22 ส.ค. 2020 เวลา 13:36 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
MovieTalk Special Series:
N - O - L - A - N Project 4:
DUNKIRK
หลังจากลองทำหนังทั้งฆาตกรรมซ่อนเงื่อน,
หักเหลี่ยมเฉือนคม, ไซไฟปนปรัชญา,
ซูเปอร์ฮีโร่ ฯลฯ โนแลนก็ขอลองทำหนังสงครามแบบ โนแล๊น...โนแลน ดูบ้าง เราจึงได้เห็นหนังสงครามที่ไม่ได้เน้นเชิดชูวีรกรรม, ฉากวอร์รูม
และความฮักเหิมเพื่อพิชิตชัย แต่กลับเห็นภาพ
ความรักตัวกลัวตายของทหารแนวหน้า ซึ่งดูจะเป็นหนังสงครามที่ดู 'สมจริง' มากที่สุดเรื่องหนึ่ง
MovieTalk จะพาคุณไปสำรวจชุดความคิดของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ใน MovieTalk Special Series ชุด N – O- L – A- N Fด้วยการอุ่นเครื่องไปกับ 10 หนังของเทพโนแลน
Dunkirk (2017)
Directed byChristopher Nolan/Screenplay: Christopher Nolan/Music: Hans Zimme/CinematographyHoyte van Hoytema/Edited: Lee Smith/Distributed: Warner Bros. Pictures
Starring, Fionn Whitehead, Tom Glynn-Carney, Jack Lowden, Harry Styles, Aneurin Barnard, James D'Arcy, Barry Keoghan, Kenneth Branagh, Cillian Murphy, Mark Rylance, Tom Hardy
Running time106 minutes
ดันเคิร์กเป็นสมรภูมิที่กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรถูกไล่ต้อนไปจนมุมสุดปลายหาดโดยฝีมือของกองทัพนาซี กว่าสี่แสนชีวิตที่รอคอยความช่วยเหลือ หรือ
รอคอยความตายจากการทิ้งบอมบ์ของเครื่องบินนาซี เพื่อให้ภารกิจกู้ชีพพาทหารกลับบ้าน กองทัพจำเป็นต้องพึ่งเรือทุกชนิดของพลเรือน เช่นเดียวกับส่งสามเสืออากาศบินดิ่งสู่ดันเคิร์กเพื่อปะทะกับฝูงบินฝ่ายตรงข้าม ในขณะที่หลายชีวิตบนชายหาดพยายามทุกวิถีทางเพื่อหนีตายจากนรกแห่งนี้
แม้ผลสุดท้ายจะไม่ใช่ชัยชนะอันน่าภาคภูมิใจ
แต่นี่คือช่วงเวลาที่แสดงให้เห็นถึงสัญชาตญาณเอาตัวรอดของมนุษย์ที่ไม่ยอมจำนนแม้อยู่ในสถานการณ์ปิดตาย
หนังสงครามโลกครั้งที่ 2 (รวมไปถึงครั้งที่ 1 ก็ด้วย) แทบจะตายไปแล้ว ไม่มีใครกล้าสร้างถ้าคุณไม่ใช่ผู้กำกับที่ทรงอิทธิพลจริง ๆ เพราะมันขายไม่ออก และไม่มีคนดู แต่คงใช้นิยามนี้กับ Perfect Director
คริสโตเฟอร์ โนแลน ไม่ได้ เพราะเพียงแค่โนแลนบอกว่าจะทำ สตูดิโอวอร์เนอร์ก็พร้อมสนองทันทีกับงบ 150 ล้านเหรียญโดยไม่คิดว่ามันจะเสี่ยงต่อความหายนะ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คงคาดหวังกันได้ทั้งเงินและกล่องอย่างแน่นอน
แม้จะมีเล่าเรื่องราวในสมรภูมิรบช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 หากแต่เมื่อพิจารณาแล้ว Dunkirk เป็นงานดราม่ากึ่งทริลเลอร์ที่ใช้สงครามเป็นฉากหลังนำพาผู้ชมไปพบกับผู้คนที่เกี่ยวข้องกับสมรภูมิดันเคิร์ก
ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยบทหนังที่เขียนโดยโนแลนเล่าเรื่องราวจากสามมุมมองประกอบด้วย
The Mole (สะพานหิน)
ชายหาดที่มีสะพานหินยื่นไปในทะเล ปลายสุดของสมรภูมิดันเคิร์กที่กองทัพถูกไล่ต้อนไปจนมุมที่ริมทะเล หนังเล่ามุมมองของพลทหารที่พยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดเพื่อกลับบ้าน โดยมีสามพลทหารที่
ไม่ได้รู้จักกันเลยแต่มาร่วมชะตาเดียวกันที่ชายหาด
ในส่วนนี้โนแลนทำให้เห็นความรักตัวกลัวตายของคนที่อยู่ในพื้นที่เปรียบเสมือนนรก แต่ละชีวิตสะท้อนสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอดแตกต่างกันไป
จนเส้นบาง ๆ ของบรรทัดฐานระหว่างเพื่อนร่วมรบ ความเสียสละ ความเห็นแก่ตัว อะไรที่ต้องตัดสินใจทำ ในขณะที่ชนชั้นผู้นำของกองทัพพยายามทุกทางเพื่อหาทางพาคนของตนออกจากพื้นที่สังหารแห่งนี้โดยไม่แสดงความขลาดเขลา
The Sea (ทะเล)
มุมมองของภาคพลเรือนจิตอาสาที่พร้อมจะเสี่ยงชีวิตตนเองเพื่อช่วยเหลือบรรดาทหารหาญ ชายชราเจ้าของเรือยอร์ช พร้อมด้วยหนึ่งลูกชาย และหนึ่งเพื่อนของลูกที่ขอติดสอยห้อยตามไปร่วมภารกิจทิ้งชีวิตในครั้งนี้ โดยในระหว่างทาง เรือของเขาต้องรับนายทหารหนึ่งเดียวที่รอดชีวิตจากเรืออัปปาง และหวาดผวากับสงครามจนไม่ขอกลับไปอีก หากแต่เรือของชายชราลำนี้ และเรือพลเรือนอีกหลายร้อยลำก็มุ่งมั่นที่จะวิ่งเข้าสู่สมรภูมิดันเคิร์ก
The Air (ฟากฟ้า)
เล่าจากมุมของเสืออากาศทั้งสามที่มุ่งหน้าสู่
ดันเคิร์กด้วยภารกิจช่วยเหลือ ปะทะกับฝูงบินนาซี โดยมีเงื่อนไขคือ ทำเท่าที่จะทำได้ และเหลือหนทางบินกลับบ้านก่อนน้ำมันหมด คนบนฟ้าทั้งสาม
(ที่มีบทสำคัญแค่สอง) จึงต้องเลือกว่าจะสู้แบบสุดตัว หรือจะสู้ตามคำสั่ง
หนังใช้มุมมองทั้งสามเล่าเรื่องราวสลับไปมาก่อนที่ทั้งหมดจะเชื่อมต่อกันในช่วงท้าย และทำให้เราได้เห็นภาพคนที่พยายามหนีจากความตาย คนที่วิ่ง
เข้าหาความตายด้วยความสมัครใจ และคนที่ไม่อยากกลับสู่ความตาย
หนังไม่ได้พยามเชิดชูวีรกรรมพลีชีพเพื่อชาติสำหรับบรรดาทหารในสมรภูมิ ฉากแต่ละฉากถูกถ่ายทอดออกมาด้วยความสมจริงเท่าที่เรทหนังจะเอื้อ (PG-13) แต่ที่ชัดเจนคือการเล่นกับความรู้สึกที่ตกในภาวะรักตัวกลัวตายของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า ‘มนุษย์’ คุณค่าของการเสียสละตนเองเพื่อผู้อื่น
ความรับผิดชอบที่พึงมีของคนที่มีตำแหน่งผู้นำในสมรภูมิด่านหน้า
โนแลนกล้าที่จะไม่ใส่ใจกับบรรดาผู้นำนั่งโต๊ะ ภาพแบบประชุมวอร์รูมของระดับผบ.ทั้งหลายจึงไม่มีให้เห็น ซึ่งมันเป็นเหมือนฉากบังคับของหนังสงคราม พอ ๆ กับการนำเสนอภาพสงครามสร้างวีรบุรุษก็แทบจะไม่ปรากฎให้เห็นในหนังเลย
หากจะมีก็คงจะมาจากบรรดาเสืออากาศ ที่ทำหน้าที่ตามคำสั่งจากหน่วยเหนือเท่านั้น
คิดเล่น ๆ ถ้าหนังเรื่องนี้อยู่ในมือของผู้กำกับอย่าง ไมเคิล เบย์ หรือ ปีเตอร์ เบิร์ก เราคงได้เห็นช็อตสวย ๆ ด้วยภาพสโลว์โมชั่น พื้นทรายปลิ้วคลุ้งปะปนกับกระสุน มุมกล้อง Low angle Shot (มุมเงย) ตัวละครค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนหยัดภายใต้แสงอาทิตย์ที่ส่องมาจากด้านหลัง พร้อมธงชาติอเมริกาปลิวไสว (เห็นภาพเลยไหมครับ?) แต่นี่คือ คริสโตเฟอร์ โนแลน ผู้กำกับที่เน้นหนังสมจริง และพึ่งพา CG อย่างน้อยที่สุด ตัวละครของโนแลนจึงเป็นแค่คนธรรมดา
จริง ๆ ที่อยู่ในสถานการณ์ที่อาจเป็นทั้งฮีโร่ หรือคนกลัวตาย
โนแลนเลือกนักแสดงนำที่ล้วนแต่หน้าใหม่ หรือมีผลงานผ่านตาน้อยมาก ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาทั้งหมดไม่ติดกับภาพจำสำหรับคนดูหนัง และทั้งหมดล้วนแต่ทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ส่วนนักแสดงมีชื่อทั้งหลาย โนแลนกลับให้พวกเขาทำหน้าที่เป็นตัวประกอบ! ทอม ฮาร์ดี้ ในบท
แฟร์เรอร์ หนึ่งในเสืออากาศที่ต้องบินเข้าสู่สมรภูมิรบ
มาร์ค ไรแลนซ์ รับบทเป็นคุณดอว์สัน ชายชราเจ้าของเรือมูนสโตน ที่จิตอาสาออกเรือไปช่วยทหาร
เคนเนธ บรานาห์ เป็น ผู้บัญชาการโบลตัน นายทหารชนชั้นผู้นำที่มีภาพความเป็นผู้นำสูง ประเภทพร้อมจะออกมาเป็นคนสุดท้ายจากสมรภูมิแห่งนี้
และ ซิลเลียน เมอร์ฟี่ ที่เป็นอีกหนึ่งขาประจำของโนแลน รับบทเป็นทหารที่รอดชีวิตจากเรืออัปปางและได้รับการช่วยเหลือขึ้นเรือคุณดอว์สัน
เบื้องหลังของสงครามก็คือ สงครามเริ่มต้นจากคนไม่กี่คน แต่ทำให้คนจำนวนมหาศาลพบกับความสูญเสีย
ความจริงก็คือ...คนที่กลับจากสมรภูมิรบ ในสายตาคนทั่วไปเขาอาจเป็น ‘วีรบุรุษ’
แต่สำหรับพวกเขาแล้ว การที่ ‘รอดตาย’ กลับมาบ้าน นั่นคือสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุด
ในชีวิต
ขอบคุณที่มาข้อมูล: IMDb, Wikipedia, Rotten Tomatoes, Youtube
ขอบคุณที่มาภาพประกอบ: IMDb, Wikipedia, Rotten Tomatoes, Twitter, The Playlist, Dailymotion, Whatculture.com, FilmLoverss

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา