25 ส.ค. 2020 เวลา 14:17 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
MovieTalk Special Series:
N - O - L - A - N Project 6:
INTERSTELLAR
นี่คือหนังที่ทะเยอทะยานที่สุดของ คริสโตเฟอร์ โนแลน หนังเต็มไปด้วยจินตนาการ, ไซไฟ และ ความรัก!
MovieTalk จะพาคุณไปสำรวจชุดความคิดของ คริสโตเฟอร์ โนแลน ใน MovieTalk Special Series ชุด N – O - L – A- N - F ด้วยการอุ่นเครื่องไปกับ 10 หนังของเทพโนแลน
Interstellar (2014)
Directed: Christopher Nolan/Screenplay: Jonathan Nolan, Christopher Nolan/Music: Hans Zimmer/Cinematography: Hoyte van Hoytema/Edited: Lee Smith/Distributed: Paramount Pictures (North America), Warner Bros. Pictures (International)
Starring : Matthew McConaughey, Anne Hathaway, Jessica Chastain, Bill Irwin, Ellen Burstyn, Michael Caine
Running time 169 minute
***อ้างอิงบทความบางส่วนจาก Interstelar ให้รักนำทาง ท่ามกลางดวงดาว
1
โลกในอนาคตอันใกล้กำลังจะล่มสลาย เพื่อลูกสาวอันเป็นที่รัก และมวลมนุษยชาติ คูเปอร์ อดีตนักบินอวกาศขอนาซา จำใจต้องรับภารกิจตะลุยดวงดาว เพื่อค้นหาอาณานิคมแห่งใหม่ ก่อนที่มนุษย์จะตายหมดด้วยมลภาวะฝุ่น
การเดินทางของทีมสำรวจดวงดาวนำพวกเขาไปสู่การค้นพบที่บรรจบกันระหว่างอดีต ปัจจุบัน อนาคต มิติ อวกาศ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ความรัก และ หัวใจ
หลายคนอาจมอง Interstellar ในฐานะหนังไซไฟแฝงปรัชญา แต่ในมุมมองของผม คริสโตเฟอร์ โนแลน เล่าเรื่องที่เบสิคที่สุดของมนุษย์ ภายใต้ฉากหน้าเรื่องยาก ๆ ทางวิทยาศาสตร์ เรื่องเบสิกนั้นเราเรียกว่า “ความรัก”
เพราะเมื่อมองลึกลงไป เราเห็นความรักอยู่ในหนังผ่านตัวละครต่าง ๆ และความรักนี่ล่ะคือแรงขับเคลื่อนให้ตัวละครทั้งหลายเลือกจะทำบางสิ่งเพื่อคนที่ตนรัก
ความรักของพ่อกับลูกสาว คูเปอร์กับเมอร์ฟ
คูเปอร์ต้องทิ้งลูกสาวที่เขาดูแลมาตั้งแต่เกิด ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้อยากจะจากเธอไป อยากเฝ้าดูเธอเติบโตตามวัย มันเป็นความต้องการพื้นฐานของคนเป็นพ่อ แต่คูเปอร์ต้องไปเพราะ โลกใบนี้กำลังพังทลาย หนทางเดียวคือค้นหาดวงดวงใหม่ที่มนุษยชาติสามารถตั้งรกรากใหม่ได้ ดังนั้นจึงเป็นเพราะความรักที่นำทางให้คูเปอร์ต้องจากไป
เช่นเดียวกับเมอร์ฟที่ทั้งชีวิตของเธอคือการมีพ่อคอยอยู่เคียงข้าง กระทั่งวันที่พ่อต้องทิ้งเธอไป และอยู่กับคำถามที่ว่าทำไมพ่อต้องทำแบบนั้น กระทั่งเมื่อวันที่เติบโต เมอร์ฟเรียนรู้มากขึ้น เธอคาดหวังว่าพ่อจะกลับมาตามคำสัญญาในสักวัน
แต่วันผ่าน เดือนผัน ปีเปลี่ยน หลายปีนานเข้าจนเมอร์ฟเริ่มไม่แน่ใจ แต่ในที่สุดเมอร์ฟก็พบว่าพ่อไม่เคยห่างหายจากเธอไปไหนเลย เพียงแต่เธอไม่เคยมองเห็นมันต่างหาก
และก็เพราะความรักของเมอร์ฟที่นำทางให้แก่คูเปอร์หาหนทางกลับมาเธอ
ความรักของคู่รักที่ตามหา
แบรนด์ ขออาสาร่วมในภารกิจสำรวจดวงดาวครั้งนี้ แม้ว่าจะเหมือนทำเพื่อมวลมนุษยชาติ แต่ลึก ๆ แล้วภารกิจหลักของเธอเป็นการตามหาคนรักที่หายไปจากกลุ่มทีมสำรวจชุดแรก แต่สุดท้ายแบรนด์ก็พบว่าความรักที่เธอตามหา บางทีมันอาจอยู่ใกล้ตัวเธอจนคาดไม่ถึง สัมผัสไม่ได้
เหนือสิ่งอื่นใด Interstellar คือหนังที่แสดงออกถึงความรักที่ คริสโตเฟอร์ โนแลน มีต่อโลกใบนี้ ผ่านการสอดแทรกภาวะวิกฤตจากปัญหาสิ่งแวดล้อม ภาพพายุฝุ่น โลกร้อนจนเพาะปลูกไม่ได้ ตลอดจนโลกที่กำลังจะตาย คือสิ่งที่โนแลนส่งต่อไปถึงคนดู และหวังว่าพวกเราจะรักและรักษ์โลกใบนี้กันให้มากขึ้น
ถือเป็นการเล่น ‘ท่ายาก’ และ ‘ทะเยอทะยาน’ ที่สุดของผู้กำกับพิศมัยความสมบูรณ์แบบอย่าง คริสโตเฟอร์ โนแลน แน่นอนที่การนำเสนอยังคงไม่ได้ตามลำดับเวลาอันเป็นลายเซ็นของโนแลน หนังมีกลิ่นไอของ 2001: A Space Odyssey ในส่วนที่อิงปรัชญา และ Contact ของโรเบิร์ต เซเมกคิส ว่าด้วยการเดินทางผ่านรูหนอน (Wormhole) ฉากในไร่และค้นเจอสัญญาณรหัสมอส ก็ทำให้นึกถึงหนังเรื่อง Sign ของเอ็ม ไนท์. ชยาลามาล แต่เมื่อผสมผสานกันก็มีความเป็นซิกเนเจอร์แบบหนังโนแลน ซับซ้อนในวิธีการเล่า แต่ทำให้คนดูต้องครุ่นคิดเมื่อหนังจบ
บทหนังของ สองพี่น้องโนแลน โจนาธาน และคริสโตเฟอร์ ครั้งหนึ่งมันเคยผ่านมือของพ่อมดฮอลลีวู๊ด สตีเวน สปีลเบิร์ก ก่อนจะกลับมาอยู่ในมือของโนแลนอีกครั้ง เทคนิคด้านภาพผ่านการถ่ายทำขอ งฮอยต์ ฟาน ฮอยต์มา โลเกชั่นต่าง ๆ สร้างความตื่นตาและตื่นใจ ไม่ว่าจะเป็นไร่ข้าวโพดในฟลอริดา, ธารน้ำแข็งไอซ์แลนด์ที่คงบรรยากาศดาวน้ำแข็ง, ภาพอวกาศอันเวิ้งว้าง
แมธิว แม็คคอนนาเฮย์ รับบท คูเปอร์ อดีตนักบินพ่อม่ายเรือพ่วง ชายผู้เป็นพ่อที่ทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว และรับผิดชอบในฐานะผู้กอบกู้โลก ฉากที่คูเปอร์ต้องจากลูกสาวไปในภาวะจำเป็น และการดูภาพวีดีโอบนยานอวกาศ คือการแสดงอันยอดเยี่ยมของแม็คคอนนาเฮย์ นี่คือหนึ่งในนักแสดงชายที่คนดูพร้อมจะเทใจให้ไม่ว่าจะสวมบทใดก็ตามนั่นทำให้ตัวละครที่เจ้าตัวสวมบทจับใจคนดูเป็นตัวประกันไว้แล้ว และถ้ายังพอจำกันได้ Contact หนังว่าด้วยการเดินทางในอวกาศผ่านรูหนอน มีนางเอกคือ โจดี้ ฟอสเตอร์ ส่วนพระเอกคือ แมธิว แม็คคอนนาเฮย์ คนนี้นี่เอง
แอนน์ แฮธาเวย์ ที่เคยร่วมงานกับโนแลนในบท แคทวูแมน กลับมาร่วมงานอีกครั้งในบท แบรตต์ นักวิทยาศาสตร์หญิงที่ร่วมเดินทางในครั้งนี้ ที่มุ่งมั่นที่จะไม่ให้ภารกิจนี้ต้องมีอันเป็นไป แฮธาเวย์สามารถเอาตัวรอดไปได้ แม้จะดูไม่เชื่อนักในบทนักวิทยาศาสตร์ก็ตาม
บท เมอร์ฟ ลูกสาวอัจฉริยะของคูเปอร์ ใช้นักแสดงสามช่วงชีวิต วัยเด็ก แม็คเคนซี ฟอยย์ หนูน้อยแสดงให้เห็นความเป็นเด็กฉลาด แต่ไม่แก่แดด รักและผูกพันกับพ่อมากเพียงใด วัยสาว เจสสิกา แชสเทน ทำหน้าที่ถ่ายทอดภาวะลูกสาวที่เลือกเดินเส้นทางในฐานะนักวิทยาศาสตร์ อยู่กับความหวังว่าพ่อคงไม่เคยทิ้งไปและรอคอยการกลับมาในสักวัน และสุดท้าย อัลเลน เบอร์สตีน ในช่วงวัยชราที่ค้นพบบางสิ่งในชีวิต
ร่วมด้วย ขาประจำของโนแลน ไมเคิล เคน ในบทศาสตราจารย์พ่อของแบรตต์, จอห์น ลิธกาวด์ และ เคซีย์ แอฟเฟล็ก ในบทพ่อและ ลูกชายคนโตของคูเปอร์ตามลำดับ
และมาแต่เสียง แต่ให้ความรู้สึกผูกพันกับคนดูมากเป็นพิเศษ ก็คือหุ่นยนต์ประจำยาน ทาสก์ ให้เสียงโดย บิลล์ ไอวิน คนดูรู้สึกใจหายกับชะตากรรมของเจ้าหุ่นทาสก์ตัวนี้ไม่แตกต่างจากลูกวอลเลย์บอลวิลสันใน Cast Away
ไม่ว่าชีวิตจะถูกลิขิตไว้ด้วยอะไรก็ตาม แต่ตราบที่ยังมีลมหายใจ เราก็ไม่ควรท้อถอยต่ออุปสรรคต่าง ๆ และเมื่อเราหลงทางในชีวิตที่มืดมน ความรักจากคนในครอบครัวจะเป็นเหมือนแสงสว่างนำทางเราให้พบเจอทางออก เพียงเพราะเรารู้ว่า ใครรอคอยเราอยู่ที่บ้าน
***เนื่องจากภายหลังจากที่ผมนำหนังเรื่องนี้กลับมาดูอีกครั้ง ผมยังไม่เห็นมุมมองอื่นที่น่าสนใจ หรือแตกต่างไปจากนักรีวิวหนังท่านอื่น ๆ ผมจึงขอบทความที่ผมเคยโพสต์ไปแล้วครั้งหนึ่ง และนำกลับมาปรับเปลี่ยน บางส่วนให้เข้ากับซีรีย์ส NOLAN
โดยประเด็นที่ผมเกิดคิดได้อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ......
คำเตือน! ต่อไปนี้จะมีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญตอนท้ายเรื่อง
การที่ตัวละคร ดร.มานน์ ของ แม็ตต์ เดมอน แสดงความเห็นแก่ตัวจนทำให้ภารกิจครั้งนี้แทบจะพินาศ มันสะท้อนให้เห็น บุคคลเห็นแก่ตัวบางคนอาจสร้างความเลวร้ายให้แก่สังคมได้อย่างเกินคาด และส่งผลกระทบใหญ่หลวง
เช่นเดียวกัน ถ้าทุกอย่างมันเกิดเพราะถูก 'ลิขิต' ไว้แล้วล่ะ?
ใคร หรือ สิ่งใด ที่นำรูหนอนไปวางไว้ใกล้กับดาวเสาร์?
ใคร หรือ สิ่งใด นั้นคือผู้ลิขิต ผู้รู้ล่วงหน้าใช่หรือไม่?
การกระทำทั้งหลายที่เกิดขึ้นนำไปสู่จุดที่ทำให้ คูเปอร์ ต้องไปอยู่ในช่องว่าง
ไร้กาลเวลา ไร้มิติ มันคือสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้น
ชีวิตมันถูกกำหนดไว้แล้วจริงหรือ?
ไม่ว่าจะฝืนอย่างไรก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้จริงหรือ?
นี่คืออีกประเด็นที่ผมพบในระหว่างการดูหนังก่อนจะเขียนบทความในครั้งนี้
เป็นเรื่องน่าคิดใช่ไหมครับ?
หรือว่า...ผมคิดไปเอง?
ขอบคุณที่มาข้อมูล: IMDb, Wikipedia, Rotten Tomatoes, Youtube
ขอบคุณที่มาภาพประกอบ: IMDb, Wikipedia, Rotten Tomatoes, Twitter, The Playlist, Dailymotion, Whatculture.com, FilmLoverss

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา