30 ส.ค. 2020 เวลา 00:12 • ท่องเที่ยว
ไปผ่อนลมหายใจที่..สะกาย
chapter 7
สะกายฟังเผินๆ นึกว่าท้องฟ้า ไม่อยากหวังว่าสะกายจะสวยหยดอะไรนักหนา
เราข้ามสะพานอินน์วะ ที่เชื่อมเข้าเขตสะกาย ถนนสีเทาๆ ทอดยาวเคียงไปกับบ้านเรือนในเมืองที่ปราศจากตึกสูงให้เกะกะสายตา อย่างน้อยเราก็เห็นท้องฟ้าได้ชัดกว่ามัณฑะเลย์
สะพานเชื่อมเข้าเขตสะกาย
มาถึงสะกายมีเกสต์เฮ้าส์ให้เลือกแค่สองที่ โทนี่พาไปที่แรกก็ตกลงใจโดยไม่ต้องเสียเวลาเลือก เขาหมดหน้าที่และร่ำลาเราตรงนี้
เอาของเข้าที่พักก็ค่ำแล้ว เราเดินโผเผออกไปหาอะไรกิน วันนี้ทั้งวัน กินเป็นมื้อเป็นอันก็ข้าววัดเมื่อตอนกลางวันมื้อเดียว แถมยังตื่นกันแต่เช้ามืด ไปเจอแดดร้อนเปรี้ยงจนหัวแทบแตกที่อังวะ ทำเอาฉันหมดแรงกระทั่งไม่อยากเห็นอะไรทั้งนั้น นอกจากเตียงนอน
เช้าวันใหม่ของผู้คนที่สะกาย
เหล่าแม่ชีน้อยในผ้าสีชมพูหวาน
เสียงระฆังดังเป็นระยะๆ เด้งฉันออกจากที่นอน แหวกม่านหน้าต่างดูแดดอ่อนยามเช้า ขบวนจีวรสีกล่ำเดินเรียงแถวไปทั่วเมือง รีบล้างหน้าล้างตาปลุกเพื่อนออกไปตักบาตร เดินดูตลาดดีกว่า
เมืองสะกายเล็กๆ ดูปลอดภัย อยากเดินไปทางไหนไม่ต้องระวังรถราให้เคืองใจ ฉันเดินข้ามถนนกลางสี่แยกไปมาอย่างเย็นใจ ฉันมองเห็นประตูตลาดอยู่ฝั่งตรงข้าม อะไรจะดีเท่าตลาดเวลาเช้าๆอย่างนี้ล่ะ
แม้จะมีคนสัญจรไม่มาก แต่มีตำรวจจราจรนะ
แทบจะไม่มีผู้คนเอาเสียเลย ในตอนเช้าของเมืองสะกาย
ภาพคุ้นตาที่พบเห็นได้ทั่วไปในพม่า
ผักหญ้า ปลา ไก่ ยังสดปิ๊ง วางขายกันเป็นแถว เราเจอลูกสมออ้วนเป่ง น่ากินให้ชุ่มคอ แก้ร้อนใน จ่ายไป 200 จัตต์ ก็ได้มาสองกอบใหญ่ ข้างๆ มีเณรน้อยมายืนเปิดบาตรรอ เราไม่ได้วางแผนเรื่องอาหารใส่บาตร จึงวางแบงค์จัตต์ลงไปแทน
เณรมาเดินบาตร แวะนั่งให้เราถ่ายรูป
ใกล้ๆ สี่แยกมีร้านชา มีร่มไม้อยู่ข้างๆ ร้าน ทำเลเหมาะกับการนั่งดูผู้คน ฉันซื้ออิ้วจาก้วยจากคนขายถีบจักรยาน หิ้วมากินที่ร้านชาด้วย ที่นี่เป็นร้านชาคนจีน ดูจากเก้าอี้ที่เป็นแบบนั่ง ไม่เป็นแบบยองๆ
เราสองคนจัดแจงสั่งชาร้อนๆ มากลั้วลิ้น ถ้าจะสั่งกาแฟก็มักเป็นแบบซองสำเร็จรูป เพื่อนอีกสองคนตามมาสมทบ พอหย่อนก้นได้ก็ฟุ้งฝอยชื่นชมตลาดเช้าของที่นี่อย่างสลิดสะออน อีกคนก็อวดชีวิตชีวาของผู้คน ผ่านภาพที่บันทึกไว้
นั่งมองคนที่นี่สัญจรไปมาในยามสายแดดอ่อน
สายลมพัดซู่พาใบไม้วิ่งแกรกๆ ผ่านหน้าเราไปเป็นระยะ เคล้าไปกับเสียงพูดคุยสลับเสียงหัวเราะให้กับวันเวลาที่เราใช้ไปด้วยกัน
ชาถูกสั่งมาเพิ่มอย่างออกรส หนักเข้าต้องเดินไปหลังร้าน ขอเกลือมาจิ้มลูกสมอที่ซื้อมา ฉันกัดลูกสมออวบอิ่ม น้ำลายจากกระพุ้งแก้มปนกับน้ำฝาดๆ หวานชื่นคอ
คนสะกายแถวนั้นทำหน้าบิดเบี้ยวเปรี้ยวปากแทนเรา ฉันยื่นลูกสมอเพื่อแบ่งปัน พวกเขาทำหน้าเหย หัวเราะ โบกมือทำนองว่า เอาเหอะ พวกแกกินกันเถ้อะ ทั้งไทยและพม่าเปล่งเสียงหัวเราะปนกันอย่างแยกสัญชาติไม่ออก
เราตั้งใจมาสะกายเพื่อผ่อนคลาย และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
สถานีต่อไป...มินกุน
"ถ้าจะไปมินกุน ต้องไปแต่เช้า จะดีกว่านะคุณ"
สิ้นคำแนะนำจากเจ้าของเกสเฮ้าส์ พวกเราก็แยกย้ายกันเตรียมตัวเก็บของ ฉันเดินเตร็ดเตร่อยู่หน้าถนนสักพัก ก็มีคนเข้ามาทาบทามว่าจะไปไหน พลางชี้มือให้ฉันดูพาหนะที่จะพาไป
ปุเลงปุเลงไปกับสามล้อเครื่อง
มันเหมาะมากกับการนั่งสามล้อเครื่องจากสะกายไปมินกุน เพราะจะมองเห็นวิวสองข้างทางได้ถนัด อากาศดีกว่านั่งแท๊กซี่ไม่มีแอร์เยอะเลย นั่งกันไปเพลินๆ กับถนนที่ขึ้นๆลงๆ บนเนินเล็กๆ ตลอดเส้นทาง
พบเห็นแม่ชีสีชมพูเดินเท้าได้ตลอดตามเส้นทาง
ทางลงเนินเขาเตี้ยๆ ขนานไปกับแม่น้ำกว้างใหญ่ ซ้ายมือเป็นวัดที่มีชีบวชมากที่สุด ชุดแม่ชีที่นี่สีชมพูหวาน น่ามอง เห็นเดินเป็นแถว เลี้ยวขึ้นไปบนเนินแนวต้นไม้ครึ้ม เป็นวัดที่มีทำเลเหมาะกับการสงบจิตใจ
มองไปไกลๆ เห็นทิวเขาสะกายที่เต็มไปด้วยเจดีย์ผุดยอดแหลม
สามล้อเครื่องพาเรามาได้ครึ่งทาง ก็แวะให้ดูอ่างเก็บน้ำโบราณสักสองร้อยปีกว่า คนขับแกว่าอย่างนั้น ว่าพลางก็จับหมากใส่ปาก เคี้ยวหยับๆ ตลอดทางมานี่เห็นแกเคี้ยวไม่หยุด แถมจอดรถซื้อตุนไว้อีก ตั้งแต่เจอคนพม่ากินหมาก ตาคนนี้อาการหนักที่สุด
ร้านหมากพลูข้างทาง
เราผ่านหมู่บ้านเล็กๆ สักสองสามแห่ง ร้านชาน่ารักๆ แฝงตัวอยู่ใต้ลานไม้ใหญ่หน้าบ้าน การเป็นเจ้าของกิจการร้านชาที่นี่ดูง่ายดายยิ่งกว่าเคี้ยวหมากเสียอีก
มองไปทางไหนก็เห็นแต่ร้านชา เพราะวัฒนธรรมการกินชาของคนที่นี่น่าจะได้รับมาจากอินเดียหรืออังกฤษ แล้วใบชาเขาเอามาจากไหนกันนะ ก็น่าจะปลูกบนพื้นที่สูงๆแหละนะ
ฉันเริ่มตระหนักในความเอาจริงเอาจังในการดื่มชาของคนพม่า แทนการสังสรรด้วยเหล้า การดื่มชาน่าจะเข้าถึงได้ง่าย การเข้าไปดื่ม กิน พูดคุยในร้านชา เป็นการปลดปล่อยทางอารมณ์ของคนพม่าทางหนึ่ง
สโมสรเล็กๆ ของหมู่บ้าน
ขึ้นเนิน ลงเนินมาตั้งเยอะ ดันมาตายตอนจบที่เนินลูกสุดท้าย พวกเราต้องลงเดิน อันที่จริงข้างหน้าเราก็คือเจดีย์ใหญ่ เราถึงมินกุนแล้ว ไหนๆ ก็ไหนๆ เลยหาเรื่องแวะดื่มชามันเสียเลย
บ้านเรือนที่กลมกลืนไปกับธรรมชาติ
เจ้าของร้านฟังภาษาไม่ออก เราเลยต้องเข้าครัวไปรินน้ำร้อนชงเอาเอง ส่วนใครพิสมัยชาแบบไม่หวานก็ต้องเข้าไปกำกับการชง จนพี่สามล้อเดินเข้ามาช่วยเป็นล่ามให้
คนในร้านถามกันใหญ่ว่าพวกเรามาจากไหน ดูแล้วพวกเขามีอัธยาศัยดี บอกเราว่าขากลับมานั่งเล่นที่ร้านก่อนลงเรือ พี่สามล้อบอกว่าค่าเรือไม่ควรจ่ายเกินคนละ 1500 จัตต์ เป็นอันว่าเดี๋ยวกลับมาเจอกัน
ฐานเจดีย์ที่กว้างใหญ่ ที่ปราศจากยอดเจดีย์
เจดีย์มินกุน
รูปลักษณ์แรกเห็นแต่ไกลของฐานเจดีย์นี้คือรอยร้าวลึกยาว ที่เด่นชัดพอๆ กับความมโหฬารของเจดีย์
ฉันนั่งใต้ร่มไม้ใหญ่ มองซากก่ออิฐขนาดมหึมา เห็นร่องรอยจินตนาการของผู้สร้าง ที่หมายมั่นว่าจะต้องเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ฉันลองนึกวาดภาพปลายยอดแหลมของเจดีย์ ต่อเติมส่วนที่ยังสร้างไม่เสร็จเหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า มันช่างน่าตกใจที่ฉันมองเห็นความทะเยอทะยานอันสุดประมาณกำลังของมนุษย์ผู้หนึ่ง แต่ก็ไม่อาจทานกำลังของธรรมชาติได้
สุดท้ายเหลือเพียงอนุสาวรีย์แห่งความพ่ายแพ้ แม้แต่ธรณีก็ยังตอกย้ำซำ้ด้วยเหตุแผ่นดินไหว ทิ้งบาดแผลยาวลึกให้เห็นอยู่ตรงหน้า
ราวกับมีแรงดึงดูดเรียกร้องให้เข้าไปสัมผัสอย่างใกล้ชิด เท้าเปล่าของฉันค่อยๆ แตะไต่บันไดที่เวียนไปจนถึงชั้นปลายสุด มองเห็นเอยาวดีเอื่อยไหลผ่านหน้าสิงห์โตใหญ่ที่เคยหมอบราบอยู่ริมฝั่ง
มองจากข้างบนของเจดีย์มินกุน
ท่ามกลางดงไม้สีเขียวแทรกด้วยสีขาวโพลนของเจดีย์รูปทรงอ่อนหวาน แดดร้อนเปรี้ยงทำให้เรายืนอยู่บนซากแห่งความยิ่งใหญ่ได้ไม่นาน ใครว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว ฉันว่ายิ่งสูงยิ่งร้อนด้วยอีกต่างหาก
1
ขณะที่เดินลงมา ฉันมองก้อนอิฐที่ถูกเรียงต่อก่อเป็นรูปร่าง นึกถึงแรงงานที่ถูกพระเจ้าโบดอว์หรือพระเจ้าปดุงเกณฑ์มารับใช้ความฝันของพระองค์ ผู้คนเหล่านี้ส่วนหนึ่งเป็นชาวยะไข่ที่ถูกต้อนมาเมื่อคราวเสียเมือง
แล้วพวกเขายังต้องมาเสียพระมหามัยมุนี พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองไปอีกอย่างมิคาดคิด ก็น่าเชื่อนะว่า อิฐทุกก้อนประสานด้วยคราบน้ำตาของคนเหล่านั้น
ความฝันของพระเจ้าโบดอว์พญาจึงมิอาจเป็นจริงตราบจนสิ้นรัชกาลเมื่อพระชนมายุ 75 พรรษา ใครจะรู้ว่าในห้วงสุดท้ายของพระองค์ คงได้ตระหนักว่า การเอาชนะธรรมชาติอาจใช้กำลังได้ แต่ใช้ไม่ได้กับศรัทธา
บางทีฟ้าดินอาจกำหนดไว้ให้มนุษย์ในยุคต่อมาเช่นเรา ได้จินตนาการส่วนที่เหลือเอาเอง
เจดีย์แห่งความรัก..เมี๊ยะเตงดาน
เรายังคงวนเวียนอยู่บริเวณหมู่บ้านมินกุน ตลอดเวลาเราถูกป้อนข้อมูลจากเด็กท้องถิ่นที่ติดตามแทรกซึมไปทุกที่ จนพวกเราอ่อนใจยอมให้เป็นไกด์ส่วนตัว
เธอชื่อมิ้น เด็กสาวที่อยู่ในร่างของเด็กหนุ่ม เราเดินตามทอมบอยวัยเยาว์ที่ชี้ทางไปเจดีย์สีขาว ที่เธอออกเสียงพม่าว่า เมี๊ยะเตงดาน
ซุ้มโค้งด้านข้างของเจดีย์ เป็นร่มเงาให้เรายืนมองความขาวโพลนผ่านแสงจ้า ความอ่อนช้อยและสีขาวเป็นรูปลักษณ์ภายนอกที่บอกเราว่า กษัตริย์องค์หนึ่งสร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งความรักที่มีต่อพระมเหสี
ถ้าเปรียบกับทัชมาฮาลแล้วละก็ เมี๊ยะเตงดานถือกำเนิดภายหลังอยู่นับร้อยปี แต่สำหรับความรักแล้วย่อมบันดาลให้เกิดความยิ่งใหญ่มหัศจรรย์เหนือกาลเวลา อยู่ในหัวใจเล็กๆ ของผู้คนเสมอ
เจดีย์แห่งความรักอาจทำให้ฉันตามืดตามัวได้ ถ้าจ้องมองความขาวของเมี๊ยะเตงดาน กลางแดดนานๆ แบบนี้
มิ้นพาเราเดินกลับมาทางเดิม เพื่อไปดูระฆังใบใหญ่ที่สุดในโลก ฉันนึกสรุปเอาเองว่า พระเจ้าโบดอว์พญา หรือ พระเจ้าปดุง ท่านชอบดำริอะไรใหญ่ๆ เสียจริงเชียว
ระฆังมินกุนถูกสร้างมาตั้งแต่ ค.ศ.1790 ตอกย้ำถึงความเป็นที่สุดในโลก ที่ใหญ่และทั้งโลกเหลือเพียงใบเดียว
ไม่มีใครหล่องานที่ต้องใช้ความมานะอุตสาหะผสมผสานงานศิลป์ได้เช่นนี้อีกแล้ว เพราะช่างศิลป์เหล่านั้นถูกประหารชีวิตทั้งหมด ด้วยเกรงว่าจะเกิดการสร้างซ้ำ แน่นอนเสียเหลือเกิน ว่าเป็นไปตามพระประสงค์ตราบจนทุกวันนี้
เรือใบขนาดเล็กของชาวบ้าน
นักท่องเที่ยวคราวนั้นส่วนใหญ่มีแต่ชาวตะวันตก
ชาวบ้านยังคงใช้เรือสำหรับหาปลาและสัญจรไปมา
พวกเราเดินฝ่าเปลวแดดมุ่งหน้ามาหลบร้อนที่ร้านชา ตามที่บอกกันไว้
คนพม่าไม่นิยมดื่มกาแฟ เราจึงแบ่งปันซองกาแฟสำเร็จรูป อันสุดแสนจะธรรมดา ให้หม่องโก เจ้าของร้านและครอบครัวได้ชิมรสชาติ พี่หม่องเห็นเราเปิดกล้องยกขึ้นถ่ายรูป จึงขอดูภาพและทำเสียงตื่นเต้นฮือฮากันใหญ่เมื่อมองเห็นภาพตัวเอง
ภาพสวยๆแบบนี้ได้มาจากเพื่อนร่วมทางที่ใช้นามว่า..jiggho
หม่องโกยกมือโอบไหล่น้องสาวหุ่นตุ้ยนุ้ย ให้เรากดชัตเตอร์ แล้วรีบเข้ามาขอดู เป็นที่ถูกอกถูกใจ ปรากฎว่าหม่องแกมีญาติหลายคน ทั้งพ่อทั้งลุง และน้องสาวอีกคน ต่างมาเข้ากล้องกันใหญ่
จนหนุ่มไทยต้องแซวว่าปีหน้าจะมาเป็นน้องเขย
ขอถ่ายรูปจองตัวเอาไว้ก่อน บรรดาหม่องผู้เฒ่าก็รับมุขเขยไทย ทำเสียงเฮยกให้ทันที
คราวนี้น้ำร้อนน้ำชานำมาเสริฟฟรีไม่อั้น โทษฐานคุยกันถูกคอ
ก็ได้เวลาลงเรือเสียแล้ว พวกเราเดินลงไปยังท่า หันกลับไปโบกมือลาพวกเขาอีกครั้ง
มินกุนไม่ได้มีแค่เจดีย์ใหญ่ ระฆังใบโตเท่านั้น แต่สำหรับฉันยังหมายถึงผู้คนที่น่ารัก มีอัธยาศัยไม่ต่างจากคนไทย
เสียงหัวเราะของพวกเขากลมกลืนไปกับเสียงหัวเราะของเรา และยังคงก้องอยู่ในหัวตลอดที่นั่งเรือกลับ
มัณฑะเลย์ฮิลล์
นั่งเรือมาได้สักครึ่งชั่วโมงพวกเราถูกเรียกให้ขึ้นจากเรือ ทำไมมันเร็วกว่าที่คิด เราเดินขึ้นฝั่งแบบงงๆ โบกมือเรียกสามล้อเครื่องไปมัณฑะเลย์ฮิลล์
อากาศร้อนอบอ้าวทำท่าว่าจะออกฤทธิ์กลายเป็นฝนเมื่อไปถึงเชิงเขา ต้องหาวิธีขึ้นไปข้างบน จะเดินหรือจะนั่งรถกันดี มองเห็นแนวบันไดถี่ยิบแล้วชวนขนลุกแข้งขาอ่อน
เราพากันเดินขึ้นบันไดมัณฑะเลย์ด้วยเท้าเปล่า เดินเวียนทางเรียบก่อนขึ้นบันไดไหว้พระ แล้วก็ขึ้นบันได แล้วก็เจอทางเรียบ แล้วก็ขึ้นบันได เป็นอย่างนี้สักสามสี่ครั้งก่อนถึงชั้นบนสุด
ฉันแอบบ่นในใจถึงความสกปรกของทางเดิน บางครั้งต้องระวังไม่ให้เหยียบเศษอาหารที่ปนอยู่น้ำแฉะๆ ตลอดทางเดินบันไดขึ้นไป
ในที่สุดก็ถึงจนได้ ฉันเดินไปตามริมระเบียงดูวิวมัณฑะเลย์ ที่บัดนี้ครึ้มไปด้วยเมฆฝน ปริ่มๆ จะตกในไม่ช้า แล้วเดินไปสมทบกับเพื่อนที่นอนเอกเขนกรออยู่ก่อน
นั่งรับลมเย็นๆ ได้สักพักจึงชวนกันกลับ ไม่ได้รู้สึกอยากตัดพ้ออะไรกับที่นี่ ทั้งที่ฟ้าไม่เปิดให้เรามองทิวทัศน์ได้อย่างเต็มที่ เพราะรู้สึกเต็มอิ่มกับสะกายฮิลล์เมื่อวานมาแล้ว
เราลงมาถึงท่ารถตรงเชิงเขา ฝนกระหน่ำอย่างกับฟ้ารั่ว ในเมืองมัณฑะเลย์เนืองนองไปด้วยน้ำ เดาว่าตกอย่างนี้ทั้งคืน น้ำคงท่วมเมืองแน่นอน
จากห้องพัก ฉันมองสายฝนที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เศษขยะล่องลอยไปทั่วเมือง โชคดีที่เราไม่มีแผนการเที่ยวที่ไหนอีก
รอพรุ่งนี้เพื่อไปเจอสายน้ำสะอาดๆ ของทะเลสาบอินเลอย่างใจระทึก
เรื่องราวที่เกิดขึ้นและภาพถ่ายทุกภาพถูกบันทึกเมื่อเดือนตุลาคม 2549 ด้วยกล้องnikon D200 เป็นการเดินทางเที่ยวพม่าในขณะที่ประเทศนี้ยังไม่เปิดรับการท่องเที่ยวเต็มรูปแบบเหมือนในปัจจุบัน
เล่าเรื่องโดย สีละมัน
ถ่ายภาพโดย อนุพันธ์ สุภานุสร
#ถ่ายรูปเล่าเรื่อง #fototeller #keepshooting #เที่ยวพม่า #เที่ยวมัณฑเลย์ #เที่ยวเมียนมาร์ #เที่ยวอังวะ #เที่ยวพุกาม #เที่ยวภูเขาโปปา #เที่ยวตลาดยองน์อู #เที่ยวสะกาย #เที่ยวมินกุน #เที่ยวอินเล

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา