4 ก.ย. 2020 เวลา 03:00 • หนังสือ
อย่าปล่อยให้ใครฆ่า "วาฬ" ของคุณ
...
ทำไมคนจำนวนมากถึงยอมทิ้งความฝันของตัวเอง แล้วทำตามสิ่งที่คนอื่นบอกว่าดี ?
สิ่งใดที่คุณห้ามทำเด็ดขาดถ้าอยากประสบความสำเร็จแบบที่ไม่มีใครตามทัน ?
ถ้ามีเวลาแค่ 10 วัน คุณจะเอาชนะคนที่เหนือกว่าในทุก ๆ ด้านได้อย่างไร ?
หนังสือเล่มนี้มีคำตอบ
คุณจะได้พบกับ 36 วิธีคิดที่เรียบง่าย แต่ทรงพลังและใช้ได้ผลจริง ซึ่งช่วยให้คนธรรมดาและธุรกิจเล็ก ๆ พลิกกลับมาเป็นต่อ แล้วประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังแข็งแกร่งขึ้นทุก ๆ วัน จนยากที่จะมีใครโค่นลงได้
แล้วคุณจะพบว่า สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ “เก่งแค่ไหน” แต่อยู่ที่ “รู้อะไร” ต่างหาก เพียงนำเคล็ดลับเหล่านี้ไปใช้ แล้วคนธรรมดาอย่างคุณก็จะเอาชนะได้แม้แต่กับคนที่ตัวใหญ่กว่าเป็น 10 เท่า!
พร้อมแล้วก็ไปอ่านหนังสือเล่มนี้พร้อมกันได้เลย !
คุณคงเคยได้ยินคนมากมายที่บอกว่า เขาเป็นแค่คนธรรมดาจะไปทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร
- เงินไม่พร้อม
- ร่างกายไม่พร้อม
- การศึกษาไม่พร้อม
- ครอบครัวไม่พร้อม
- ฯลฯ
แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงหรอครับ ?
ทุก ๆ คนไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม สามารถสร้างความแตกต่างและความทรงจำที่ดีให้กับลูกค้าได้ และสิ่งนี้แหละที่จะจูงใจให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอีก เพียงแค่ใส่ความแตกต่างที่เป็นตัวเราลงไปในงาน อะไรก็ได้ที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษ
การเปลี่ยนแปลงในเรื่องเล็ก ๆ อาจสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้ เราจะเกิดมาเป็นอะไรก็ไม่สำคัญ สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ต่างหากที่จะเป็นตัววัดค่าของคุณ
เพราะใคร ๆ ก็สร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้ไม่ว่าจะตัวเล็กแค่ไหน แต่ต้องเริ่มจากการลงมือทำ
ไฟที่ลามออกไปเป็นวงกว้างล้วนเริ่มต้นจากประกายไฟเล็ก ๆ ทุกครั้ง ถ้าอยากสร้างความเปลี่ยนในวงกว้างในวันพรุ่งนี้… "ก็จงมองว่าตัวเองเป็นไม้ขีดไฟเสียตั้งแต่วันนี้เลย"
ข้อจำกัดจึงเป็นแรงผลักดันให้เกิดความคิดสร้างสรรค์อย่างแท้จริง หลายคนคิดว่าการจะมีความคิดสร้างสรรค์ได้ คือ ต้องมีอิสระมาก ๆ ต้องทำงานในสถานที่ติสท์ ๆ ต้องเขียนหนังสืออยู่ริมทะเล ต้องมีอุปกรณ์ดี ๆ ต้องมีเงินทุนสนับสนุน ฯลฯ
แต่จริง ๆ แล้วความคิดสร้างสรรค์ที่ทรงพลังมักจะมาจากตอนที่เราไม่มีอะไรเลยต่างหาก เพราะเวลานั้นเราต้องเค้นพลังออกมาเพื่อใช้สิ่งที่มีอยู่ให้ดีที่สุด
เหตุผลที่เรามักทำงานเสร็จก่อนจะถึงเส้นตายแบบพอดิบพอดี ข้อจำกัดเหล่านี้จึงเป็นตัวช่วยลดการผัดวันประกันพรุ่งได้ดีมาก และทำให้เราต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง
ผู้ชนะใช้ข้อจำกัดเป็นพลัง ส่วนพวกขี้แพ้ใช้มันเป็นข้ออ้าง
ไม่มีอะไรจำกัดคุณได้เท่ากับการไม่รู้ข้อจำกัดของตัวเอง !!!
ความสามารถในการนำเสนอนั้นสำคัญอย่างยิ่งครับ โดยเฉพาะในสังคมที่เดินทางด้วยความเร็วสูงอย่างทุกวันนี้ เพราะทุกคนถูกถล่มด้วยข้อมูลมากมาย ผู้ชนะคือ คนที่คนอื่นยอมหยุดฟังเรื่องที่เขาพูดเท่านั้น
ในช่วงเวลาเหล่านี้เองที่คุณต้องอวดดี เพราะมันเป็นสิ่งที่ตัดสินอนาคตของคุณได้เลย
##### 6 ความลับของการนำเสนองานที่ดี #####
1. สร้างภูเขาน้ำแข็ง
หมายความว่าให้คุณพูดเพียง 10% ของสิ่งที่เตรียมไป ส่วน 90% ที่เหลือนั้นคือ ข้อมูลที่เตรียมไว้เพื่อรองรับคำถามที่จะตามมา
การทำการบ้านไปก่อนจึงสำคัญมาก ผู้ฟังคือใคร มีความรู้มากแค่ไหน เรื่องพวกนี้ต้องเตรียมไปให้ดี
2. พูดแต่ความจริง
กระชับและหนักแน่น อย่าแต่งเติมสิ่งที่ไม่จำเป็นเข้าไป
3. เริ่มต้นแบบระเบิดลง
ถ้าคุณไม่สามารถเรียกความสนใจของผู้ฟังตั้งแต่ 30 วินาทีแรกได้ คุณจะเริ่มซวยแน่นอน เพราะฉะนั้นการเริ่มต้นอย่างทรงพลังจึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นตัวอย่างหรือตัวเลขทางสถิติ ขอให้แน่ใจว่าผู้ฟังจะต้องอ้าปากค้างเมื่อได้ยิน
4. ตอบคำถามว่า “ทำไม”
ต้องตอบคำถามคนที่นั่งฟังอยู่ให้ได้ว่า “ทำไม” เราต้องมานั่งอยู่ด้วยกันในวันนี้ เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับชีวิตผู้ฟังอย่างไร อย่าลืมนะครับว่า เราไม่ได้พูดให้ต้นไม้ฟัง แต่เราพูดให้คนฟัง นี่เป็นเรื่องง่าย ๆ ที่หลายคนมองข้าม จงระวังไว้ให้ดี
5. ทุกอย่างคือบทสนทนา
ไม่ว่าคุณจะประชุดกับคน 3 คน หรือบรรยายให้คน 1,000 คนฟัง สิ่งที่คุณกำลังทำคือ การพูดกับผู้ฟังแต่ละคน ทีละคน เพราะฉะนั้นมันต้องไปให้ “ถึง” คนฟัง อย่าพูดแต่สิ่งที่เราอยากพูด ให้สังเกตด้วยว่าคนฟังต้องการฟังอะไรในตอนนั้น
6. ซ้อม ซ้อม ซ้อม และซ้อม
ไผท ผดุงถิ่น ซีอีโอของ Builk Asia บริษัท startup แถวหน้าของประเทศไทย เคยเล่าให้ฟังว่า ตอนที่เขาต้องนำเสนองานที่ Silicon Valley ในโครงการ 500 startup ซึ่งมี startup ระดับโลกมารวมตัวกันนั้น เขาซ้อมถึง 200 รอบสำหรับการพูดแค่ 3 นาที
ไม่แปลกใจที่ Builk มีนักลงทุนมาจีบเพียบ เพราะนอกจาก product จะเจ๋งแล้ว ผู้นำองค์กรยังเข้าใจและเห็นความสำคัญของการนำเสนอที่สยบคนฟังได้อยู่หมัด
ในชีวิตผมเห็นคนเก่งมากมายที่ไปไม่ถึงไหน เพราะไม่สามารถเอาความเก่งออกมา “ขาย” ให้โลกรู้ได้ และไม่ใช่แค่ขายตัวคุณเองเท่านั้น ถ้าคุณเป็นเจ้าของสินค้า คุณก็ต้องงัดเอาส่วนดีของมันมาประกาศให้เป็นประจักษ์
อวดให้โลกเห็นไปเลยว่าสินค้าของคุณมีดี… แล้วมันจะกลายเป็น Perfect Pitch ที่ทุกคนจดจำ
เพราะปัจจุบันเราอยู่ในโลกของการสร้างนวัตกรรมที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่มาจากการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคน
Larry Page ซีอีโอของ Google เป็นคนหนึ่งที่คิดแบบนี้ เขาเชื่อว่า นวัตกรรมไม่ได้มาจากการพัฒนาแบบทีละน้อย (Incremental Change) แต่เป็นการพัฒนาแบบหน้ามือเป็นหลังมือ (Disruptive Change) และ Page ก็ไม่เชื่อด้วยว่า การแข่งขันแต่กับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันจะสร้างนวัตกรรมขึ้นมาได้ เพราะมันเป็นการพัฒนาในขอบเขตที่จำกัดและเล็กจนเกินไป Page ไม่คิดว่า Mindset ที่ว่า “เราเจ๋งกว่าคู่แข่ง” จะเพียงพอ
แต่ต้องเป็น Mindset ที่บอกว่า “ฉันต้องการจะเปลี่ยนแปลงโลก” นั่นแหละความอัศจรรย์ถึงจะเกิดขึ้นมาได้
นี่เป็นที่มาของการตั้งคำถามและความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ Larry Page เรียกมันว่า "การตั้งคำถามแบบ 10X"
มันคือต้นกำเนิดของคำตอบที่จะช่วยแก้ปัญหาให้ดีขึ้นเป็น 10 เท่า!
อยากเปลี่ยนโลกต้องตั้งคำถามแบบ 10X ครับ !!
พูดถึงคุณอนันต์ อัศวโภคิน ชื่อนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก ทุกคนรู้กันอยู่แล้วว่าท่านเป็นหนึ่งในสุดยอดนักธุรกิจของไทย และเป็นไอดอลของใครหลาย ๆ คน
เรื่องของ Terminal 21 ซึ่งเกิดมาจากแนวคิดของท่านที่ว่า ในแนวรถไฟฟ้ามีแต่ห้างที่มำเพื่อคนกลุ่ม B+ ถึง A+ ทั้งนั้น ไล่ตั้งแต่ Siam Paragon ,CentralWorld ,Central Chidlom ,Central Embassy ,Emporium ไปจนถึง EmQuartier คุณอนันต์เลยอยากสร้างห้างที่จับลูกค้ากลุ่มอื่นบ้าง
ตอนเริ่มสร้าง Terminal 21 ท่านพยายามคิดว่าจะหาอะไรเป็นแม่เหล็กดึงดูดคนเข้าศูนย์การค้า คุณอนันต์ก็เลยคิดว่าเพราะยังไงคนก็ต้องกินอาหารทุกวัน ท่านเลยคิดว่างั้นทำให้คนที่มากินอาหารมีความสุขและสบายกระเป๋าดีกว่า
ก็เลยเกิดศูนย์อาหาร Terminal 21 ขึ้นมา
ทุกอย่างภายในศูนย์การค้าถูกออกแบบมาเพื่อให้ศูนย์อาหารกลายเป็นแม่เหล็กดึงดูดผู้คนจริง ๆ แม้แต่บันไดเลื่อนขาขึ้นก็ยังออกแบบมาให้คนเดินไปศูนย์อาหารได้ง่ายและรวดเร็ว เมื่อกินเสร็จแล้วค่อยเดินลงมาดูร้านค้าก็ไม่ได้ช้าเกินไป
ทั้งหมดที่ทำมานี้คุณอนันต์บอกว่าขาดทุนอยู่ปีละ 20 ล้านบาท ทุกท่านอาจจะงง ขาดทุน 20 ล้านจะเป็นเรื่องที่ดีได้อย่างไร จริง ๆ แล้วมันเป็นเรื่องที่ดีมากเลยครับ ถ้าเรามองว่ามันเป็นงบประมาณการตลาดของศูนย์การค้าแห่งนี้ เพราะสำหรับงบการตลาด 20 ล้านนี่ทำโฆษณาอะไรแทบไม่ได้เลยครับ แถมทำไปแปปเดียวคนก็ลืม
กลยุทธ์นี้จึงเรียกได้ว่า คมกริบ มองอะไรขาดสุด ๆ
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
คนที่เก่งสุด ๆ ไม่เคยมองอะไรชั้นเดียว พวกเขามองหลายชั้นเสมอ บางทีกำไรไม่ได้แปลว่ากำไร ขาดทุนอาจไม่ได้แปลว่าขาดทุน ถ้าเรารู้ว่าขาดทุนไปเพื่ออะไร
บางทีกำไรไม่ได้แปลว่ากำไร ขาดทุนอาจไม่ได้แปลว่าขาดทุน ถ้าเรารู้ว่าขาดทุนไปเพื่ออะไร
คุณเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่อง Pike Syndrome ไหมครับ?
Pike Fish เป็นชื่อปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งซึ่งมีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกาเหนือ มันเป็นปลาตัวใหญ่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความดุร้าย โดยจะกินปลาที่มีขนาดเล็กกว่าเป็นอาหาร เวลา Pike Fish ตะครุบเหยื่อ ตาของมนุษย์ก็แทบจะมองไม่ทันเลยทีเดียว
วันหนึ่งนักวิทยาศาสตร์ลองจับเจ้า Pike Fish มาอยู่ในตู้ปลาขนาดใหญ่ ในตู้ปลามีปลาตัวเล็ก ๆ อยู่เต็มไปหมด แต่ Pike Fish ถูกกั้นจากปลาตัวเล็ก ๆ เหล่านั้นด้วยกระจกใส
แน่นอนว่าเจ้า Pike Fish พุ่งเข้าหาเหยื่อทันทีแต่ก็ชนกับกระจกครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดมันก็หมดกำลังใจและมานอนนิ่งอยู่ที่ก้นตู้ปลา
1
ในจังหวะเดียวกันนี้นักวิทยาศาสตร์จึงเอากระจกกั้นออก ทำให้ปลาตัวเล็ก ๆ มาว่ายอยู่รอบเจ้า Pike Fish เต็มไปหมด แต่มันไม่สนใจกินปลาตัวเล็ก ๆ เหล่านั้นอีกแล้ว ได้แจ่นอนเฉย ๆ สุดท้ายปลาจอมโหดที่แสนดุร้ายก็อดตาย ทั้ง ๆ ที่มีอาหารอยู่รอบตัวเต็มไปหมด
สำหรับเจ้า Pike Fish กระจกยังคงอยู่ตรงนั้นเสมอ ถึงแม้จะไม่มีอยู่จริงแล้วก็ตาม
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า…
อย่าให้ความล้มเหลวอยู่กับเราตลอดไป ไม่อย่างนั้นวันหนึ่งเราอาจตาย เพราะขาดกำลังใจที่จะไล่ตามความฝัน เพราะไม่กล้าเดินผ่านกำแพงแห่งความล้มเหลว ทั้ง ๆ ที่กำแพงนั้นไม่มีอยู่จริง
การสร้างแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือคน สิ่งสำคัญคือสารที่สื่อออกไปต้องง่าย ชัดเจน และทรงพลัง
ย้อนกลับไปในปี 1904 ที่ซานฟรานซิสโก้ ประเทศสหรัฐอเมริกา Amadeo Giannini มีพื้นเพเป็นชาวอิตาลี เขาเลิกเรียนหนังสือตอนอายุ 13 ปี เขาเริ่มหางานทำโดยทำงานให้กับบริษัทซื้อขายสินค้าเกษตร
หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้ไม่นาน เขาก็ออกมาเปิดบริษัทซื้อขายสินค้าเกษตรด้วยตัวเองและประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ภายหลังจึงย้ายมาทำงานให้กับสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง ที่นี่เองที่ทำให้เขาได้เห็นว่าสถาบันการเงินที่มีอยู่ในตอนนั้นต่างให้บริการแก่บุคคลและธุรกิจในระดับบนของสังคม พูดง่าย ๆ คือ เน้นบริการพวกเศรษฐี ตรงนี้เองทำให้เขาเห็นช่องว่างทางการตลาด
Amadeo เห็นว่ามีชาวอิตาลีที่ยากจนจำนวนมากเดินทางมาตามหาความฝันในอเมริกา เขาเข้าใจคนเหล่านี้ดี พวกเขาทำงานหนักและเก็บหอมรอมริบเพื่อหวังจะมีชีวิตที่ดีกว่า พวกเขาต้องการสถาบันการเงินที่มั่นใจได้ว่าจะเก็บรักษาทรัพย์สินของพวกเขาเป็นอย่างดี
Amadeo จึงคิดชื่อที่แสนจะเรียบง่ายที่สุดและเปิดสำนักงานเล็ก ๆ แล้วแปะป้ายไว้ว่า Bank of Italy หลังจากนั้น Bank of Italy ก็เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วจนขยายสาขาไปทั่วรัฐแคลิฟอร์เนีย
Amadeo เล็งเห็นว่าธนาคารจะให้บริการเฉพาะคนอิตาลีไม่ได้อีกแล้ว ถึงเวลาที่จะต้องให้บริการแก่คนทั้งประเทศ ภายหลังการควบรวมกิจการ ธนาคารก็เปลี่ยนชื่อเป็น Bank of America ซึ่งเป็นชื่อที่ง่ายและบอกชัดเจนว่าจุดประสงค์ของธนาคารคืออะไร
กิจการธนาคารเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นธนาคารที่ใหญ่เป็นิันดับ 2 ของประเทศ
Bank of America ได้ออกบริการบัตรเครดิตเป็นครั้งแรกของโลกในปี 1958 โดยใช้ชื่อว่า BankAmericard จากนั้นกิจการของ BankAmericard ก็เริ่มขยายออกนอกประเทศจนกลายเป็นกิจการระดับนานาชาติ
ชื่อ BankAmericard จึงสื่อความหมายได้ไม่ครอบคลุมอีกต่อไป พวกเขาต้องการชื่อไม่ว่าคุณจะไปที่ไหนในโลก เพียงแค่มีบัตรเครดิตนี้ คุณก็สามารถมีเงินติดตามไปด้วยเสมอ เมื่อต้องเดินทางจะนึกถึงตั๋ว พาสปอร์ต และวีซ่า วีซ่าเปรียบเหมือนบัตรผ่านของการเดินทาง
BankAmericard จึงเปลี่ยนชื่อเป็น VISA
ง่าย ชัดเจน และทรงพลัง VISA เป็นธุรกิจบัตรเครดิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งหมดสะท้อนถึงปรัชญาของ Amadeo เขาต้องการสิ่งที่ง่ายและชัดเจน เขาเข้าใจถึงหัวใจของการสร้างแบรนด์
หัวใจของการสร้างแบรนด์คือ การสื่อสารที่ดี ท่องไว้นะครับ
“ง่าย ชัดเจน และทรงพลัง”
ถ้าตั้งใจจะทำอะไร จงลงมือทำ อย่าให้เสียงสงสัย เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่นมาฉุดรั้งไว้
ถ้าเชื่ออะไรแล้วจงลงมือทำ ทำ ทำ จนผลงานเป็นที่ประจักษ์ หลายคนอาจมองว่าเรื่องนี้ Basic มาก หลายคนทิ้งความฝันของตัวเองกลางทาง เพราะเสียงคนรอบข้างดังกว่าเสียงในใขของเราเอง มันเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริง ๆ
ขอแค่เราฟังเสียงในใจเรา และลงมือทำมันวันนี้… ตอนนี้!
อีกทีนะครับ อย่าปล่อยให้เสียงของใครดังกว่าเสียงในใจของเราเอง
พฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จนทำให้กฎเกณฑ์ด้านการตลาดที่เคยยึดถือกันมานั้นเรียกได้ว่าไม่มีอีกต่อไป
ในการแข่งขัน Super Bowl เมื่อไม่กี่ปีก่อนมีแคมเปญโฆษณาที่ได้รับการกล่าวถึงมากที่สุด เป็นแคมเปญโฆษณาของ Volvo
แคมเปญของ Volvo ซึ่งมีเอเจนซี่อย่าง Grey New York อยู่เบื้องหลังนั้น บอกว่าทุกครั้งที่คุณเห็นโฆษณารถยนต์ของค่ายอื่นให้ทวีตโดยใส่ชื่อทวิตเตอร์ของเพื่อนหรือคนที่คุณรักที่อยากจะให้ได้รับรถ Volvo XC60 พร้อมใส่แฮชแท็กว่า #VolvoContest
ง่าย ๆ แค่นี้เพื่อหรือคนรักของคุณก็มีโอกาสจะได้รับรถไปขับกันฟรี ๆ เลย
ประเด็นคือ ในระหว่างที่บริษัทรถยนต์ยี่ห้ออื่นฉายโฆษณา 30 วินาทีโดยต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินค่าโฆษณา 4.5 ล้านเหรียญ (และค่าผลิตโฆษณาอีกไม่รู้เท่าไหร่) ผู้คนจำนวนมากกลับก้มลงมองที่หน้าจอมือถือเพื่อทวีตข้อความชิงรถ Volvo ซึ่งข้อความที่พิมพ์ก็ยาวพอที่จะทำให้คนพิมพ์แทบไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองจอทีวีอีก นั่นหมายความว่า ผู้คนจะไม่ได้ดูโฆษณาของรถยนต์ยี่ห้ออื่นเลย
สรุปว่า ตลอดช่วงการแข่งขัน Super Bowl บริษัทรถยนต์ยี่ห้ออื่นอย่าง Mercedes ,Lexus และ BMW ใช้เงินโฆษณารวมกันไปทั้งหมด 60 ล้านเหรียญ
Volvo ไม่ได้จ่ายอะไรเลย แต่กลับขโมยซีนซะงั้น เพราะ Volvo เป็นบริษัทรถยนต์เพียงบริษัทเดียวที่ถูกพูดถึงไปทั่วไประเทศและทั่วโลกในระหว่างการแข่งขัน Super Bowl
ยอดขายของ Volvo XC60 พุ่งขึ้นถึง 70% ในเดือนถัดมา พูดได้ว่าสูงที่สุดในตลาดรถยนต์กลุ่มนี้เลยทีเดียว
อย่างที่บอกครับ กฎเกณฑ์ไม่มีอยู่จริง!
ให้คุณสร้างกิจวัตรที่ดีขึ้นมาหนึ่งอย่าง ขอแค่รอบสั้น ๆ สัก 45 วันก็พอ กิจวัตรที่ดีคืออะไร? มันคือการสัญญากับตัวเองว่า ไม่ว่าชีวิตของเราช่วงนี้จะเป็นอย่างไร เราจะต้องบังคับตัวเองให้ทำเรื่องดี ๆ หนึ่งอย่าง
ตัวอย่างเช่น กิจวัตรที่ดีของผมในรอบนี้คือ การตื่นนอนตีห้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นผมก็ต้องตื่นตีห้าให้ได้สัก 45 วัน จะตื่นตีห้ามาดู The Walking Dead ก็ได้ เพราะกิจวัตรที่ดีหนึ่งอย่างจะส่งผลให้เกิดกิจวัตรทีี่ดีตามมาอีกหลายอย่างในวันนั้นโดยที่ไม่ต้องพยายามอะไรมากเลย
เมื่อตื่นตีห้า ก็จะมีพลังอยากทำอะไรบางอย่างดี ๆ ให้กับตัวเอง เมื่อพลังบวกเริ่มเข้ามา เรื่องดี ๆ ก็จะหลั่งไหลตามมา
การสร้างนวัตกรรมไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับสินค้าไฮเทคเท่านั้น และมันก็ไม่ใช่่แค่การสร้างสิ่งแปลกใหม่ที่ไม่เคยมีใครคิดขึ้นมา นวัตกรรมสามารถเกิดขึ้นกับของเดิม ๆ ได้ แค่เราต้องหามุมมองใหม่เท่านั้นเอง
โลกใบนี้มีคนฉลาดอยู่มากมาย ปัจจัยที่ตัดสินชี้ขาดได้ก็คือ...
การรู้จักคิดนอกกรอบให้แตกต่างจากคนอื่น ๆ นั่นเอง
บางครั้งในโลกแห่งความเป็นจริงอันโหดร้าย การนำเสนอก็สำคัญกว่าเนื่้อหา
Arrels Foundation เป็นองค์กรที่่ก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือคนไร้บ้าน ซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ของสเปน สิ่งที่คนไร้บ้านต้องการไม่ใช่แค่อาหารและที่พักเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการได้รับการยอมรับที่เท่าเทียมกันในฐานะมนุษย์ด้วย
ดังนั้น นอกจากจะแก้ปัญหาพื้นฐานด้วยการจัดหาปัจจัยสี่แล้ว Arrels Foundation ยังริเริ่มโครงการต่าง ๆ โดยมีจุดมุ่งหมาย 3 ประการด้วยกันคือ
1. ทำให้คนไร้บ้านรู้สึกถึงความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกับคนอื่น ๆ
2. ทำให้คนในสังคมเข้าใจปัญหาของคนไร้บ้าน
3. เพื่อหาเงินมาสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร
จุดเริ่มต้นมาจากการที่บรรดากราฟิกดีไซเนอร์เห็นว่าลายมือที่คนไร้บ้านเหล่านี้เขียนลงบนกล่องลังกระดาษที่พวกเขาใช้พักอาศัย หรือกระดาษที่พวกเขาเขียนขอเงินบริจาคมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง บ้างก็ดูสวยงามเป็นระเบียบ บ้างก็ดูทรงพลัง บ้างก็ดูมีมิติ บ้างก็หยาบแต่สง่างามในเวลาเดียวกัน
พวกเขาจึงคิดโครงการชื่อ Homelessfonts ขึ้นมา โดยมุ่งหวังเพื่อจะแก้โจทย์ทั้ง 3 ที่ Arrels Foundation ตั้งไว้ วิธีการคือ ให้คนไร้บ้านเหล่านี้เขียนตัวอักษรจาก A-Z ซ้ำไปซ้ำมาจนได้รูปแบบที่สมบูรณ์ แล้วจึงนำไปทำเป็นฟอนต์ที่เปิดให้ดาวน์โหลดไปใช้งานได้
พูดง่าย ๆ คือ...
ให้คนไร้บ้านเหล่านี้เป็นนักออกแบบฟอนต์นั่นเอง
โครงการนี้ได้รับการพูดถึงจากสื่ออย่างกว้างขวางทั้งในและนอกสเปน จะว่าไปแล้วฟอนต์เหล่านี้ก็ไม่คอยต่างจากฟอนต์ที่มีอยู่ในท้องตลาดสักเท่าไหร่ แต่วิธีการเล่าที่มาของมันนั้นจับใจกว่าเยอะ
ในโลกอันสุดแสนจะหนวกหูอย่างทุกวันนี้ วิธีการเล่าสำคัญพอ ๆ กับเรื่องที่เล่านะครับ เรื่องที่เล่าจะดีแค่ไหน แต่ถ้าวิธีการเล่าไม่ได้เรื่อง ก็ไม่มีใครฟังครับ
David Hoevath เป็นคนคิดอะไรไม่เหมือนชาวบ้านเสมอ วันหนึ่งในชั้นเรียน ขณะที่เขาต้องวาดภาพนางแบบกึ่งเปลือย David ก็เหลือบไปเห็นเพื่อนนักเรียนนั่งอยู่ข้าง ๆ ชื่อ Sun-Min Kim สาวสวยชาวเกาหลีที่เขาแอบปลื้มมาสักพักแล้ว แต่ยังไม่ได้ทำความรู้จักกันเสียที เขาเลยคิดแผนที่จะสร้างความประทับใจให้เธอ
ดังนั้น แทนที่จะวาดรูปนางแบบให้ออกมาสวย ๆ เหมือนที่คนอื่นทำ เขากลับวาดออกมาเป็นรูปการ์ตูนที่ดูน่าเกลียด เหมือนปีศาจที่มีแขนขาลีบ ตาถลนออกมานอกเบ้า และแลบลิ้นนิด ๆ
แม้อาจารย์จะไม่เห็นด้วย และคำแนนคงจะออกมาห่วยแตกมาก แต่แผนของเขาก็ได้ผล สาว Kim บอกกับ David ว่าเธอชอบรูปที่เขาวาดและสิ่งที่เขาพูดก็น่าสนใจดี และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของทั้งสอง
ต่อมาเมื่อ Kim ต้องเดินทางกลับเกาหลี David รู้สึกเศร้ามากที่ต้องห่างจากคนรัก เขาจึงคอยเขียนจดหมายไปหาเธออยู่เสมอ และในจดหมายนั้นก็ลงท้ายด้วยการวาดรูปเจ้า Wage หรือตัวการ์ตูนที่ทำให้ทั้งสองได้มารู้จักกันนั่นเอง
มันคือ เจ้าสัตว์ประหลาดที่มีหน้าตาใสซื่อ มีฟันสองซี่ และมีหูที่จะแหลม
ส่วนสาว Kim เองก็คิดถึง David ไม่น้อยเหมือนกัน วันหนึ่งเธอจึงไปซื้อผ้าสีส้ม และลงมือตัดเย็บเจ้า Wage จากรูปในกระดาษออกมาเป็นตุ๊กตาตัวจริง ๆ แล้วส่งกลับไปเป็นของขวัญให้ David ด้วยความปลาบปลื้มใจ David จึงเอาไปอวดเพื่อนคนหนึ่งทันทีที่เห็นตุ๊กตา เพื่อนคนนี้ซึ่งเป็นเจ้าของร้านขายของสะสมจากญี่ปุ่นชื่อ Giant Robot ก็พูดขึ้นมาว่า “เฮ้ย! มันสวยดีว่ะ ฉันขอซื้อ 20 ตัว”
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ทั้งสองหมั้นหมายกัน แล้วเริ่มทำธุรกิจกันอย่างเต็มตัว เจ้าตุ๊กตา Uglydoll จึงเกิดขึ้น
ในปี 2012 จากความรักและงานีมือเล็ก ๆ ของสองหนุ่มสาว ตุ๊กตา Uglydoll กลายมาเป็นธุรกิจที่มีรายได้ปีละ 100 ล้านเหรียญ
หนึ่งในปัญหาใหญ่ของแบรนด์ที่เห็นในปัจจุบันคือ ความไม่เสมอต้นเสมอปลายในการสื่อสารแบรนด์ของตัวเอง ผลที่ตามมาคือ ลูกค้าจะจำแบรนด์ของคุณไม่ค่อยได้ ทำไมน่ะหรอครับ เพราะทุกวันนี้ลูกค้าถูกถล่มด้วยแบรนด์ต่าง ๆ นับพัน ตั้งแต่ตื่นยันหลับ ถ้าสารที่สื่อออกไปไม่หนักแน่นและเสมอต้นเสมอปลายก็คงไม่มีใครจำได้หรอกครับ
สื่อสารให้หนักแน่นและเสมอต้นเสมอปลายเข้าไว้ แล้วเรื่องน่าประหลาดใจจะหลั่งไหลเข้ามาครับ
หนึ่งในสูตรลับที่รับประกันความล้มเหลวคือ การทำธุรกิจแบบ Me too เห็นใครทำอะไรสำเร็จก็เลียนแบบ โดยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุว่าทำไมเขาถึงทำแบบนั้น
การทำธุรกิจแบบ Me too จึงไม่มีแก่น ไม่มีราก เมื่อไม่มีรากจึงไม่มีแรงบันดาลใจ เมื่อไม่มีแรงบันดาลใจจึงไม่มีเรื่องราวที่มาที่ไปหรือ Story แค่นี้ก็เตรียมตัวเจ๊งได้เลย
เราทราบกันดีอยู่แล้วว่าการเล่าเรื่องหรือ Storytelling นั้นสำคัญกับการขายของเพียงใด Storytelling ของแบรนด์ต้องมาจากแก่นที่แท้จริงว่า แบรนด์นั้นดำรงอยู่เพื่ออะไร มันจึงไม่ใช่การเล่าว่าสินค้าหรือบริการมีที่มาที่ไปอย่างไร แต่เป็นการบอกเล่าเรื่องราวของทุก ๆ จุดที่ลูกค้าได้สัมผัสสินค้าหรือบริการนั้น
ก่อนจะทำอะไร จงหาแรงบันดาลของตัวเองให้เจอ จะได้ไม่ติดกับดักของการทำธุรกิจแบบ Mee too
ขอแค่คุณเข้าใจตัวเลขของธุรกิจของคุณ ถ้าคุณกำลังบริหารโรงงาน คุณรู้ไหมว่าจุดคอขวดของคุณอยู่ตรงไหน และของชิ้นใดมีต้นทุนการผลิตต่อราคาขายสูงที่สุด ถ้าคุณเป็นเจ้าของร้านค้า คุณรู้ไหมว่าของชิ้นไหนมีกำไรต่ออัตราการหมุนเวียนของสินค้าต่ำสุด และคุณจะทำอย่างไรกับมัน แล้วสินค้าคงคลังที่ไม่เคลื่อนไหวล่ะ คุณได้ดูครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
ถ้าคุณเข้าใจว่าตัวเลขพวกนี้กำลังบอกอะไร แค่บวกลบคูณหารเป็นก็เกินพอแล้วครับ
เมื่อหลายร้อยปีก่อน ทวีปอเมริกาเหนือมีควายป่าอยู่เยอะมาก ควายป่าพวกนี้ตัวหนึ่งหนักเกือบตัน ซึ่งหนักพอ ๆ กับรถซิตี้คาร์หนึ่งคันเลยทีเดียว หากเราล้มควายป่าพวกนี้ได้แค่ตัวเดียว เราจะมีเนื้อให้ครอบครัวกินไปเป็นเดือน มีหนังเอามาทำเครื่องนุ่งห่มและอาจรวมไปถึงที่พักอาศัย มีกระดูกเอามาทำอาวุธ รวมถึงเครื่องมือ อุปกรณ์ต่าง ๆ
แต่แน่นอนว่าการล่าควายป่าพวกนี้ไม่ใช่เรื่องหมู ๆ เพราะนอกจากขนาดตัวที่ใหญ่มาก ๆ แล้ว พวกมันยังมีสัญชาตญาณในการป้องกันตัวที่ดี แถมยังเคลื่อนที่ได้เร็วอีกต่างหาก ที่สำคัญคือ พวกมันชอบอยู่กันเป็นฝูงซะด้วย การเข้าไปล่ามันทีละตัวจึงเป็นความคิดแบบหาที่ตายชัด ๆ
ชนเผ่าที่ชื่อว่า Blackfoot พวกเขาใช้จุดแข็งในการอยู่ร่วมกันเป็นฝูงของควายป่ามาสร้างเป็นจุดอ่อนให้พวกมันเอง พวกเขาจะไม่พยายามล่าควายป่าทีละตัว เพราะมันอันตรายเกินไป จะให้ล้อมทั้งฝูงก็ไม่ไหว เพราะมีทรัพยากรไม่พอ
วิธีการคือ นักล่าจะปลอมตัวด้วยการใส่ชุดหมาป่าเป็นศัตรูตามธรรมชาติของควายป่า เมื่อควายป่าเห็นหมาป่า พวกมันก็จะวิ่งหนีกันอย่างตื่นตระหนก พอตัวหนึ่งวิ่ง อีกตัวก็วิ่งตาม เกิดเป็นแรงส่งขึ้นมา พวกมันจะวิ่งไปในเส้นทางที่เหล่านักล่าของชนเผ่า Blackfoot ได้กำหนดไว้ตั้งแต่ต้น
ไม่ต้องออกแรงอะไรมาก ควายป่าทั้งฝูงก็ตกหน้าผาลงไปนอนแน่นิ่งอยู่ที่ด้านล่าง เรียกว่าเป็นการล่าโดยไม่ต้องล่า แค่ออกล่าเพียงครั้งเดียว ชนเผ่า Blaackfoot ก็มีอาหาร เครื่องนุ่งห่ม และอุปกรณ์กับของจำเป็นอื่น ๆ สำหรับคนทั้งเผ่าไปอีกหลายเดือน
การล่าควายป่าไม่แตกต่างจากการขายของ ในยุคนี้บางทีผู้เล่นรายเล็ก ๆ จะขายของตรง ๆ ก็ลำบาก จะล้อมทั้งตลาดก็ต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล แต่ทุกอย่างล้วนมีทาเลือกที่สามเสมอ นั่นคือ ทางเลือกที่สร้างความประหลาดใจให้กับตลาด พอเกิดความประหลาดใจก็จะเกิดแรงส่ง แรงส่งของการขายของคือ การบอกต่อแบบปากต่อปาก ไม่มีการโฆษณาไหนบนโลกดีไปกว่าวิธีนี้อีกแล้ว
การสร้างแรงส่งก็เหมือนกับวิธีการที่ชนเผ่า Blackfoot ใช้ พวกเขาไม่ต้องใช้ทรัพยากรอะไรมากมายเลย แค่ต้องใช้สมองให้มากหน่อยเท่านั้นเอง
คำถามคือ จะทำงานกับคุณพ่ออย่างไรให้ได้รับความไว้วางใจและมีอิสระในการทำงาน ซึ่งสิ่งที่ผู้ใหญ่มองหาในตัวคนหนุ่มสาวมีหลายอย่าง แต่จากประสบการณ์ของท่าน สิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือ ความสามารถในการตอบสนองอย่างฉับไว (Responsive) การตอบสนองต่อทุกงานที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วครับ เรียกว่าสั่งอะไรไปต้องมีการรายงานกลับมาให้เร็ว ไม่ว่างานจะเสร็จหรือไม่ก็ตาม ไม่ต้องให้คนสั่งเอ่ยปากถามเอง
ไม่เฉพาะหัวหน้ากับลูกน้องที่เป็นพ่อแม่กับลูกเท่านั้น หัวหน้ากับลูกน้องธรรมดาก็ต้องการการตอบสนองอย่างฉับไวเช่นกัน ตัวอย่างเช่น เวลาหัวหน้าสั่งงานทางอีเมล์ ผ่านไปสองวันแล้วยังเงียบสนิท คนแบบนี้จะเป็นใหญ่เป็นโตได้ยากครับ
ยิ่งตอบสนองอย่างฉับไวมากเท่าไหร่ ความไว้วางใจก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แล้วอนาคตก็ยิ่งไปได้ไกลอย่างที่คาดไม่ถึงเลยล่ะครับ
ถ้าอย่างนั้นผมเปรียบเทียบเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่กับวาฬละกัน สมมุติว่าเราเลี้ยงมันเป็นสัตว์เลี้ยงที่บ้าน เนื่องจากมันตัวใหญ่มากและมีอายุยืน เราคงแทบจะไม่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของมันในแต่ละปี เราคงคิดเอาเองว่ามันจะอยู่กับเราเรื่อย ๆ ตลอดไป จนกระทั่งมันตายไปนั่นแหละ การคิดเอาเองแบบนี้ถือว่าอันตรายมาก เพราะทุกธุรกิจล้วนมีวาฬเป็นของตัวเอง
คำถามคือ ในธุรกิจที่คุณกำลังทำอยู่มีวาฬซ่อนอยู่ไหม และมันกำลังจะตายหรือเปล่า?
ในธุรกิจพลังงาน วาฬตัวนั้นคือ น้ำมันและมันกำลังจะตาย
ในธุรกิจแท๊กซี่ วาฬตัวนั้นคือ คนขับและเมื่อรถยนต์สามารถขับได้ด้วยตัวมันเอง คนขับก็จะหายไป
คุณต้องเริ่มถามตัวเองแล้วว่า...
“วาฬของคุณคืออะไรและวาฬตัวนั้นมีอายุกี่ปีแล้ว?”
บางครั้งไอเดียธุรกิจก็ไม่จำเป็นต้องตอบสนองต่อคนหมู่มาก ถึงแม้จะจับกลุ่มเล็ก ๆ แต่หากยิงตรงจุดตรงประเด็นก็อาจกลายเป็นธุรกิจที่ดีขึ้นมาได้เช่นกัน
ถ้าชีวิตข่มขืนนัก ก็สร้างมันเป็นธุรกิจซะเลย !!
ยักษ์ใหญ่อาจไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด คุณสมบัติที่ดูเหมือนจะมอบความแข็งแกร่งให้พวกเขาอาจเป็นต้นกำเนิดของจุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ด้วยเช่นกัน
หลายคนตีโพยตีพายว่าชีวิตช่างไม่ยุติธรรม เกิดมาบ้านไม่รวย งบการตลาดไม่มี มองไปทางไหนก็หาพื้นที่ยืนให้ตัวเองไม่ได้ โดนคนนามสกุลดังบดบัง โดนแบรนด์บริษัทข้ามชาติกลืน พื้นที่โฆษณาก็ถูกเจ้าดังกว้านซื้อจนไม่เหลือ เรียกว่า ตังค์น้อยชีวิตก็พลอยแย่ไปหมด
ถ้ารู้ว่าเงินไม่เยอะ ให้รู้ไว้ว่าสมองเป็นอาวุธเพียงอย่างเดียวที่มีใช้มันเยอะ ๆ นะครับ เชื่อผม มันไม่พังหรอก แต่ถ้าไม่ใช้… ที่จะพังแน่ ๆ คือชีวิตของคุณ
“Success is never accidental"
ความสำเร็จไม่เคยเป็นเรื่องบังเอิญ ผมค่อนข้างเห็นด้วยกับข้อความนี้ มันเรียบง่าย ทรงพลัง และเป็นความจริงอย่างที่สุด
วันหนึ่ง Jack เข้าไปหา Evan Williams หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Odeo แล้วบอกไอเดียว่า “มันจะเป็นยังไงถ้าเราสามารถบอก Status ให้เพื่อน ๆ รู้ได้แบบง่ายที่สุด”
ภายในเวลาเพียงสองสัปดาห์ Jack Dorsey และเพื่อนร่วมงานของเขาชื่อ Biz Stone ก็สร้าง Prototype ขึ้นมาร่วมกับผู้ก่อตั้งอีกคนชื่อ Noah Glass มันเป็น Platform ที่ส่งข้อความสั้นได้ไม่เกิน 140 ตัวอักษร จุดประสงค์คือ เพื่อให้แชร์ได้ง่ายที่สุด
นี่คือทวีตแรกของโลก และ Twitter ก็ถือกำเนิดขึ้น
จากเด็กชายขี้อายที่ชอบเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ทุกวันนี้ Jack Dorsey มีทรัพย์สินประมาณ 2,800 ล้านเหรียญ
ภาวะสงครามของบริษัทเกิดขึ้นได้หลายกรณี ตัวอย่างเช่น สินค้าที่ออกมาใหม่ขายได้น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้จนเป็นสาเหตุทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ เช่น การขาดเงิน การขาดแรงสนับสนุน หรือผู้บริโภคเกิดความไม่เข้าใจ หรืออาจเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงกว่านั้น เช่น คนงานนัดหยุดงาน โรงงานเกิดไฟไหม้ ฯลฯ
หากวันหนึ่งบริษัทของคุณต้องเข้าสู่ภาวะสงคราม
1. ซีอีโอและแม่ทัพต้องมีกรอบความคิดที่เหมาะสมสำหรับภาวะสงคราม
2. ประกาศภาวะสงคราม
3. รวมอำนาจการบริหารบางส่วน
4. ต้องเพิ่มความละเอียดเป็นสองเท่า
5. ห้ามเจ็บ ห้ามกลัว ห้ามหิว ห้ามหนาว ห้ามตาย
ความเหมาะสมของตำแหน่งผู้นำจะเด่นชัดในยามสงคราม ผู้นำชั้นเลิศจะฉายแววในภาวะแบบนี้นี่เอง อย่างที่นายพล Colin Powell หนึ่งในผู้นำที่ยิ่งใหญ่จากวงการทหารเคยกล่าวไว้ว่า…
คุณคือผู้นำชั้นยอด ถ้าผู้คนตามคุณเพียงเพราะสงสัยว่าคุณจะทำอะไรต่อไป
เริ่มต้นจากความไม่รู้และความไม่พร้อม แต่มีหัวใจและความอึดอยู่เต็มกำลัง คนเราก็เช่นกันครับ บางครั้งเราก็ต้องเริ่มทำอะไรทั้งที่ยังไม่พร้อม
ขอแค่แน่ใจว่ามาถูกทางก็เดินหน้าได้เลย อาจจะวิ่งช้าหน่อย แต่ขอให้อึด และอย่าหยุดวิ่งนาน แค่นี้… เส้นชัยก็อยู่ไม่ไกลแล้วครับ
ถ้าเราไม่โกหกตัวเองจนเกินไปนัก ก็น่าจะยอมรับกันได้ว่าในชีวิตนี้มีหลายครั้งที่เราเลือกจะอยู่เฉย ๆ ไม่อยากลงมือทำอะไร เพราะกลัวผิดพลาด
เราเลือกที่จะฝังตัวเองอยู่กับงานที่ทำให้เรายุ่งไปได้วัน ๆ ซึ่งเป็นภาวะที่ผมชอบเรียกว่า “ขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autopilot)” โดยหลีกเลี่ยงการตัดสินใจเรื่องที่ยากและสำคัญ ราวกับว่าเมื่อปล่อยให้เวลาผ่านไป งานเหล่านั้นจะเสร็จลุล่วงได้เอง
อย่างที่ฝรั่งเขาว่ากันไว้ว่า “Old habits die hard” หรือแปลเป็นไทยว่า “สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก” ฉะนั้นการเปลี่ยนนิสัยแย่ ๆ จึงต้องต่อสู้กับตัวเองเยอะมาก
การจะเป็นคนที่มีประสิทธิภาพทั้งเรื่องงาน เรื่องครอบครัว และเรื่องอื่น ๆ ในชีวิตได้นั้น มันต้องมีองค์ประกอบพื้นฐานสามอย่างคือ สมอง ร่างกาย และสติ
1. ระยะเวลาการนอน
2. การออกกำลังกาย
3. การนอนกลางวัน
4. การนั่งสมาธิ
5. การทำงานในช่วง Prime Time
6. การงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
7. การใช้ Social Media อินเทอร์เน็ต และโทรทัศน์
8. การจัดสรรเวลาให้ครอบครัว
9. การสังสรรค์กับเพื่อน
10. การอ่านหนังสือ
ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่คุณมีเงินมากมายแค่ไหน หรือมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตเพียงใด แต่อยู่ที่คุณปฎิบัติหน้าที่ได้ดีเพียงไร ในยามที่ไม่มีใครคอยเฝ้ามองอยู่ นั่นแหละคือความสำเร็จ
การยอมเสียกำไรระยะสั้นเพื่อแลกกับการเติบโตระยะยาวนั้นให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าเสมอ การสนทนาในวันนั้นทำให้ผมรู้ว่า “วิธีคิด” คือสิ่งสำคัญที่สุดในการทำธุรกิจ ฟังดูเหมือนง่าย แต่ผู้บริหารจำนวนไม่น้อยกลับทำใจลำบากมากเมื่อการตัดสินใจเช่นนี้มาถึง และผู้บริหารส่วนใหญ่ก็เลือกกำไรระยะสั้นเสียด้วย
นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้แต่ละอุตสาหกรรมมีบริษัทที่แข็งแกร่งและยั่งยืนจริง ๆ เพียงแค่หยิบมือเดียว
ในการทำธุรกิจ เราก็ควรมีสมุดเอาไว้บันทึกบทเรียนเช่นกัน มันไม่ใช่แค่สมุดบันทึก “เหตุการณ์ที่ผิดพลาด” หรือ “สิ่งที่ได้จากความผิดพลาด” เท่านั้น แต่ยังรวมถึง “ชุดความคิด” ที่จะช่วยไม่ให้เราทำผิดพลาดอีก
สมุดบันทึกบทเรียนคือ The Book of Lesson Learned จะช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจครับ ในการลงมือทำครั้งแรก โอกาสสำเร็จอาจอยู่ที่ 55% แต่ถ้าเราได้ชุดความคิดมา ครั้งต่อไปโอกาสสำเร็จก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 60% 70% หรือ 80%
1. อย่าเข้มงวดเรื่องการใช้ทรัพยากรมากเกินไป
2. อย่าหลงใหลแสงสีเสียงของโครงการใหม่ ๆ
3. เรื่องที่เราไม่ถนัด ให้มืออาชีพทำซะเถอะ
4. อย่าทำแต่งานอย่างเดียว
5. กลยุทธ์ที่ดีต้องมาพร้อมกับแผนงานที่ละเอียดรอบคอบ
6. การไม่กล้าตัดสินใจ คือ การตัดสินใจประเภทหนึ่ง
7. Cash Flow สำคัญที่สุด
ชุดความคิดเหล่านี้จะเป็นเหมือนเกราะป้องกันธุรกิจของคุณ ไม่ให้คุณทำผิดพลาดในเรื่อง “ประเภทเดิม ๆ” อีก พูดง่าย ๆ ว่าลดโอกาสโง่ซ้ำซากนั่นแหละครับ เพียงเท่านี้งานครั้งต่อไปก็มีโอกาสสำเร็จมากขึ้นแล้ว
ถ้าถามว่าสมัยเรียนวิชาอะไรที่ผมเกลียดที่สุด
คำตอบคือ "ทฤษฎีเกม"
ถ้าถามว่าโตขึ้นมาคิดว่าวิชาอะไรสำคัญที่สุด
คำตอบคือ "ทฤษฎีเกม"
ทำไมน่ะเหรอ เพราะในชีวิตจริง ขยันผิดที่ อดทนผิดเรื่อง เจรจาผิดคน ทำให้ตายชีวิตก็ไม่ประสบความสำเร็จ ทฤษฎีเกมช่วยให้เราไม่ติดกับเหล่านั้นได้
ทฤษฎีเกมเป็นการจำลองเหตุการณ์ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ โดยมีสมมุติฐานว่า แต่ละฝ่ายต้องการให้ตัวเองได้ผลตอบแทนมากที่สุด ขณะเดียวกันระดับความสำเร็จก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของอีกฝ่ายด้วย
การตัดสินใจที่ดีคือ รู้เขา รู้เรา และรู้แรงจูงใจ นี่คือทฤษฎีเกม ทฤษฎีชีวิต
อย่างที่ Charles Buxton นักสังคมสงเคราะห์ชื่อดังเคยกล่าว “In life as in chess ,forethought wins” ชีวิตก็เหมือนกับการเล่นหมากรุก คนที่คิดนำหน้าคู่ต่อสู้ย่อมได้รับชัยชนะ
บทเรียนราคาแพงนี้สอนอะไรเราหลายอย่าง
1. Social Media สามารถโหมกระพือ จนเปลวไฟเล็ก ๆ จากไม้ขีดกลายเป็นไฟป่าได้อย่างง่ายดาย ซึ่งมีให้เห็นกันหลายกรณีแล้ว
2. ไม่ว่าความตั้งใจจะเป็นอย่างไร แต่เราต้องรับผิดชอบต่อสารสุดท้ายที่ถูกส่งออกไป
เดี๋ยวนี้จะทำอะไรต้องคิดอะไรต้องคิดหน้าคิดหลังสัก 5 ตลบ เพราะถ้าพลาดแล้วก็พลาดเลยจริง ๆ ครับ
เราแสดงออกเชิงสัญลักษณ์กันทุกวันโดยที่รู้ตัวหรือไม่ก็ตาม และมันมีความสำคัญสุด ๆ สิ่งที่หลายคนลืมนึกถึงคือ ตัวเราเองก็แสดงออกเชิงสัญลักษณ์กับจิตใต้สำนึกของเราทุกวันเช่นกัน เวลาเราตั้งใจว่าจะตื่นมาออกกำลังกายในตอนเช้า แล้วเรายังคงทำตามที่ตั้งใจไว้แม้จะขี้เกียจแค่ไหนก็ตาม ผมเรียกมันว่า การเลือกเดินบน High road
นี่คือการบอกกับจิตใต้สำนึกว่า เพราะเรามีเป้าหมายและเราก็จะทำให้สำเร็จ เวลาที่เราตั้งใจทำงานแม้จะขี้เกียจ มันเป็นการบอกกับจิตใต้สำนึกว่าเพราะเป้าหมายยังไม่สำเร็จ เราก็จะไม่ล้มเลิกความพยายาม
เมื่อเลือกเดินทางบน High road บ่อย ๆ เข้า มันก็เป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ซ้ำไปซ้ำมาจนจิตใต้สำนึกรู้แล้วว่าครั้งต่อไปเมื่อเจอกับเรื่องใหญ่ ๆ จะต้องตัดสินใจอย่างไร ความจริงแล้วคนที่ทำแบบนี้ได้มีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ครับ คนส่วนใหญ่เลือกที่จะนอนต่อ เลือกที่จะล้มเลิก มันจึงไม่แปลกเลยที่คนที่ประสบความสำเร็จจะมีแค่หยิบมือเดียว
ครั้งต่อไปจะบอกอะไรกับจิตใต้สำนึกก็ระวังให้ดีนะครับ เพราะมันรอฟังคุณอยู่ตลอดเวลา
ถ้าผมขอซื้อเวลาของคุณสัก 10 ปี คุณจะขายให้ผมสักเท่าไหร่ดี 10 ล้าน 100 ล้าน 1,000 ล้าน หรือประเมินค่าไม่ได้ คนส่วนใหญ่คงตอบว่าประเมินค่าไม่ได้ แต่น่าแปลกที่หลายคนกลับโยนเวลาที่มีค่ามหาศาลนี้ทิ้งไปราวกับว่ามันเป็นขยะ
ผมเชื่อว่าเวลาคือทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุด แต่น่าแปลกใจเหลือเกินที่หลายคนใช้มันอย่างไร้ค่า ในแต่ละวันเราจะเจอกับเรื่องต่าง ๆ อยู่ 4 ประเภท
1. สำคัญ + เร่งด่วน
2. สำคัญ + ไม่เร่งด่วน
3. ไม่สำคัญ + เร่งด่วน
4. ไม่สำคัญ + ไม่เร่งด่วน
จัดลำดับความสำคัญและจดจ่อกับมัน ในหนึ่งวันเราไม่จำเป็นต้องทำทุกเรื่อง แต่เราต้องทำเรื่องสำคัญให้เสร็จ
หยุดโยนเวลาทิ้งไปราวกับว่ามันเป็นขยะกันเถอะครับ
Passion มันคือ การหลอมรวมเข้าด้วยกันระหว่างความรัก ความหลงใหล และความคลั่งไคล้ เพราะชีวิตคนเราสั้นเกินกว่าจะอยู่กับสิ่งที่เราไม่มี Passion การมี Passion ในสิ่งที่เราทำไม่ได้ หมายความว่าเราจะต้องมีความสุขกับมันตลอดนะครับ คล้าย ๆ กับการอยู่กับคนรักของเรานั่นแหละ
“Life is not the amount of breaths you take ,it’s the moments that take your breath away”
การมีชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งของลมหายใจ แต่ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่มีความสุขจนทำให้คุณลืมหายใจได้ต่างหาก
ประโยคนี้อธิบายคำว่า Passion ได้อย่างสมบูรณ์จริง ๆ เพราะถ้าหากคุณทำในสิ่งที่ตัวเองรัก หลงใหล และคลั่งไคล้ คุณจะมีช่วงเวลาที่คุณลืมหายใจมากกว่าคนอื่นแน่นอนครับ
สนามจริงนั้นไม่เหมือนสนามซ้อม คนที่ซ้อมอยู่เป็นประจำ ตกม้าตายที่สนามจริงมานักต่อนักแล้ว การเริ่มอะไรใหม่ ๆ โดยเฉพาะเรื่องที่ซับซ้อนอย่างการเริ่มธุรกิจหรือไอเดียใหม่ ๆ ก็ไม่ต่างกัน
สนามซ้อมกับสนามจริงนั้นไม่เหมือนกัน และนี่คือสาเหตุที่ธุรกิจหรือไอเดียใหม่ ๆ มักจะล้มเหลว
แน่นอนว่าการทำธุรกิจมีความเสี่ยง แต่เราต้องไม่เสี่ยงแบบการเล่นสล็อตแมชชีน ถ้าจะเสี่ยงต้องเสี่ยงแบบการเล่นโป๊กเกอร์ เมื่อมองหากลยุทธ์ได้แล้ว เราก็ไม่ต้องเดาสุ่มอีกต่อไป
### การหากลยุทธ์ที่ถูกต้องมีหลักการดังนี้ ###
1. สิ่งที่เราเสนอแก้ปัญหาได้จริงหรือ
2. โอกาสประสบความสำเร็จขึ้นอยู่กับขนาดของปัญหา
3. วิธีคิดแบบนักสืบ vs วิธีคิดแบบหมอดู
4. คนเดียวที่จะให้คำตอบทั้งหมดได้คือ ลูกค้า
ในสนามจริงเรามักไม่มีโอกาสที่สอง จะลงสนามครั้งต่อไป พกวิธีคิดแบบนักเล่นโป๊กเกอร์ติดตัวไว้เสมอนะครับ
ความหลงใหลในสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงเรื่องเล่น ๆ แต่ทันทีที่เห็นความเชื่อมโยง มันก็กลายเป็นเรื่องจริงจังที่สร้างประโยชน์มหาศาลได้ แม้ว่าบางเรื่องที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ถ้ารู้จักเชื่อมโยงจนหามุมที่ “คลิก” เจอ มันก็จะสร้างความแตกต่างที่โดดเด่นเหนือคนอื่น แถมยังลอกเลียนแบบได้ยากมาก
ลองดูรอบ ๆ ตัวนะครับ บางทีหลาย ๆ สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ อาจเชื่อมโยงกันแบบที่เรานึกไม่ถึง เมื่อนั้นเราอาจหาเวทีใหม่ของเราเจอครับ
การหาไอเดียที่เชื่อมโยงกับตัวเราได้อย่างไร้รอยต่อ เพราะถ้ามีรอยต่อขึ้นมา ก็มีแนวโน้มสูงมากที่รอยต่อนั้นจะปริและแตกออกเมื่อเผชิญกับแรงเสียดทานหลังจากผ่านช่วงดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ไปแล้ว
ช่วงดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์คือ ช่วงโลกสวยที่เรามองไม่เห็นข้อบกพร่องในไอเดียของเรา หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เรากำลังลุ่มหลงกับไอเดียใหม่นี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ใครมาเตือนก็ไม่ค่อยจะฟังคล้ายกับความรัก ๆ หลง ๆ แบบหนุ่มสาวประมาณนั้น และถึงแม้ไอเดียจะดี แต่หากไม่เหมาะกับเรา พอเจอแรงเสียดทานมาก ๆ เข้า มันก็พังครับ
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการล่าไอเดียครับ
หนึ่งในบุคลิกที่พบได้ในเหล่านักธุรกิจคือ ความช่างสังเกตครับ
Mona Lisa คือ ภาพที่ถูกวาดในศควรรษที่ 16 โดยจิตรกรเอกของโลกอย่าง Leonardo da Vinci และเชื่อว่าน่าจะเป็นงานศิลปะที่มีคนรู้จักมากที่สุดในโลก ปัจจุบันภาพ Mona Lisa ถูกจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศษ
ทุกปีคนหลายล้านคนจะเข้าไปชมภาพนี้ คุณเองก็คงเคยเห็นภาพนี้มาเป็นร้อย ๆ ครั้งแล้ว แต่...
คุณเห็นไหมครับว่า Mona Lisa ไม่มีคิ้ว!!
คิ้วเป็นส่วนประกอบที่สำคัญมาก ๆ บนใบหน้านะครับ
ถ้าคุณเคยนึกสงสัยก็ถือว่าคุณเป็นคนช่างสังเกตมากครับ แต่ถ้าไม่เราเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า เราเห็นภาพนี้มาเป็นร้อย ๆ ครั้งแล้ว เรื่องนี้ไม่เคยทำให้เราฉุกคิดเลยหรือ แล้วมีเรื่องอะไรอีกบ้างที่เรามองมาเป็นร้อย ๆ ครั้ง มองมันอยู่ทุกวัน แต่กลับไม่เคย “เห็น” มันเลย
การได้มาซึ่ง Browser นั้น
หากซื้อ PC จะได้ Internet Explorer ติดมากับเครื่อง
หากซื้อ Mac จะได้ Safari ติดมากับเครื่อง
คนกว่า 2 ใน 3 จะใช้ Browser ที่ติดมากับเครื่องโดยไม่ตั้งคำถามว่ามีของที่ดีกว่าให้ใช้ไหม คนส่วนใหญ่ยอมรับใน Status Quo
ในการใช้ Chome หรือ Firefox นั้น ผู้ใช้ต้องมีความพยายามในการดาวน์โหลด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการไม่ยอมรับเพียงแค่สิ่งที่ติดมากับเครื่องเท่านั้น ความคิดริเริ่มเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านี้ก็ส่งผลต่อการทำงานได้แล้ว
คนที่ใช้ Browser ที่ติดมากับเครื่องจะทำงานด้วยชุดความคิดที่คล้ายคลึงกัน พวกเขาชอบทำงานตามแบบแผนที่วางไว้แล้วทำงานราวกับเป็นหุ่นยนต์ที่แทบไม่มีความยืดหยุ่น สุดท้ายก็ไม่มีความสุข เริ่มขาดงาน และลาออกไปในที่สุด
ส่วนคนที่ใช้ Chome หรือ Firefox จะมีความคิดริเริ่มและไม่หยุดอยู่กับสิ่งที่เป็นอยู่เท่านั้น พวกเขาพยายามปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และหาหนทางใหม่ ๆ ที่ช่วยให้ทำงานได้ดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามสร้างสภาพแวดล้อมที่ช่วยให้ตัวเองทำงานได้อย่างมีความสุขด้วย
อ่านแล้วก็ต้องย้อนกลับมามองดูตัวเราเอง
เรายอมรับใน Status Quo และเดินตามทางที่ถูกกำหนดไว้แล้วเหมือนคนส่วนใหญ่… หรือเราเป็นคนส่วนน้อยที่ช่างสังเกตและมองหาโอกาสที่จะทำทุกอย่างให้ดีขึ้น
ต้องเลือกให้ถูกนะครับ เพราะที่ว่างเหลือน้อยและเหลือน้อยลงทุกวัน
คำถามแรกคือ “ทำแบรนด์เล็กจะสู้แบรนด์ใหญ่ได้ยังไง”
ในทุกธุรกิจตั้งแต่อาหาร เสื้อผ้า ไปจนถึงเทคโนโลยี เราจึงเห็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยความกล้า ความบ้าบิ่น และความคิดสร้างสรรค์ทั่วทุกมุมโลกลุกขึ้นมาสร้างธุรกิจเจ๋ง ๆ กันอยู่ทุกวัน ไม่มียุคไหนอีกแล้วที่การเริ่มต้นธุรกิจใหม่จะง่ายเท่ายุคปัจจุบัน และมีกำแพงในการเริ่มต้น (Barrier to entry) ต่ำเท่านี้มาก่อน ส่วนหนึ่งมาจากคนทั่วโลกถูกเชื่อมโยงเข้าหากันด้วย Social Media และ Social Media นี่เองที่เป็นช่องทางให้คนที่มีความสามารถได้ “ปล่อยของ” แบบที่ในอดีตไม่เคยทำได้มาก่อน
สรุปคือ...
แบรนด์ใหญ่จะเติบโตต่อไป ส่วนแบรนด์เล็กก็ยังคงจะมีที่ยืนอยู่เสมอ หากแต่วิธีการในการเติบโตนั้นแตกต่างกัน แบรนด์ใหญ่ ๆ นั้นมีแนวโน้มที่จะระมัดระวังและพยายามลดความเสี่ยงอยู๋เสมอ ในขณะที่แบรนด์เล็ก ๆ มีความคล่องตัว โลดโผน และมักจะบ้าบิ่นกว่า
คำถามที่สองคือ “ทำแบรนด์ไทยจะสู้แบรนด์นอกได้ยังไง”
ความรู้สึกแบบ West is best มีมานานและฝังแน่นเอามาก ๆ เป็นความเชื่อนี้ฝังรากลึกมากจริง ๆ มันอธิบายได้ว่าทำไมแบรนด์แฟชั่นจากยุโรปถึงครองใจสาวเอเชียแบบอยู่หมัด ทำไมรถจากยุโรปถึงเป็นที่ถวิลหาของคนเอเชียทั้งทวีป
แล้ว Local brand จริง ๆ ก็มีหลายทางที่จะเติบโตมากกว่า Inter brand
1. พยายามทำตัวเหมือนแบรนด์ต่างชาติไปเลย
2. ทำแบบพื้นบ้านและขายในราคาถูก
1
3. เป็นเหมือนโรงงานผลิตให้กับแบรนด์ต่างประเทศหรือที่เรียกกันว่า OEM นั่นเอง
4. การสู้ พยายามสร้างแบรนด์ขึ้นมายืนเทียบเคียงแบรนด์ตะวันตก Inter brand
หวังว่าวันหนึ่งจะเห็นคนไทยภูมิใจกับความเป็นชาติไทย และให้ราคากับคนไทยด้วยกันเอง ไม่แพ้คนชาติไหนบนโลก
ชื่อหนังสือ : อย่าปล่อยให้ใครฆ่าวาฬของคุณ
ชื่อสำนักพิมพ์ : WE LEARN
ชื่อนักเขียน : รวิศ หาญอุตสาหะ
ชื่อผู้แปลและเรียบเรียง : รวิศ หาญอุตสาหะ
จำนวนหน้า : 323 หน้า
ราคา : 265 บาท
หนังสือ อย่าปล่อยให้ใครฆ่าวาฬของคุณ เป็นหนังสือในหมวดธุรกิจ บวกแรงบันดาลใจที่เกิดจากคนสำเร็จจริง ๆ เขาเหล่านั้นได้เริ่มต้นยังไง แล้วเมื่อเขาล้มเขาลุกขึ้นมาได้ยังไง ส่วนตัวผมถือว่าเป็นหนังสือทรงคุณค่าอีกเล่มหนึ่งเลยก็ว่าได้ คำศัพท์ที่ใช้เล่าเรื่องก็ง่าย เข้าใจได้ไม่ยาก สนุก อ่านเพลินมาก ใครอ่านที่ผมย่อยหนังสือมาแล้ว แล้วอยากอ่านเล่มจริงผมแนะนำเลยไม่ผิดหวังแน่นอน !!
>>> อ่านหนังสือพัฒนาตนเอง <<<
04.09.2020

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา