30 ส.ค. 2020 เวลา 13:41
#จันทร์เจ้าขาบทที่3ตอนที่10,
(30/8/2020)
สวัสดีครับ เพื่อนๆ
ผมขอส่งจันทร์เจ้าขา ตอนล่าสุด ให้เพื่อนๆได้อ่านเพลิดเพลิน ในคืนวันอาทิตย์นี้ครับ 😇💙💚❤️
สุขสันต์วันอาทิตย์นะครับ
บทที่ 3 จิตประภัสสร
ตอนที่ 10 ดวงตาโศก(2)
#บริเวณป่าช้าเก่าเวียงกุมกามเมืองเชียงใหม่อำเภอยางเนิ้ง(อ.สารภี)
ณ.เบื้องหน้าของคุณหมอชอว์ เวลานี้ คือ ภาพประตูโบราณลึกลับ อันวิจิตร..
ปรากฏตั้งอย่างตระหง่าน..
ตระการตา...ท่ามกลางหมอกเย็น และดวงไฟวูบวาบสีต่างๆ ที่เคลื่อนไหวช้าๆไปมา.. ในป่า..
ที่เสาประตูซ้ายขวานั้น..เป็นลวดลายนาคพันรัดเลื้อยรอบเสา..ยามเกล็ดของนาคนั้นกระทบต้องแสงจันทร์.. ก็สะท้อนเป็นสีมรกตสลับด้วยทับทิมแลล้อมด้วยทองคำ..มลังเมลือง..
งดงามดั่งภาพฝัน..
นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นยักษ์ตนหนึ่งถือกระบองเหล็กดูสมจริง..ยืนนิ่งหลับตา..
คล้ายเป็นทวารบาลเฝ้าประตูแห่งนี้..
เมื่อคุณหมอชอว์เพ่งมองพิจารณาดูใกล้ๆ..ก็เห็นว่าชุดเกราะของยักษ์นั้น..มีการขยับขึ้นลง..ราวกับยักษ์ตนนั้นกำลังหายใจอยู่..
“กราบสวัสดีเจ้า..บัวตองพาแม่หญิงป๊ะ(พบ)ท้าวกุเวรล่ะเน้อเจ้า.. ขอท้าวกุเวรเชิญอู้(พูด)กะแม่หญิงเลยนะเจ้า..บัวตองยับ(ขยับ)ไปห่างๆละเน้อเจ้า..”
ผีนางบัวตองจับมือคุณหนู
ฆฤณให้ทรุดตัวนั่งพับเพียบลงกราบยักษ์ตนนั้น แล้วนางจึงค่อยๆ ขยับถอยหลังไปนั่ง ห่างจากคุณหนูฆฤณช่วงตัวหนึ่ง จากนั้นจึงยกมือประนมค้างนิ่งไว้อย่างนั้น..
คุณหมอชอว์ได้ฟังข้อความของผีนางบัวตอง ก็ค่อยๆก้าวถอยหลังจากรูปปั้นยักษ์อย่างช้าๆ..
จนในที่สุด..ก็ได้ถอยมายืนเยื้องทางด้านหลังของผีนางบัวตอง..
แล้วจับปืนตั้งท่าประทับด้วยความระมัดระวัง..
“ฟู่ววววว....” เสียงระบายลมหายใจยาวของยักษ์ตนนั้น .. ดังก้องกังวาลทั่วบริเวณนั้น..ส่วนใบไม้ก็ฟุ้งและต้นไม้ก็เอนไหวกระจายตามแรงลม..
“นี่คือ ท่านพ่อเวสสุวรรณจริงๆ หรือเจ้าคะ..”
คุณหนูฆฤณนั่งพับเพียบพนมมือนิ่ง และอุทานเบาๆ ด้วยความตกใจ..
ทันใดนั้น ยักษ์ตนนั้น ก็ลืมตาโพลงขึ้นมา และกวาดสายตาที่แดงดังเพลิงมองไปรอบๆ.. ก่อนที่จะมาจับจ้องนิ่งที่คุณหนูฆฤณ..
แล้วจึงค่อยๆเปลี่ยนเป็นสายตาแห่งความรักและเมตตา.. พร้อมกับเอ่ยว่า..
“ลูกฆฤณ.. ในที่สุดเราก็ได้พบกันอีกครั้ง..”
คุณหนูฆฤณก้มลงกราบนิ่ง และพูดเบาๆ ว่า..”เจ้าค่ะ..”
“พ่อยังจำได้ดี..ในวันที่เจ้าถือกำเนิดนั้น..พ่อและแม่ของเจ้ามีเหตุให้ต้องรีบทำพิธีอัญเชิญและมอบถวายเจ้าให้เป็นบุตรแห่งท้าวเวสสุวรรณ ผู้เป็นเทพเจ้าแห่งยักษ์ ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์.. ผู้ทรงสถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา และประทับ ณ โลกบาลทิศเหนือ..ดูแลมณฑลทางเหนือทั้งปวง..
ก็ด้วยว่าครานั้นตัวเจ้าโดนรังควานโดยนางรับใช้อกตัญญู ชื่อนางจ่าย..ผู้ซึ่งใช้เวทย์มนต์ไสยดำ หมายจะมุ่งเอาชีวิตของเจ้า..เพื่อเป็นการแก้แค้นในเรื่องที่แม่ของเจ้าเปิดเผยแผนการร้ายของนาง..ให้แก่พ่อของเจ้า..และราชสำนัก..
จึงทำให้นางจ่ายถูกจับได้ขณะกำลังประกอบพิธีมนต์ดำ จนถูกขับออกจากเรือน และต้องหนีหัวซุกหัวซุนในสภาพร่างสุนัขไสยดำ.. “
“ลูกเอ๋ย.. ครานี้ พ่อเรียกเจ้ามาพบ ก็ด้วยใคร่อยากจะเตือนเจ้า ถึงการก้าวข้ามพระธรณีนี้..เพื่อเข้าสืบค้นความจริงจากโลกวิญญาณว่า..
คู่แท้เจ้า เฝ้ารอแล้ว
เมืองเชียงใหม่..
ช่างนานเหลือ กี่สมัย
สมใจหมาย..
แต่หากเจ้า ก้าวล่วงผ่าน
ประตูไป..
คู่กรรมเก่า เขาจำได้
จะตามมา..,
..
..
สัญญาก่อน จะตามมา
ทวงถามเจ้า..
เจ้ากรรมเก่า คู่แท้เจ้า
ก็ตามหา..
เหนื่อยหนักเพื่อ บ้านเมือง
กี่นานมา..
มิหนักเท่า ตัดใจลา
เลือกคนหนึ่ง..
และสุดท้าย คือเมื่อเจ้าข้ามประตูโลกวิญญาณนี้ไปแล้ว..เมื่อเจ้ากลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง.. เนตรของเจ้าก็จะยังเห็นวิญญาณ และเหล่าวิญญาณก็จะเห็นเจ้าเช่นกัน..
ลูกเอ๋ย!! ในฐานะเจ้าเป็นบุตรแห่งท้าวเวสสุวรรณ เจ้าจึงมีสิทธิ์ที่จะเลือกได้ว่าเจ้ายังจะเลือกการก้าวข้ามประตูนี้ หรือ เลือกปฏิเสธการเข้าไป.. ขอโปรดตอบพ่อเถิด..”
..
..
ชั่วขณะหนึ่งในความคิดของคุณหนูฆฤณที่คิดไตร่ตรอง.. แต่กลับเป็นเวลาที่นิ่งนานของผู้ที่รอฟังคำตอบนั้น..
คุณหนูฆฤณยังคงก้มหน้า และตอบท้าวเวสสุวรรณว่า
“หนูฆฤณได้คิดอย่างรอบคอบ และขอตอบท่านพ่อเวสสุวรรณว่า หนูฆฤณ ขอไม่..”..
“ปฏิเสธเจ้าค่ะ”(เสียงสูงเล็กคล้ายคุณหนูฆฤณอย่างที่สุด)
หนูฆฤณ สะดุ้งกับคำตอบนั้น แล้วรีบยกตัวลุกขึ้นนั่งหันมองรอบตัวหาต้นเสียง ที่พูดนั้น อย่าง งงๆ..
ขณะที่ท้าวเวสสุวรรณยิ้มอย่างพอใจในคำตอบที่กล้าหาญนั้น ..จึงได้สวดอำนวยพร แล้วเป่าลมเหนือร่างของคุณหนูฆฤณ.. จากนั้น..จึงเปิดทางอนุญาตให้ทั้งสาม เดินเข้าไปในประตูแห่งโลกวิญญาณ..ก่อนที่จะหันกลับไปยืนหลับตานิ่งดั่งรูปปั้นหินเหมือนเดิม.,
คุณหนูฆฤณ จ้องมองผีนางบัวตอง ที่กำลังวุ่นวายกับการหยิบลูกตาที่หล่นลงพื้นใส่คืนกลับในเบ้าตา..แล้วหันมายิ้มกว้าง.. สลับกับหันไปมองคุณหมอชอว์ ที่กำลังส่งยิ้มหวานให้คุณหนูฆฤณเช่นกัน..
..
..
#ณ.บริเวณงานเลี้ยงหน้าตำหนักในเขตพระนคร
คุณพีระ ถือแก้วน้ำเจียระไน..ก้าวเดินออกมาทักทายคุณไกรสรที่กำลังหันซ้ายขวา มองหาคนรู้จักเพื่อเป็นเพื่อนคุยกัน ระหว่างที่ยังต้องอยู่ในงานเลี้ยงอันหรูหรานี้..
“สวัสดีขอรับ พี่ไกรสร” คุณพีระเอ่ยทักและยกมือขึ้นสวัสดี..
“เอ้า คุณพีระนี่เองนะขอรับ..คืนนี้แต่งตัวโก้ ดูสมาร์ทมากจริงๆเลยนะขอรับ.. จะไปเข้าเฝ้ารับเสด็จ เสด็จฯท่าน หรือขอรับ??..” คุณไกรสรพยักหน้ายิ้ม และเอ่ยทักทาย
“มิได้ขอรับ พี่ไกรสร..
เจ้าคุณสันติ เรียกกระผม ตาบั๊ค และพี่ผาด เข้าร่วมประชุมคณะมหาดเล็กภายหลังงานเลี้ยงในคืนนี้ น่ะขอรับ..พี่ไกรสร” คุณพีระตอบคุณไกรสร แล้วสะดุดชะงักนิดหนึ่ง ก่อนที่จะคุยเปลี่ยนเรื่อง ว่า..
“ครูปาวี ท่านให้นายทองดี เตรียมตัวเดินทางอย่างไรบ้างนะขอรับ พี่ไกรสร..??”
คุณไกรสรพยักหน้ายิ้มรับ แล้วเอ่ยว่า
“จริงด้วยนะขอรับ คุณพีระ.. พี่ลืมไปว่า.. คืนนี้ต้องไปช่วยเจ้าทองดีจัดแจงสำรับของสำหรับการเดินทางกับครูปาวี.. พี่ต้องขอตัวแยกกับคุณพีระก่อนนะขอรับ.. ไว้เจอกัน วันพรุ่งนี้ในการประชุมปกติ*ในชุดมหาดเล็กประจำวันนะขอรับ..”
คุณไกรสรเน้นคำว่าการประชุมปกติ ก่อนที่จะหันหลังกลับ แล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว..
คุณพีระมองคุณไกรสรเดินจากไปด้วยสีหน้านิ่งครู่หนึ่ง... ก่อนที่จะเดินกลับไปยังซุ้มอาหาร ที่คุณหนูพาและคุณหนูน้อยซ์กำลังตักอาหารพูนจานอย่างสนุกสนาน..
..
..
..
#ณ.ประตูขึ้นเรือพาณิชย์เส้นทางอิตาลี-สิงคโปร์
“ขออนุญาตผมตรวจตุ๊กตากระต่ายตัวอีกครั้งหนึ่ง เถิดนะครับ คุณหนู..”
เจ้าหน้าที่ประจำเรือพูดอย่างสุภาพ กับคุณหนู
สมายลี่..ก่อนที่จะหยิบตุ๊กตานั้น กลับมาตรวจอีกครั้งอย่างแปลกใจว่า เหตุใด.. คุณหนูผู้สูงศักดิ์จึงถือตุ๊กตากระต่ายมอมแมมติดตัวอย่างนี้..ตลอดเวลา
“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือครับ คุณหนู.. ทุกอย่างปกติดีครับ..
ขอให้มีความสุขตลอดการเดินทางกับเรือพาณิชย์ของเรานะครับ..คุณหนูสมายลี่ และเจ้ากระต่ายเจอริโมนี่”
เจ้าหน้าที่ประจำเรืออีกคนหนึ่ง ยื่นกระต่ายตัวมอมแมม คืนกลับให้คุณหนูสมายลี่ และกล่าวด้วยสำเนียงฝรั่งเศส ก่อนที่จะส่งยิ้มกว้างให้คุณหนู
สมายลี่ ที่กำลังตกตะลึง..
“รีบขึ้นเรือเถิดลูก.. มีคนต่อแถวกันอีกยาวเลยทีเดียว” เจ้าคุณวรนาถรังสรรค์ จูงมือคุณสมายลี่ให้รีบเดินขึ้นบันไดเรือ ต่อไป..
..
..
..
จบบทที่ 3 ตอนที่ 10
#เกร็ดเพิ่มเติม,
#ยันต์ท้าวเวสสุวรรณ
-คนไทยโบราณนิยมนำผ้ายันต์รูปยักษ์ผูกไว้ที่หัวเตียงเด็กเพื่อป้องกันวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้มารังควานแก่เด็ก ท้าวกุเวรองค์นี้มีกล่าวถึงในอาฏานาฏิยปริตรว่านำเทวดาในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกามาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้ถวายสัตย์ที่จะดูแลพระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกไม่ให้ยักษ์หรือบริวารอื่น ๆ ของท้าวจตุโลกบาลไปรังควาน
-สารานุกรมไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่มที่ 3 หน้า 1439 กล่าวถึงท้าวกุเวรหรือท้าวเวสวัณไว้ว่า กุเวร-ท้าว พระยายักษ์ผู้เป็นเจ้าแห่งขุมทรัพย์มียักษ์ และคุยหกะ (ยักษ์ผู้เฝ้าขุมทรัพย์) เป็นบริวาร ท้าวกุเวรนั้น บางทีก็เรียกว่าท้าวไวศรวัน (เวสสุวรรณ) ภาษาทมิฬเรียก "กุเวร" ว่า "กุเปรัน" ซึ่งมีเรื่องอยู่ในรามเกียรติ์ว่า เป็นพี่ต่างมารดาของทศกัณฐ์ และทศกัณฐ์ไปแย่งบุษบกของท้าวกุเวรไป ท้าวกุเวรมีรูปร่างพิการผิวขาว มีฟัน 8 ซี่ และมีขาสามขา (ภาพท้าวเวสวัณจึงมักเขียนท่ายืนแยงแย ถือไม้กระบองยาว อยู่หว่างขา) เมืองท้าวกุเวรชื่อ "อลกา" อยู่บนเขาหิมาลัย มีสวนอุทยานอยู่ไหล่เขาแห่งหนึ่งของเขาพระสุเมรุ ชื่อว่า "สวนไจตรต" หรือ "มนทร" มีพวกกินนรและคนธรรพ์เป็นผู้รับใช้ ท้าวกุเวรเป็นโลกบาลประจำทิศเหนือ คนจีนเรียกว่า "โต้เหวน" หรือ "โต้บุ๋น" คนญี่ปุ่นเรียกว่า "พสมอน"
-ท้าวกุเวรนี้สถิตอยู่ยอดเขายุคนธรอีสานราชธานี มีสระโกธาณีใหญ่ 1 สระ ชื่อ ธรณี กว้าง 50 โยชน์ ในน้ำ ดารดาษไปด้วยประทุมชาติ และคลาคล่ำไปด้วย หมู่สัตว์น้ำต่างพรรณ ขอบสระมีมณฑปชื่อ "ภคลวดี" กว้างใหญ่ 12 โยชน์ สำหรับเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ ปกคลุมด้วยเครือเถาภควดีลดาวัลย์ ซึ่งมีดอกออกสะพรั่งห้อยย้อยเป็นพวงพู ณ สถานที่นี้ เป็นสโมสรสถานของเหล่ายักษ์บริวาร และยังมีนครสำหรับเป็นที่แปรเทพยสถานอีก 10 แห่ง ท้าวกุเวรมียักษ์เป็นเสนาบดี 32 ตน ยักษ์รักษาพระนคร 12 ตน ยักษ์เฝ้าประตูนิเวศ 12 ตน ยักษ์ที่เป็นทาส 9 ตน
นอกจากนี้ยังมีกล่าวว่า ท้าวเวสวัณยังมีกายสีเขียว สัณฐานสูง 2 คาวุต ประมาณ 200 เส้น มีอาวุธเป็นกระบอง มีพาหนะ ช้าง ม้า รถ บางทีปราสาท อาภรณ์มงกุฎประดับรูปนาค ดำรงอิสริยศเป็นเจ้าแห่งยักษ์ มีบริวารแสนโกฏิ ถือโล่แก้วประพาฬ หอกทอง
อ้างอิงข้อมูล: ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, กรุงเทพพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน, 2556, หน้า 1130
ร้อยเรียงเรื่องราว
(T.Mon)
30/8/2020

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา