
(T.Mon)
20/8/2020

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา