11 ก.ค. 2020 เวลา 08:00 • หนังสือ
28 วิธีลัดสู่ความสำเร็จ ภายใน 28 วัน
เพื่อชีวิตใหม่ โอกาสใหม่
หากคุณเป็นผู้หนึ่งที่มองหาความสำเร็จ แต่มองไม่เห็นทิศทางไป เราขออาสาเป็นผู้ช่วยนำทางแก่คุณ เพื่อไปสู่ทางลัดแห่งความสำเร็จตามที่มุ่งหวัง เปิดประตูไปสู่ชีวิตใหม่และโอกาสใหม่ ๆ ที่ดีกว่า
การจะทำสิ่งใดไม่ว่าจะเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่ ย่อมต้องอาศัยวิธีการด้วยกันทั้งสิ้น การจะไปสู่ความสำเร็จก็เช่นเดียวกัน ย่อมต้องอาศัยวิธีการในมุมมองใหม่ ๆ ที่ใช่ว่าใคร ๆ ก็รู้ได้ หากอยากรู้ว่ามีอะไร เรามาร่วมเดินทางลัดไปสู่ความสำเร็จกันเถอะ
พร้อมแล้วไปอ่านหนังสือเล่มนี้กัน !!
ก่อนที่จะหาวิธีไปสู่ความสำเร็จให้ได้นั้น เราควรมาสำรวจพื้นฐานของตัวเองเสียก่อนว่าขณะนี้เรามีความสุข รู้สึกประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน เพื่อได้ประเมินผลกันว่าเราพร้อมที่จะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นเอง?
เมื่อเรารู้แล้วว่าเรามีความพร้อมที่จะประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด ตอนนี้ก็มาถึงวิธีการที่จะเข้าถึงความสำเร็จ 7 วิธี ภายใน 7 วันกันด้วย การปลุกความคิดเชิงบวกให้ตื่นขึ้นมารับใช้ความปรารถนาของเรา
1
"คิดบวก" หมายถึงอะไร ?
1. การมองโลกในแง่กลาง ๆ ไม่บวก ไม่ลบ หรือ ที่เรียกว่าศูนย์
2. การมองโลกในแง่ลบ หรือ มองโลกในแง่ไม่ดี
3. การมองโลกในแง่บวก หรือ มองโลกในแง่ดี
รายละเอียดของการคิดบวก :
1. คิดบวก คือ การเลือกมอง
2. คิดบวก คือ การให้ความยุติธรรม
3. คิดบวกไม่ใช่การคิดโง่ ๆ
>>>>> 7 วิธี ปลุกความคิดเชิงบวก <<<<<
วิธีที่ 1 ตระหนักถึงข้อดีของการคิดบวก
+ คิดบวกเกิดแรงบันดาลใจ
+ คิดบวกสร้างสุข
+ คิดบวกมีความกล้า
+ คิดบวกสร้างความมั่นใจ
+ คิดบวกสร้างความหวัง
+ คิดบวกสร้างความอทน
+ คิดบวกสร้างการให้อภัย
+ คิดบวกย่อมได้บวก
1
วิธีที่ 2 จินตนาการบวกก่อน
การกระตุ้นการคิดแบบบวก ฝึกให้เราคิดบวกเป็นนิสัยด้วยการฝึกจินตนาการในด้านบวกไว้ก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งจะทำให้เราไม่เกิดความกลัวเกรงอุปสรรคปัญหาในการทำสิ่งใด หรือเริ่มต้นใหม่ ๆ มีพลังที่จะก้าวไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ ไม่ทิ้งความฝันกลางคัน
วิธีที่ 3 อยู่ใกล้คนคิดบวก
การที่เราอยู่ในหมู่หรือกลุ่มเพื่อนฝูงที่คิดบวก เราย่อมได้รับแรงบันดาลใจ ได้รับอิทธิพลที่ดีจากเขาตามไปด้วย
วิธีที่ 4 หาเหตุผลดี ๆ
+ เมื่อเราเจอกับวิกฤติบางอย่าง
+ เมื่อเวลาที่เราเจอความทุกข์หนัก ๆ
+ เมื่อเราต้องตกงาน
+ เมื่อเราอกหักจากความรักที่ไม่สมหวัง
+ เมื่อเราเจอคนตำหนิติติงมา
+ เมื่อเราพบกับความพ่ายแพ้
+ เมื่อเราเจออุบัติเหตุต่าง ๆ ทั้งเล็กหรือใหญ่ก็ตาม
+ เมื่อเราเจอการงานที่เหน็ดเหนื่อย
+ เมื่อเราเจอความตายที่ใกล้เข้ามาถึงถึงทุกที
+ เมื่อเราต้องมาทำงานในวันหยุด
+ เมื่อเราเจอข่าวใส่ร้ายป้ายสี หรือถูกคนนินทา
+ เมื่อเราเจอคนคดโกงหลอกลวง
+ เมื่อเราเจอคนกลั่นแกล้ง
+ เมื่อเราให้ผู้อื่นยืมเงินแล้วเขาไม่ยอมคืน
+ เมื่อเราไร้ซึ่งอำนาจบารมี
+ เมื่อเราต้องอยู่ใกล้กับคนที่เราไม่ชอบ
+ เมื่อเราเจอคนนิสัยไม่ดี
+ เมื่อเราเจอกับความจนยาก
5
วิธีที่ 5 รับข้อมูลดี ๆ
ควรมองหาหรือเลือกสรรแต่ข้อมูลดี ๆ ที่สร้างสรรค์ เพลิดเพลิน เป็นประโยชน์ สร้างความสุขใจเมื่อได้รับรู้ เพื่อจะได้รู้สึกดี ๆ กับชีวิตมากขึ้น เกิดแรงบันดาลใจ มีข้อมูลดี ๆ ในการดำเนินชีวิต มีความหวัง และกระตุ้นการคิดบวกนั้นเอง
วิธีที่ 6 มี E.Q.
อี.คิว. หรือ Emotional Quotient ก็คือ ความฉลาดทางอารมณ์ มีความสามารถในการจัดการ หรือควบคุมอารมณ์ได้อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างปกติมีความสุข
องค์ประกอบของ EQ
+ เข้าใจในตัวเอง
+ เข้าใจในผู้อื่น
+ มีสัมพันธ์ที่ดี
+ มีความสามารถในการควบคุมตัวเอง
+ สามารถสร้างแรงจูงใจ
วิธีที่ 7 มองปัจจุบัน
การคิดบวกนั้นคือ การมองสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างครอบคลุม เพียงแต่เราเลือกที่จะมองในด้านที่สวยงาม รวมถึงด้านที่เป็นปัจจุบันมากกว่านั่นเอง
>>>>> 7 ทิป ปลุกความคิดเชิงบวก <<<<<
ทิปที่ 1 น้ำครึ่งแก้ว
สามารถฝึกการคิดบวกได้โดยอาศัยวิธีการนึกคิด
1. เริ่มด้วยการจดจำภาพแก้วน้ำที่มีน้ำอยู่ประมาณครึ่งแก้วเอาไว้ให้ติดตา
2. ในเวลาที่คุณรู้สึกไม่ดี หมดหวัง ท้อแท้ ให้คุณดึงภาพแก้วน้ำนี้ขึ้นมา
3. จากนั้นบอกกับตัวเองว่า "มีน้ำตั้งครึ่งแก้ว" จะทำให้คุณรู้สึกว่าสิ่งที่มีสิ่งที่เป็นอยู่ในขณะนั้นก็ไม่ได้แย่เกินไปนัก ไม่ได้แย่อย่างที่เคยคิดหรือใคร ๆ คิดกัน ยังคงมีความหวังเหลืออยู่อีกมากมาย
ทิปที่ 2 คิดบวกลดความเสี่ยงต่อโรคซึมเศร้า
คนที่คิดบวกหรือมองโลกในแง่ดีมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคซึมเศร้าน้อยมาก ประมาณ 15% เท่านั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับคนที่คิดลบ จะมีความเสี่ยงประมาณ 50-60% เลยทีเดียว เนื่องจากเวลาเราคิดบวกใจเราย่อมเป็นสุข อีกทั้งร่างกายยังหลั่งสารความสุข หรือ "เอ็นดอร์ฟิน" ออกมาอีกด้วย
1
ทิปที่ 3 คิดบวกได้เท่ากับคิดลบ
มนุษย์เราสามารถคิดบวก ฝึกการคิดบวก ได้เท่า ๆ กับการคิดลบ การฝึกคิดลบ ขึ้นอยู่ที่การมองหรือมุมมองของแต่ละคนมากกว่า ซึ่งการคิดลบนั้นทำได้ง่ายกว่าการคิดบวกมาก เราจึงมักคิดลบโดยไม่รู้ตัวเสมอ ๆ ดังนั้นต้องพยายามตามความคิด ความรู้สึกของตัวเองให้ทัน อย่าได้ตกเป็นทาสของความคิดลบบ่อย ๆ เลย
ทิปที่ 4 ยิ้มกับโลก
การยิ้มแย้มแจ่มใสเป็นสิ่งที่ดี เนื่องจากทำให้เรารู้สึกจากภายในว่าเราเป็นคนมีความสุข ใครเห็นก็มีความสุขตามไปด้วย แตกต่างจากคนหน้าบึ้งตึง ที่ใคร ๆ เห็นก็รู้สึกหดหู่ ไม่อยากจะรู้จักหรือใกล้ชิดด้วย ดังนั้นให้คุณยิ้มแย้มเข้าไว้ ยิ้มมาจากใจ
ทิปที่ 5 บันทึกประจำดี
การจดจำเรื่องราวดี ๆ ไม่ใช่ด้วยที่สมองเท่านั้น เพราะเราอาจหลงลืมได้ง่าย ๆ ไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่เป็นการบันทึกเรื่องราวที่ดีของการคิดบวกลงในสมุดบันทึกเพื่อเป็นหลักฐานแสดงหรือยืนยันความดีงามและความสำเร็จของการคิดบวกที่เกิดขึ้น คุณก็จะได้มีกำลังใจในการคิดบวก รู้ว่าที่ผ่านมาคุณทำถูกต้องแล้ว
ทิปที่ 6 มองอีกมุม
+ ต้องทำงานหนัก
+ อกหัก
+ ต้องรับผิดชอบครอบครัว
+ มีหนี้สิน
+ โกรธเคืองกับผู้อื่น
+ มีเงินใช้น้อย
+ เบื่อสามีหรือภรรยาของตน
+ เบื่อหน่ายชีวิต
ทิปที่ 7 คิดบวกจากความล้มเหลว
+ โทมัส อัลวา เอดิสัน
นักวิทยาศาสตร์ที่ประดิษฐ์หลอดไฟ เขามีแนวความคิดแบบบวกของเขาคือ "ผมจะไม่พูดว่าผมล้มเหลวเป็นพันครั้ง แต่ผมจะพูดว่า ผมค้นพบวิธีการที่ไม่ได้ผลเป็นพันครั้งต่างหาก"
2
+ บิล เกตต์
เจ้าพ่อแห่งวงการคอมพิวเตอร์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟต์ เขามีแนวความคิดที่แปลกและแฝงไว้ด้วยการคิดบวกของเขาคือ "เขาจะจ้างผู้ที่เคยล้มเหลว เคยทำผิดพลาดมาก่อนเข้ามาทำงานในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง เนื่องจากเหตุผลที่ว่า คนที่เคยล้มเหลวมาก่อนย่อมเข้าใจดีว่า ความล้มเหลวมีหน้าตาเป็นอย่างไร สร้างเจ็บปวดเพียงใด และด้วยประสบการณ์ที่เคยล้มเหลวมาก่อนหน้านี้ เขาย่อมไม่นำพาองค์กรไปสู่ความล้มเหลวนั่นเอง"
+ โซอิจิโร่ ฮอนด้า
1
ผู้ก่อตั้งฮอนด้ามอเตอร์ เขามีมุมมองในการคิดแบบบวกของเขาคือ "สิ่งที่คุณได้เห็นคือ ความสำเร็จเพียง 1% ของชีวิตผม ซึ่งสิ่งที่คุณยังไม่ได้เห็นอีก 99% นั้นก็คือ ความล้มเหลวของผม"
หากคิดดี คิดบวก แล้วก็คงไม่พอที่จะประสบความสำเร็จได้และได้อย่างรวดเร็ว เราต้องการความมั่นใจอีกประการที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จให้จงได้ ด้วยการสร้างความมั่นใจจากภายใน มิใช่จากภายนอก ดังคำกล่าวที่ว่า “We are what we think as we think so we become” ซึ่งหมายถึง เราเป็นอย่างที่เราคิด หากเราคิดว่าทำได้เราก็จะทำได้สำเร็จ แต่การจะสร้างความมั่นใจได้นั้นต้องทำอย่างไรเรามาเรียนรู้กัน…
"ความมั่นใจ" คืออะไร ?
1. ทำให้รับรู้คุณค่าของตนเองของการมีชีวิต
2. ทำให้เกิดความรักในตนเอง
3. ทำให้เรามองเห็นความพิเศษของตนเอง
4. สามารถจัดการหรือรับมือกับปัญหาต่าง ๆ
5. ทำให้เกิดความรู้สึกมั่นคงในชีวิต
6. ทำให้เป็นคนที่ไม่พึ่งพาผู้อื่นก่อนที่จะพึ่งพาตนเอง
7. ทำให้ไปสู่เป้าหมาย หรือ ความสำเร็จได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
ความมั่นใจเกิดจากอะไร ?
1. ประสบการณ์วัยเด็ก
2. ความรัก
3. กำลังใจ
4. ตัวเราเอง
ลักษณะของผู้ที่ไม่มั่นใจในตนเอง :
1. ประเมินต่ำ
2. โทษตัวเอง
3. ดูถูกคนอื่น
4. คิดลบ
5. ปิดบัง
6. รับผิดชอบมาก
7. มีชีวิตสุดโต่ง
8. ชอบต่อต้าน
9. ชอบพึ่งพา
>>>>> 7 วิธี สร้างความมั่นใจจากภายใน <<<<<
วิธีที่ 1 รู้จักพอใจ
เพราะความมั่นใจจะทำให้เรารักตัวเอง เกิดความพอใจที่เป็นขั้นพื้นฐานของความมั่นใจในตัวเอง ผู้เขียนจะขออธิบายวิธีการสร้างความมั่นใจด้วยการรู้จักพอใจออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน
1.1 รู้จักพอใจ
พอใจในสิ่งที่ตนมี
พอใจในสิ่งที่ตนเป็น
พอใจในสิ่งที่ตนได้รับ
1.2 รู้จักพอเพียง
รู้จักว่าเมื่อไรควรหยุดไขว่ขว้า หยุดสะสม แล้วมีความสุขกับสิ่งที่มีในปริมาณที่พอเหมาะพอควรแก่ชีวิตตน
+ ไม่โลภ
+ รู้จักหยุด
+ มีมาตรฐาน
วิธีที่ 2 ไม่เปรียบเทียบ
หากมีนิสัยชอบเปรียบเทียบ โดยเฉพาะนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น หากเราด้อยกว่าเขาย่อมเกิดความรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง ความมั่นใจถดถอยได้ ซึ่งการทำเช่นนี้เป็นการดูถูกตัวเองโดยไม่รู้ตัว
2.1 การเปรียบเทียบทำให้เราถูกตัดสินและลงโทษจากตัวเราเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องเลย
2.2 คนที่เราเอาเขามาเปรียบเทียบด้วย เขาอาจไม่ได้รับรู้ในการเปรียบเทียบแข่งขันครั้งนี้
2.3 คนเรามีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งไม่อาจนำมาเปรียบเทียบได้เพราะเป็นคนละคนกัน
2.4 เราไม่ใช่คนที่แย่ที่สุดในโลกนี้ ยังมีคนที่แย่หรือบกพร่องกว่าเราอีกมากนัก
2.5 เราเองก็มีดีเหมือนกัน ซึ่งสิ่งที่เรามีดี คนอื่นเขาอาจด้อยกว่าเรามาก
2.6 เราควรยอมรับในความแตกต่างของแต่ละคน ยอมรับในข้อด้อยหรือความบกพร่อง เพียงแต่ไม่ยอมแพ้ที่จะบกพร่องต่อไป หากเราสามารถแก้ไขหรือทำให้ดีขึ้นได้
วิธีที่ 3 หาบุคคลต้นแบบ
บุคคลต้นแบบก็คือ ไอดอล หรือคนที่เราชื่นชอบนับถือในสิ่งที่ดีบางประการของเขา ให้คุณหาบุคคลต้นแบบในด้านของความมั่นใจ ซึ่งจะเป็นตัวอย่างให้คุณเกิดแรงบันดาลใจที่จะสร้างความมั่นใจได้มากขึ้น โดยอาจศึกษาจากประวัติ ประสบการณ์ วิธีคิด การดำเนินชีวิตของเขา
3.1 มีความคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่หรือไม่ตีกรอบให้ตัวเองมากมายนัก
3.2 มีความร่าเริงสดใส ซึ่งเป็นการแสดงออกหรือบุคลิกภาพที่มีเสน่ห์น่าสนใจ
3.3 มีความกระฉับกระเฉง กระตือรือร้นในการใช้ชีวิตหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ
3.4 มีความมุ่งมั่นพยายามที่จะประสบความสำเร็จ
3.5 มีความกล้าหาญในด้านที่ดี
3.6 มีความสนใจใคร่รู้ในสิ่งต่าง ๆ
3.7 มีความสุขกับชีวิตได้ง่ายแม้ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม
วิธีที่ 4 หาข้อดี
การหาข้อดีของตัวเราเองจะทำให้เราเกิดความั่นใจมากขึ้น เนื่องจากเรารู้สึกว่าเรามีดี มีดีไม่แพ้คนอื่นหรือมีดีกว่า ซึ่งการทำเช่นนี้จะเพิ่มทั้งความมั่นใจและกำลังใจไปพร้อม ๆ กัน
1. คุณเป็นคนเปิดเผย มีแต่ความจริงใจให้แก่ผู้อื่น
2. คุณเป็นคนมีความสามารถที่หลากหลายและสามารถทำกิจกรรมหลายอย่างได้ดีในเวลาพร้อม ๆ กันอีกด้วย
3. คุณเป็นคนกินอยู่ง่าย ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ หรือสังคมต่าง ๆ ได้ง่ายด้วย
4. คุณเป็นคนมีความอดทน สามารถทานทนกับความเหนื่อยยากได้ดีเยี่ยม
5. คุณมีบุคลิกภาพที่ดี
6. คุณเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์เป็นเลิศ
7. คุณเป็นคนมีรูปร่างหน้าตาที่ดูดีมีเสน่ห์
8. คุณมีความสามารถในการร้องเพลง
เมื่อคุณหาข้อดีของตนเองได้พอสมควรแล้วก็ให้พิจารณาต่อไปดังนี้
1. ข้อดีที่ว่านี้มีจริงหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน และคุณคิดไปเองหรือเปล่า?
2. ข้อดีที่คุณคิดนั้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในทางตรงหรือไม่ก็ทางอ้อมกับการดำเนินชีวิตหรือการงานได้มากน้อยเพียงใด?
3. คุณสามารถพัฒนาข้อดีอันนี้ได้มากน้อยเพียงใดและอย่างไร?
วิธีที่ 5 พึ่งพาตนเอง
การสร้างความมั่นใจด้วยการรู้จักพึ่งพาตัวเอง ทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ดังคำที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสสอนไว้ว่า “อัตตาหิ อัตโน นาโถ” ที่หมายถึง ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน สำหรับการพึ่งพาตนเองต้องฝึกฝนอย่างไร เรามาดูกัน…
1. แก้ไขปัญหาเองก่อน
+ เราย่อมรู้ว่าปัญหาของเราเป็นอย่างไร
+ การแก้ปัญหาคนเดียวหรือน้อยคนที่สุด ย่อมขจัดความยุ่งยากซับซ้อนออกไปได้
+ การให้ผู้อื่นมาช่วยเหลือ อาจทำให้ปัญหาบานปลาย
+ บางปัญหาอาจเป็นความลับหรือสิ่งที่เราไม่อยากให้ใครล่วงรู้
2. พยายามอย่างถึงที่สุด
การพึ่งพาตนเองนั้น เราต้องพยายามทำด้วยตัวเองให้ดี ให้ถึงที่สุด คือ สุดความสามารถ สุดความพยายามแล้ว หากไม่สำเร็จนั่นล่ะจึงค่อยคิดพึ่งพาผู้อื่นต่อไป
2.1 ยิ่งพึ่งพายิ่งหมดความมั่นใจ
1
+ การไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจผู้อื่น
+ การสร้างความเห็นแก่ตัวหรือเอาเปรียบผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว
+ ยิ่งเราพึ่งผู้อื่นมากเท่าไหร่ก็เท่ากับเราทิ้งความมั่นใจในตัวเองไปทีละน้อย
+ ทำให้เราไม่ได้ใช้ความสามารถที่มีอยู่อย่างเต็มที่
1
2.2 เกรงใจผู้อื่น
หากเราคิดว่าเรามีปัญหามากแล้ว ผู้อื่นอาจมีปัญหาหนักกว่าเราจนเทียบไม่ติด การที่เราเอาปัญหาไปให้เขาช่วยสะสาง อาจเป็นการสร้างความหนักใจและไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องนัก เราควรรับรู้ในข้อนี้และมีความเกรงใจด้วย การเกรงใจก็จะทำให้เราชะงักหรืออย่างน้อยก็ชะลอการขอความช่วยเหลือไปได้
3. ไม่พึ่งพาเครื่องอำนวยความสะดวก
ในปัจจุบันเราต้องยอมรับว่า นอกเหนือจากการพึ่งพาผู้อื่นแล้ว เราเอาแต่พึ่งพาวัตถุหรือเครื่องอำนวยความสะดวกอื่น ๆ มากมายจนเกินความจำเป็น
+ ใช้การเดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟต์และบันไดเลื่อน
+ อาจมีบางวันอย่างในวันหยุดหรือวันที่ที่ไม่มีธุระสำคัญจริง ๆ คุณก็ไม่จำเป็นต้องพกโทรศัพท์มือถือหรือไอโฟนก็ได้
+ อาจกำหนดให้ในหนึ่งสัปดาห์มีบางวันที่คุณไม่จมตัวเองอยู่กับจอคอมพิวเตอร์เพื่อเล่นอินเทอร์เน็ตหรือกิจกรรมทางโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กอย่างที่ทำเป็นประจำ แล้วหาสิ่งอื่นที่มีคุณค่าทำแทน
+ ใช้การทำงานบ้านแบบคนในอดีตด้วยมือของตนเอง
+ การเดินเท้าแทนการนั่งรถหรือขับรถหากมีระยะทางไม่ไกลนัก
4. พึ่งให้น้อยที่สุด
การให้การช่วยเหลือผู้อื่นนั้น เราควรทำอย่างเต็มที่สุดความสามารถ แต่การพึ่งพาผู้อื่นนั้นกลับกันคือ เราควรพึ่งให้น้อยที่สุด เท่าที่จำเป็นจริง ๆ
5. นึกถึงความภูมิใจ
หากเราตระหนักว่า การพึ่งพาตนเองนั้นดีอย่างไร ที่สำคัญคือ สรา้งความมั่นใจและภาคภูมิใจให้เกิด เรายิ่งอยากคิดและทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง เมื่อทำแล้วก็รักในสิ่งที่ได้รับนอกเหนือไปจากผลงานของตัวเอง ซึ่งนั่นคือ ความภาคภูมิใจ
วิธีที่ 6 ขจัดความกลัว
ความกลัวคือ อุปสรรคสำคัญที่ทำให้นอกจากจะไม่กล้า ไม่กล้าแสดงออก ขี้ขลาด ขี้อายแล้ว ยังทำให้ขาดความมั่นใจอีกด้วย ยิ่งเราสะสมความกลัวมากเท่าไร เราก็ยิ่งขาดความมั่นใจ
1. กลัวสัตว์บางชนิดอย่างสัตว์เลื้อคลาน
2. กลัวผีหรือปีศาจ
3. กลัวความล้มเหลว
4. กลัวการเริ่มต้นในสิ่งใหม่ ๆ
5. กลัวการเข้าสังคมทั่วไปหรือสังคมที่คุณไม่คุ้นเคย
6. กลัวอนาคตที่ไม่แน่นอน
7. กลัวความเหงา
8. กลัวความท้าทายหรือสิ่งที่คุณคิดว่ามันยากเย็น
วิธีขจัดความกลัว
1. ปัดออกไป
2. ตัดสินใจเร็ว
3. ทำทันที
4. ทำความเข้าใจ
5. ลองของใหม่
6. สนุกไปกับมัน
7. ไม่ตีตนไปก่อนไข้
8. เชื่อมั่น
9. หาข้อเสีย
10. กลัว คือ หนี
11. อย่าหาที่พึ่ง
1
- ทำให้เราขาดความมั่นใจในตนเอง
- เป็นการเพาะบ่มความรู้สึกดูถูกดูแคลนตัวเองโดยไม่รู้ตัว
- เป็นการยึดเกาะความกลัวให้อยู่กับเราเหมือนเดิม
- ปลูกฝังนิสัยชอบการพึ่งพาหรือความช่วยเหลือจากคนอื่น สิ่งอื่นโดยไม่จำเป็น
- หากวันหนึ่งสิ่งที่พึ่งนี้ขาดหายไป เราอาจศูนย์เสียได้ เช่น หากเรากลัวผีแล้วเราเอาพระมาช่วยเรา ก็ต้องพึ่งพระไปตลอดชีวิต หากวันใดพระไม่อยู่กับคอเรา จะอยู่ในที่มืดไม่ได้หรือนอนไม่หลับไปทั้งคืนเลยหรือ? หากเป็นเช่นนั้นชีวิตคงย่ำแย่
12. จินตนาการ
13. ค่อยเป็นค่อยไป
14. ใช้ความกลัวกระตุ้น
15. เราเป็นส่วนหนึ่งของโลก
- เราเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้ โลกใบนี้เป็นส่วนหนึ่งของเราเช่นกัน
- ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ ล้วนข้องเกี่ยวกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเสมอ
- แม้แต่ขาวกับดำ แม้แต่ดีกับเลว ก็ยังมีความข้องเกี่ยวสัมพันธ์กัน เป็นส่วนหนึ่งของกันและกันตลอดมา
- หากเรากลัวในบางสิ่งก็เท่ากับว่าเรากลัวโลก โลกที่เราเป็นส่วนหนึ่งอยู่
- เมื่อเรารู้สึกว่าเรากับโลกเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันแล้ว เราก็จะเกิดความมั่นใจที่ว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างในโลกนี้ได้
วิธีที่ 7 นิยมความสำเร็จ
3
บางครั้งคำว่า “สร้างความมั่นใจ” อาจจะไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นตัวเอง เราอาจต้องมีคำว่า “นิยมความสำเร็จ” เพิ่มเข้าไปด้วยอีกคำหนึ่ง เนื่องจากความสำเร็จจะเป็นเหมือนธงหรือเป้าหมายที่ชัดเจน ทำให้เรามีแรงกระตุ้นที่จะสร้างความมั่นใจ เพื่อไปสู่จุดหมาย คือ ความสำเร็จให้จงได้นั่นเอง
ให้คุณเริ่มนิยมความสำเร็จด้วยการโปรแกรมตัวเองด้วยถ้อยคำดังต่อไปนี้
1. ฉันเป็นคนมีเป้าหมายในชีวิตแน่วแน่ มั่นคง
2. ฉันมีความมั่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จอย่างมาก
3. ฉันทำได้ทุกอย่างเพื่อที่จะปะสบความสำเร็จ
4. ความสำเร็จในทุกอย่างคือจุดมุ่งหมายของชีวิตฉัน
5. ความสำเร็จคือความสุขของฉัน
6. ถ้าฉันมั่นใจ ฉันก็สามารถประสบความสำเร็จได้
7. ความมั่นใจคือปัจจัยที่จะทำให้ฉันประสบความสำเร็จได้
8. ความมั่นใจจะช่วยผลักดันให้ฉันไปสู่เป้าหมายในชีวิตได้
9. ฉันมั่นใจว่าความสำเร็จสามารถเป็นของฉันได้
10. ฉันมั่นใจว่าฉันสามารถประสบความสำเร็จได้
หากเราเข้าใกล้หรือแม้แต่ประสบความสำเร็จแล้ว ก็ขอเตือนอย่าได้หลงระเริงหรือหลงใหลไปกับความสำเร็จหรือคำชมที่แสนหวานหอมเลย เพราะไม่ใช่สิ่งที่ดี มีแต่ผลเสียดังต่อไปนี้
1
1. ทำให้เรามีความมั่นใจมากเกินไป
2. ทำให้เราทำใจไม่ได้ หากล้มเหลวหรือไม่ประสบความสำเร็จ
3. ทำให้เรายึดติดกับความสำเร็จมากเกินไปจนไม่สนใจสิ่งอื่น ๆ
4. ทำให้เรายึดว่า ความสำเร็จ คือความสุขเพียงอย่างเดียวของชีวิต ซึ่งไม่ใช่ความจริงเลย
5. ทำให้เราเชื่อมั่นว่าเราทำดีที่สุดแล้ว ซึ่งบางครั้งอาจยังไม่สุดความสามารถ
6. ทำให้เราเชื่อในคำชมที่อาจไม่เป็นความจริง ซึ่งมีผลต่อต่อความมั่นใจและความสำเร็จของเรา
แนะนำคำติชมอย่างชาญฉลาดที่จะทำให้เราเกิดความมั่นใจ
1
1. รับฟังคำชมอย่างสมเหตุสมผล
2. รับฟังคำชมจากคนที่มีความเหนือกว่าเราในด้านของความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ วัย
3. รับฟังคำชมจากคนที่มีความตรงไปตรงมา เปิดเผยจริงใจ
4. รับฟังคำติด้วยความขอบคุณจากใจจริง
5. รับฟังคำติแล้วนำมาวิเคราะห์ว่าที่เขาวิเคราะห์นั้นจริงหรือไม่ มีทางแก้ไข ปรับปรุงอย่างไรบ้าง
>>>>> 7 ทิป สร้างความมั่นใจจากภายใน <<<<<
ทิปที่ 1 ยืดตัวเข้าไว้
การพยายามยืดตัวตรง ศีรษะตรง หลังตรงอย่างผึ่งผายเข้าไว้ตลอดเวลาทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้อื่น ซึ่งนอกจากจะดูสง่างามมีบุคลิกดีแล้วก็ยังสร้างความมั่นใจจากภายในได้ด้วย เพราะทำให้เรารู้สึกว่ามีความภาคภูมิ โดดเด่น ดูดี ดูเป็นคนมั่นใจในสายตาผู้อื่นอีกด้วย
ทิปที่ 2 ไม่ลงโทษตนเอง
การลงโทษตัวเองนั้นไม่ว่าจะด้วยอะไร เพราะเหตุใด ย่อมไม่ดีด้วยกันทั้งนั้น กับการที่เราผิดพลาดเพราะขาดความมั่นใจ มั่นใจไม่เพียงพอ เราย่อมเสียใจมากพออยู่แล้ว หากลงโทษตัวเองก็เท่ากับการตัดความมั่นใจให้ลดทอนลงไปอีก หากมากเกินไปก็คงยากที่จะพลิกฟื้นได้ สิ่งที่เราต้องทำก็คือ การให้อภัยตนเองและสร้างกำลังใจ เรียกความมั่นใจกลับคืนมาแล้วสู้ใหม่อีกครั้งนั่นเอง
ทิปที่ 3 สร้างคำขวัญ
การหาหรือสร้างคำขวัญสั้น ๆ ที่เป็นคำพูดเรียกความมั่นใจ ตอกย้ำความมั่นใจแก่คุณ ให้คำคำนี้เป็นสโลแกนส่วนตัวหรือประจำตัวของคุณ ที่คุณจะจดจำย้ำเตือนตนอยู่เสมอ ได้แก่
+ ฉันเป็นคนที่มีความมเชื่อมั่นในตัวเองสูง
+ ฉันรู้สึกภาคภูมิใจในตนเองอย่างมาก
+ ฉันเป็นคนมีความสามารถในด้าน…
+ ฉันรู้สึกดีกับตัวเองเหลือเกิน
+ ฉันรักตัวเองมาก
+ ฉันพอใจกับวันนี้ที่ฉันเป็นมาก
+ ฉันเป็นคนเก่ง ฉันสามารถทำได้อยู่แล้ว
+ ฉันไม่กลัวอะไรในโลกนี้ทั้งนั้น
+ ฉันชอบเป็นตัวเองแบบนี้
+ ฉันเป็นคนกำหนดชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่ผู้อื่น
+ ฉันมั่นใจว่าสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อนได้
2
ทิปที่ 4 ไม่โยนความผิดใส่ตัว
เมื่อทำผิดเราต้องพิจารณาเสียก่อนที่จะรับความผิด ไม่ใช่ว่าเห็นผิด เห็นว่าเป็นความผิดใกล้ตัว เห็นว่าอยู่ในส่วนความรับผิดชอบของเรา หรือแม้แต่ไม่มั่นใจว่าผิดไหมก็รีบยืดอกรับผิดไปก่อน หรือส่วนใหญ่ที่ทำคือ ก้มหน้าก้มตารับผิดกันไป ซึ่งอย่างนี้ไม่ถูกต้องนัก
1
คุณควรสร้างความรู้สึกที่ดีด้วยวิธีคิดดังต่อไปนี้
+ ฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นอย่างนี้
+ ฉันเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
+ ฉันจะเพิ่มความใส่ใจ เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดได้อีก
+ ฉันจะพยายามไม่ทำผิดพลาดเช่นนี้อีกครั้ง
+ คราวหน้าฉันจะแก้ตัวใหม่
+ คนเราผิดพลาดกันได้
+ ผิดก็ยอมรับผิด แต่ไม่ยอมแพ้หรอก
+ ฉันผิดก็ยอมรับ แต่จะไม่ลงโทษตัวเองให้รู้สึกแย่ยิ่งไปกว่านั้น
1
ทิปที่ 5 เผชิญหน้ากับคำว่ากล่าว
เราเปิดรับคำชมอย่างเต็มที่แต่มักปิดหูปิดตาและไม่ต้องการเผชิญหน้ากับคำว่ากล่าวใด ๆ หากเอาแต่รับคำชม เราก็มีแต่จะลอยไปไกลจากความเป็นจริง ไม่มีโอกาสได้ปรับปรุงตัวเองจากคำว่ากล่าว นอกจากนี้ยังทำให้เคยชินกับคำชื่นชม พอใครว่ากล่าวอะไรนิดหน่อยก็อดรนทนไม่ได้หรือขาดความมั่นใจไปในทันที เรียกว่าไม่มีภูมิคุ้มกันคำติติง
เผชิญหน้ากับคำว่ากล่าวให้เหมือนกับการยืดอกรับคำชมด้วยความภาคภูมิใจ เต็มใจ ทำบ่อย ๆ แล้วคุณจะได้รับประโยชน์รวมถึงความมั่นใจมากขึ้น
ทิปที่ 6 ทำสิ่งที่ชื่นชอบ
หลายคนสงสัยว่าการทำสิ่งที่ชื่นชอบเกี่ยวข้องอะไรกับการสร้างความมั่นใจ เกี่ยวทีเดียวเพราะการทำสิ่งที่ตนชื่นชอบนั้นก็หมายถึงการทำสิ่งที่เรารัก เราไม่สนใจ เรามักทำมันได้ดี ทำแล้วมีความสุข ต่างจากสิ่งที่เราไม่ชื่นชอบ ซึ่งต้องฝืนใจ ทำออกมาก็มักไม่ดีเท่า
พยายามตัดความคิดที่เป็นอุปสรรคเหล่านี้ออกไปก่อน
+ ทำคนเดียวจะเหงาหรือเปล่า
+ ทำคนเดียวไม่สนุกแน่ ๆ
+ ปกติไม่ค่อยเคยทำอะไร ๆ คนเดียว
+ ไม่ทำอะไรคนเดียว จะมีปัญหาไหมเนี่ย…
ทิปที่ 7 ปรึกษาแพทย์
การยอมรับในข้อบกพร่องเรื่องความไม่มั่นใจในตนเอง และหากเห็นว่ามันมากเกินที่จะช่วยเหลือเยียวยาตัวเองได้ ก็ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะ ซึ่งสิ่งที่เกิดอาจไม่ใช่แค่การขาดความมั่นใจ แต่เป็นอะไรที่ซับซ้อนกว่านั้นมาก
ไม่ว่าจะยุคใดสมัยใด ผู้คนส่วนใหญ่ย่อมตัดสินผู้อื่นจากภายนอกก่อนเสมอ นั่นเพราะคนเรามักเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น การมองลึกถึงภายในต้องใช้ระยะเวลาหรือความสนิทสนม ซึ่งเป็นเรื่องยาว แต่หากเรามีบุคลิกภาพที่ดีเราย่อมถูกตัดสินไปในแนวทางที่ดี แม้วันเวลาผ่านไปเราก็ยังคงดูดีในสายตาผู้อื่น ที่สำคัญ คือ ง่ายต่อการประสบความสำเร็จกว่าใคร ๆ อีกด้วย
"บุคลิกภาพ" คืออะไร ?
คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า บุคลิกภาพคือสิ่งภายนอกที่แสดงออกมาให้เห็นได้ ก็ไม่ผิดอะไรแต่ไม่ถูกต้องนักเพราะบุคลิกภาพมีความหมายกว้างขวางและหลายแง่มุมกว่านั้นมาก ลักษณะอันเป็นสิ่งจำเพาะเจาะจงของแต่ละบุคคลที่แสดงออกมาทางสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ได้แก่ ท่าทาง กิริยามารยาท ความเฉลียวฉลาด นิสัยใจคอ และความรู้สึกนึกคิด
ประเภทของบุคลิกภาพ :
1. บุคลิกภาพภายใน
สิ่งที่อยู่ภายในใจหรือนิสัยใจคอที่ไม่สามารถมองเห็นได้ สัมผัสได้ และยังเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขได้ยากอีกด้วย
+ ความรับผิดชอบ
+ ความอดทนอดกลั้น
+ ความเชื่อมั่นในตนเอง
+ ทัศนคติหรือความคิดเห็นในแง่มุมต่าง ๆ
+ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
+ ความซื่อสัตย์สุจริต
2. บุคคลภายนอก
สิ่งที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนจากภายนอก อีกทั้งยังสามารถเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขได้ง่าย ใช้เวลาไม่นานด้วย
1
+ การแต่งกาย
+ รูปร่างหน้าตา
+ การพูดเจรจา
+ กิริยาท่าทาง
ปัจจัยที่กำหนดบุคลิกภาพ :
1. พันธุกรรม
2. สิ่งแวดล้อม
3. สถานการณ์
ลักษณะของบุคลิกภาพ 5 แบบ :
1. Extroversion
บุคลิกภาพชอบการเข้าสังคม
2. Agreeableness
มีบุคลิกภาพของการประสานงานที่ดี
3. Conscientiousness
มีบุคลิกภาพเสมอต้นเสมอปลาย
4. Emotional Stability
มีบุคลิกภาพเชื่อมั่นในตนเอง
5. Openess to Experrience
มีบุคลิกภาพทันสมัย
บุคลิกภาพกับการปรับปรุงตัวเอง :
การทำความรู้จักบุคลิกภาพของตนเองมากขึ้น นำไปสู่การเข้าใจตนเอง การพัฒนาตนเองในแง่มุมต่าง ๆ ต่อไปอย่างการทำงาน การเข้าสังคม
1. กิริยาท่าทาง
2. การแต่งกาย
3. เชาวน์ปัญญา
ทฤษฎีตัวตน 3 ประการ :
1. ตนที่มองตนเห็น
เป็นคนใจร้อน เจ้าอารมณ์ หงุดหงิดง่าย ชอบใช้กำลังความรุนแรง
2. ตนตามความเป็นจริง
เป็นคนโกรธง่ายหายเร็ว ไม่คิดอาฆาตพยาบาทใครนาน ๆ
3. ตนตามอุดมคติ
อยากเป็นคนใจเย็น อ่อนหวาน อารมณ์ดี รู้จักประนีประนอม
ปรับบุคลิกภาพ 7 ประการ :
1. การปรับบุคลิกภาพในการแสดงท่าทาง
2. การปรับบุคลิกภาพในการมอง
3. การปรับบุคลิกภาพในการเดิน
4. การปรับบุคลิกภาพในการพูด
5. การปรับบุคลิกภาพในด้านสุขภาพ
6. การปรับบุคลิกภาพในการทำงานในหน้าที่
7. การปรับบุคลิกภาพในการแต่งกาย
>>>>> 7 วิธี ปรับบุคลิกภาพโฉมใหม่ <<<<<
วิธีที่ 1 การปรับบุคลิกภาพในการแสดงท่าทาง
การแสดงท่าทางของร่างกายมีผลต่อบุคลิกภาพอย่างมาก เราต้องแสดงท่าทางตลอดเวลาทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว แม้แต่การนั่งอยู่เฉย ๆ ก็ไม่เว้น
วิธีต่าง ๆ ในการขัดเกลาการแสดงท่าทาง
1. มั่นใจ
2. นิ่งเข้าไว้
3. ควบคุมตัวเอง
4. สังเกตผู้อื่น
5. ยิ้มแย้ม
1
วิธีที่ 2 การปรับบุคลิกภาพในการมอง
รู้หรือไม่ว่าการมอง ซึ่งเป็นการใช้สายตาเพียงนิดเดียวมีผลต่อบุคลิกภาพอย่างมาก หากปรับปรุงให้เหมาะสมบุคลิกย่อมดีได้ไม่ยากเลย
วิธีมองอย่างมีบุคลิก
1. ไม่มองจิก
2. ไม่มองด้วยหางตา
3. มองด้วยรอยยิ้ม
4. ไม่มองจ้อง
5. ไม่แอบมอง
วิธีที่ 3 การปรับบุคลิกภาพในการเดิน
เราใช้การเดินในชีวิตประจำวันรวมถึงในการทำงาน ดังนั้นควรปรับปรุงการเดินที่เป็นภาพรวมหลักให้ดูดีเสมือนการก้าวไปข้างหน้าสู่ความสำเร็จอย่างมั่นคงสวยงาม
>>> วิธีการเดินดีมีบุคลิกภาพ <<<
1. เริ่มด้วยการจัดท่าทางให้ถูกต้อง
2. ท่าเริ่มของการเดินด้วยการยืน ไม่ใช่การยืนเกร็ง
3. สายตามองไปข้างหน้าไม่สั้นหรือยาวจนเกินไป
4. ก้าวขาข้างหนึ่งออกไปเล็กน้อยเป็นการเริ่มเดิน
5. การลงเท้ากับพื้น ส่วนของส้นเท้าจะสัมผัสพื้นเป็นอันดับแรก
6. การก้าวขา ต้องให้สัมพันธ์กันกับการแกว่งแขน
7. การแกว่งแขน แขนจะเป็นเส้นตรงอยู่ข้างลำตัว
8. ก้าวขาขวาและขาซ้าย แกว่งแขนขวาและแขนซ้ายให้สัมพันธ์กันสลับกันไปเรื่อย ๆ
9. สำหรับความเร็วในการเดิน ให้เดินปกติคือ ไม่เร็วรีบหรือช้าจนเฉื่อย
10. สำหรับความเร็วในการเดินที่ค่อนข้างเร็ว ก็คือประมาณนาทีละ 70 เมตร
เลือกรองเท้าให้เหมาะสมกับการเดิน
รองเท้านั้นก็คือ อุปกรณ์ในการเดินที่สำคัญที่สุด หากได้รองเท้าที่เหมาะสม นอกจจากจะเดินสบาย เดินสวย ไม่บาดเจ็บเพราะรองเท้ากัดแล้ว ก็ยังดูดีมีบุคลิกภาพอีกด้วย
>>> เดินอย่างไรบอกบุคลิกภาพอย่างนั้น <<<
+ เดินรวดเร็ว :
ใจร้อน หงุดหงิดง่าย ขี้โมโห รอใครไม่เป็น
+ เดินเชื่องช้า :
ขาดความกระตือรือร้น หัวอ่อน
+ เดินลากเท้า :
เป็นคนหนักไม่เอาเบาไม่สู้ ไม่ค่อยมีน้ำอดน้ำทน
+ เดินโหย่งตัว :
ขาดความมั่นใจในตนเอง คิดมาก ขี้น้อยใจ
+ เดินไร้เสียง :
มีความมั่นใจในตนเอง ระมัดระวังตัวหรือรักษาฟอร์มได้ดีตลอดเวลา
+ เดินกระทืมเท้า :
ขี้โมโหง่าย เอาแต่ใจตัวเอง
+ เดินก้าวเท้ายาว :
อยู่ในโลกของความเป็นจริง อาจขาดจินตนาการไปสักหน่อย
+ เดินก้าวเท้าสั้น :
เรื่องมาก จุกจิกจู้จี้ ขี้บ่น วิตกกังวลเกินเหตุ
>>> วิธีการนั่งอย่างมีบุคลิก <<<
1. เริ่มด้วยการนั่งตัวตรง
2. สำหรับสายตา มองไปข้างหน้าเล็กน้อย
3. ควรนำมือทั้งสองมาประสานกัน
4. หากนั่งเก้าอี้ที่มีพนักพิง ไม่ควรเอนหลังมากเกินไป
5. สำหรับขาทั้งสอง ให้แนบชิดติดกัน เข่าชิดกัน
6. สำหรับผู้หญิงที่ใส่กระโปรงสั้น ๆ ให้นั่งด้วยความระมัดระวัง
7. ไม่ควรนั่งไขว่ห้าง ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย
8. ไม่ควรนั่งเท้าพนักพิงที่เก้าอี้
9. ไม่ควรนั่งกระดิกเท้าเล่น
>>> นั่งอย่างไรบอกบุคลิกภาพอย่างนั้น <<<
+ นั่งสง่างาม :
มั่นใจในตนเอง มีมนุษย์สัมพันธ์ดี มีเสน่ห์ ทันสมัย
+ นั่งไขว่ห้าง :
มั่นใจในตนเอง ฉลาดหลักแหลม รู้เท่าทันผู้อื่น
+ นั่งงอตัว :
ขาดความกระตือรือร้น ค่อนข้างเกียจคร้าน
+ นั่งก้มหน้า :
มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ไม่ค่อยมีความจริงใจกับใคร
+ นั่งเงยหน้า :
มีความมั่นใจในตัวเอง มีความเป้นผู้นำสูง
+ นั่งกอดอก :
ไม่ชอบเปิดเผย ชอบวางอำนาจใส่ผู้อื่น
+ นั่งเหม่อลอย :
ขาดความรับผิดชอบ ขาดความกระตือรือร้น
+ นั่งตัวเอียง :
แปรปรวน โลเลง่าย ไม่ค่อยจะมีเป้าหมาย
+ นั่งกุมมือ :
ค่อนข้างหัวโบราณ ทำอะไรตามแบบแผนเสมอ
+ นั่งกอดเข่า :
อารมณ์แปรปรวนง่าย คิดมาก ไม่ค่อยสดใสร่าเริง
+ นั่งเท้าคาง :
ขาดมนุษยสัมพันธ์ เก็บตัว ชอบอยู่คนเดียว คิดมาก
+ นั่งกระดิกเท้า :
ขาดความมั่นใจในตนเอง อารมณ์แปรปรวนง่าย
+ นั่งตัวตรงเป๊ะ :
มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงจนบางครั้งไม่รับฟังความคิดใคร รอบคอบ เย่อหยิ่ง
>>> วิธีการยืนอย่างสง่างาม <<<
+ เริ่มด้วยการยืนตัวตรง
+ สายตาให้มองไปข้างหน้า
+ แขนทั้งสองข้างให้แนบลำตัว
+ อาจใช้การประสานมือทั้งสองเอาไว้ข้างหน้า
+ ขาทั้งสองชิดกัน
+ หากต้องยืนเป็นเวลานาน ๆ ให้หย่อนขาข้างใดข้างหนึ่งเล็กน้อย
+ ไม่ควรยืนแนบหรือพิงร่างกายกับสิ่งใดอย่างกำแพง ผนัง โต๊ะ เก้าอี้
+ ไม่ควรเอามือล้วงกระเป๋า
+ ไม่ควรยืนกอดอก
+ ไม่ยืนเท้าสะเอว
>>> ยืนอย่างไรบอกบุคลิกภาพอย่างนั้น <<<
+ ยืนเอามือไพล่หลัง :
ตัวของตัวเองสูงมาก ความอดทนสูง สติปัญญาดี
+ ยืนกอดอก :
ใจเย็น มีความละเอียดรอบคอบ เจ้าความคิด
+ ยืนหลังค่อม :
ขาดความเป็นผู้นำ ขาดความมั่นใจในตนเอง
+ ยืนก้มหน้าก้มตา :
ค่อนข้างขี้อาย ไม่ชอบการเข้าสังคม
+ ยืนล้วงกระเป๋า :
ไม่เปิดเผย ชอบมีลับลมคมใน วิตกหวาดระแวง
+ ยืนตัวตรง :
มั่นใจในตนเอง มีความเป็นผู้นำ ระมัดระวังตัวเองดีมาก
>>> วิธีการนอนอย่างสุภาพดูดี <<<
+ ควรใส่เสื้อผ้าที่สุภาพเรียบร้อย
+ ควรห่มผ้าให้เรียบร้อย
+ การนอนตะแคงขวาและมีหมอนข้างกอดจะทำให้นอนสบาย
+ หากรู้ตัวว่าเป็นคนนอนกรน นอนดิ้น นอนละเมอ ให้เกริ่นขอโทษผู้ที่นอนด้วย
+ หากต้องลุกกลางดึกไปดื่มน้ำ ทำธุระ ให้ลุกเบา ๆ ทำอะไรเบา ๆ
+ ไม่ควรเดินข้ามคนที่นอนอยู่
+ ตื่นมาแล้วควรเก็บที่หลับที่นอนให้เรียบร้อย
+ ควรจัดแจงเสื้อผ้าและทรงผมให้ดูดีที่สุดก่อนจะลุกจากเตียง
>>> นอนอย่างไรบอกบุคลิกภาพอย่างนั้น <<<
+ นอนคว่ำ :
ดื้อ ไม่ชอบรับฟังความคิดเห็นของใครนัก
+ นอนหงาย :
สบาย ๆ ไม่เรื่องมาก
+ นอนคลุมโปง :
ค่อนข้างเก็บตัว ไม่ชอบการเข้าสังคม
+ นอนเอามือก่ายหน้าผาก :
คิดมาก เครียดง่าย อมทุกข์เป็นประจำ
+ นอนกอดหมอนข้าง :
ขี้เหงา ขาดความมั่นใจในตัวเอง
+ นอนแผ่หลา :
เปิดเผยจริงใจ เข้าใจง่าย เก็บความลับไม่เก่ง
>>> วิธีการกินอย่างมีมารยาท <<<
1. เมื่อมีนัดรับประทานอาหาร
+ ควรไปก่อนเวลาสักเล็กน้อยประมาณ 15 นาที
+ ควรแต่งกายให้ดูดีถูกกาลเทศะ
2. งานค็อกเทล
+ หากที่งานมีเก้าอี้เป็นจำนวนน้อยจัดเตรียมไว้ ควรเปิดโอกาสให้ผู้สูงวัยได้นั่งเก้าอี้
+ หากเป็นคนกินจุ ให้กินอะไรรองท้องไปก่อนสักหน่อย
+ หากมีการเสิร์ฟเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ ไม่ควรดื่มเข้าไปมาก
+ อย่าตั้งหน้าตั้งตากินจนลืมทักทายพูดคุยกับผู้อื่น
+ ไม่ควรหยิบอาหารมาตุน
3. งานบุฟเฟ่ต์
+ ควรตักแต่พอดี
+ ไม่ตักอาหารมาครั้งละมาก ๆ
+ ไม่ตักอาหารเผื่อผู้อื่น
+ ไม่ตักของหวานหรือผลไม้มาตุน
4. งานโต๊ะจีน
+ ไม่ควรรีบกิน
+ หากมีช้อนกลาง ควรใช้เพื่อมารยาทและสุขอนามัย
+ ควรเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้ตักอาหารบ้าง
+ ไม่ตักแต่อาหารที่ตนชอบกินเท่านั้น
+ ไม่ทิ้งเศษอาหารลงใต้โต๊ะ
5. งานแบบฝรั่ง
+ ให้คลี่ผ้าเช็ดปากแล้ววางลงบนตัก
+ การใช้อุปกรณ์ในการกินอาหารให้ใช้ตามลำดับ
+ สำหรับมีด ช้อนและส้อม ให้คุณใช้มือขวาจับมีดและช้อน มือซ้ายจับส้อม
+ ใช้มือซ้ายกินอาหารและคว่ำปลายส้อมลงด้วย
+ ไม่ควรเท้าศอกบนโต๊ะอาหาร
+ หากไม่มีพนักงานเสิร์ฟ ให้ส่งผ่านอาหารผ่านทางขวามือไปรอบโต๊ะ
+ ไม่ควรดูด เลีย อม ช้อม ส้อมหรือมีด
+ หากมีการพักกินอาหาร ให้คุณวางส้อมไว้ที่ด้านซ้ายของจาน
+ ให้คุณตักอาหารใส่ปาก ไม่ใช่การก้มหัวไปใกล้ ๆ
+ อาหารประเภทน้ำเกรวี่หรือน้ำซอส ให้ราดลงบนอาหารได้ทันที
+ หากเป็นอาหารประเภทขนมปังก้อน มัฟฟิน ไม่ควรกัดกินทันที
+ ในส่วนของขนมปังทาเนย ให้คุณทาเนยกับขนมปังที่บิแล้วทีละคำ ๆ
+ ไม่ควรคาช้อนกาแฟเอาไว้ในถ้วย
+ หากเป็นอาหารร้อน ๆ ไม่ควรเป่าเด็ดขาด ควรรอจนกว่าจะอุ่น
+ ผลไม้ที่มีเมล็ดอย่างแตงโม มะละกอ องุ่น ให้คุณคายเมล็ดออกมา ด้วยการนำนิ้วหยิบ
+ สำหรับกระดูกสัตว์อย่างกระดูกไก่ ให้คุณดุนออกมาวางที่ช้อนหรือส้อมก่อนที่จะวางลงบนจานอีกที
+ การกินซุปให้ช้อนตักซุปออกจากตัว
+ หากเป็นอาหารประเภทซุป สามารถยกถ้วยดื่มได้หรือใช้ช้อนก็ได้
+ หากเป็นซุปที่มีเส้นหรือผักชนิดต่าง ๆ ให้ใช้ช้อนตักกิน
+ ไม่ควรวางมีด ช้อน ส้อม เอาไว้บนโต๊ะ ให้วางไว้บนจาน
+ ไม่ควรใช้มือดันอาหารเข้าไปกับส้อม
+ หากมีเศษอาหารติดฝัน ไม่ควรแคะเขี่ยต่อหน้าผู้อื่น
+ อาหารบางชนิดเราสามารถใช้มือกินได้
+ เมื่อกินอาหารเรียบร้อยแล้ว ควรวางส้อมและมีดในลักษณะที่ไม่เลื่อนหลุดออกจากจาน
+ เมื่อกินอาหารเรียบร้อยแล้ว ให้วางผ้าเช็ดปากลงบนด้านซ้ายของจาน
+ กรณีมีน้ำยาล้างมือใส่ถ้วยมาให้ ให้คุณจุ่มปลายนิ้วลงในน้ำ
+ ไม่ใช้ผ้าปูโต๊ะสำหรับเช็ดมือ
+ เมื่อกินอาหารเรียบร้อยแล้ว ไม่ควรเลื่อนจานออกจากตัว
2
6. มารยาททั่วไปในการกินอาหาร
+ ควรแสดงมารยาทที่ดีด้วยการเลื่อนโต๊ะให้ผู้อื่นที่มาด้วยกัน
+ ควรเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้สั่งอาหารบ้าง ไม่ใช่สั่งอยู่คนเดียว
+ ไม่รีบกินอาหารหรือไม่กินแบบเรื่อยเปื่อยเชื่องช้าด้วย
+ ไม่ควรอ้าปากกว้างมากเวลากินอาหาร
+ ไม่กินอาหารเสียงดัง ควรเคี้ยวอาหารแบบปิดปากไม่ใช่เปิดปาก
+ ไม่พูดคุยหรือหัวเราะขณะกินอาหาร เพราะเสียมารยาทและอาจสำลักได้ด้วย
+ ควรรอให้ผู้ร่วมโต๊ะอาหารมากันครบกันเสียก่อน ไม่ใช่กินอาหารก่อนเขา
+ ไม่ใช้อุปกรณ์ในการกินอย่างช้อน มีด ส้อม ตะเกียบ ชี้หน้าหรือเรียกผู้อื่น
+ อาหารประเภทซุป แกงจืด ต้องระวังเรื่องการซด อย่าให้มีเสียงดัง
+ หากต้องการเรอ จาม ไอ ให้ขอตัวลุกออกจากโต๊ะอาหารไปหรือหากไม่ทันให้ใช้ทิชชู ผ้า หรือแม้แต่มือปิดปากเสียก่อน
+ ไม่ควรทำกิริยาซึ่งเป็นที่น่ารังเกียจในวงอาหาร เช่น เกาตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แคะหู แคะขี้มูก แคะเล็บ ตัดเล็บ ขัดขี้ไคล
+ ไม่ควรทิ้งทิชชูลงในจานอาหาร ให้วางไว้ที่ข้าง ๆ จานหรือเก็บไปทิ้งที่อื่นแทน
+ ไม่ควรก้มหน้าก้มตาเอาแต่กินอย่างเดียว ให้เงยหน้าขึ้นมาดูผู้อื่นหรือร่วมวงพูดคุยตามมารยาทบ้าง แต่ต้องให้อาหารหมดปากเสียก่อน
+ การกินอาหารที่ใช้มือ ต้องระวังเรื่องความสะอาด อาจใช้ทิชชูเช็ด
+ ไม่ควรเช็ดมือที่เปื้อนกับเสื้อผ้าหรือปาดกับโต๊ะ
+ เวลาที่ตักอาหาร ไม่ควรตักข้ามมือผู้อื่น
+ หากตักอาหารไม่ถึงไม่ควรยืนตัก ให้บอกคนข้าง ๆ ให้ช่วยหยิบให้แทน
+ ไม่ควรพูดเรื่องที่ไม่เหมาะสมในวงอาหาร เช่น ขยะ มูล เรื่องความตาย ความสกปรก การบาดเจ้บ ความสูญเสียผิดหวัง
+ เมื่อกินเรียบร้อยแล้ว ให้รวบช้อนส้อมด้วย
+ หากโต๊ะอาหารสกปรก ให้ดูแลความสะอาดอย่างคร่าว ๆ เสียก่อน
+ ไม่ควรรีบลุกออกจากโต๊ะทันที ควรรอให้ผู้อื่นกินเรียบร้อยเสียก่อน
วิธีที่ 4 การปรับบุคลิกภาพในการพูด
การพูดถือเป็นการแสดงออกซึ่งบุคลิกภาพอย่างหนึ่ง เราสามารถตัดสินบุคคลว่าเขาเป็นอย่างไร มีบุคลิกดีหรือไม่จากการพูด
“การพูด” คืออะไร ?
การสื่อสารด้วยการใช้ภาษาจากผู้พูดไปสู่ผู้ฟัง เพื่อสื่อความหมายให้ได้รับทราบข้อมูล ความรู้สึกนึกคิด รวมถึงความต้องการของตนเอง อีกทั้งยังเป็นการแลกเปลี่ยนทัศนคติต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งกันและกันด้วย
องค์ประกอบของการพูด :
+ ผู้พูด
+ เนื้อหา
+ สื่อ
+ ผู้ฟัง
+ ปฏิกิริยาจากผู้ฟัง
หลักในการพูดให้ดูดีมีบุคลิกภาพ :
+ ยิ้มแย้ม
+ ใช้คำพูดที่เหมาะสม
+ เตรียมตัว
+ ใช้มือไม้ประกอบ
+ น้ำเสียงเป็นธรรมชาติ
+ มั่นใจ
+ เสียงดังฟังชัด
+ พูดเข้าใจง่าย
+ ให้ลูกยอ
+ มีอารมณ์ขัน
ออกเสียงให้ถูกต้อง :
1. การออกเสียงแบบไม่ตัดคำ
2. การออกเสียงแบบอักษรนำ
3. การไม่ออกเสียงต่อเนื่อง
4. การออกเสียงสั้น การออกเสียงยาว
5. การออกเสียงคำควบกล้ำ
6. การออกเสียงตามความนิยม
7. การออกเสียงคำสมาส
ไม่ใช้ศัพย์ยาก :
คุณไม่ควรใช้ภาษาต่างประเทศ หรือศัพท์เทคนิคต่าง ๆ ที่เข้าใจยาก อาจเข้าใจไขว้เขว่และคนทั่วไปไม่คุ้นชิน
ไม่ใช้ศัพท์วัยรุ่น :
ควรเลือกใช้บางคำที่เข้าใจกันหรือใช้ให้น้อยที่สุด การใช้ศัพท์ในลักษณะนี้มาก ๆ อาจทำให้การพูดขาดความน่าเชื่อถือ เข้าใจไขว่เขว และขาดพลังอีกด้วย
ไม่พึ่งโพย :
การพูดที่ดีที่สุดคือ การพูดออกมาจากใจ จากความเข้าใจของเราเอง จึงไม่ควรใช้โพยใด ๆ
ไม่พูดน่ารำคาญ :
การพูดในบางลักษณะทำให้ผู้ฟังรู้สึกรำคาญ การพูดล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งแรกได้ ให้คุณหลีกเลี่ยงในการพูดในลักษณะเหล่านี้
การพูดวกไปวนมาหรือซ้ำ ๆ :
การพูดออกนอกประเด็นมากเกินไป
>>> เรียนรู้มารยาทในการพูด <<<
+ หากเป็นการพูดที่มีนัดหมายเวลา คุณควรไปก่อนเวลาเล็กน้อย
+ ควรแต่งกายให้ดูดีหรือเหมาะสมกับกาลเทศะ
+ ควรใช้คำพูดทักทายผู้ฟังอย่างถูกต้องและเหมาะสม
+ ควรพูดด้วยถ้อยคำที่สุภาพไพเราะ
+ ไม่แย่งผู้อื่นพูด
+ ไม่ควรหัวเราเสียงดัง
+ ไม่พูดจาว่าร้ายใคร
+ ไม่ควรล้วงแคะแกะเกาส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
+ ไม่ควรอมลูกอม
+ ไม่ควรชี้นิ้วไปทางผู้ฟัง
+ หากมีการแสดงความคิดเห็นของผู้อื่น เราควรน้อมรับฟังด้วยความสนใจ
+ ควรให้เกียรติผู้ฟัง
+ ไม่พูดจาโอ้อวด
+ ไม่ควรเขย่าขาแข้งเวลาพูด
+ ไม่ควรลอบดูนาฬิกาบ่อย ๆ
+ ไม่พูดนานจนเกินความจำเป็น
+ ไม่ควรซุกมือลงในกระเป๋ากางเกง
+ เลือกใช้คำพูดที่แสดงถึงมารยาทและความสุภาพอ่อนหวาน
+ ไม่ควรใช้น้ำเสียงที่แสดงความไม่มีมารายาท
+ ไม่ควรยืนพิงผนัง
>>> เรียนรู้มารยาทในการฟัง <<<
+ สังเกตว่าผู้ที่ต้องการพูดหรือแสดงความคิดเห็นด้วยหรือไม่ หากมีก็ให้โอกาสเขาด้วย
+ แสดงอารมณ์ร่วมไปกับผู้อื่นด้วย
+ ไม่ควรแสดงท่าทางที่ไม่ให้เกียรติผู้พูด
+ ไม่แสดงความดูถูกความคิดเห็นของผู้อื่น
+ ไม่คุยเล่น คุยโทรศัพท์ หรือชวนผู้อื่นคุย
+ ควรแสดงความให้เกียรติผู้พูด
+ หากต้องการแสดงความคิดเห็นให้ดูสถานการณ์และรอจังหวะที่เหมาะสม
>>> การพูดโทรศัพท์อย่างมีมารยาท <<<
+ คุณไม่ควรปล่อยให้โทรศัพท์ดังนานเกินไป
+ กรณีที่คุณเป็นคนติดต่อหรือโทรศัพท์ไป ควรตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ให้ถูกต้อง
+ ไม่ควรกินหรือดื่มในเวลาที่โทรศัพท์อยู่
+ ควรพูดด้วยน้ำเสียงที่สุภาพนุ่มนวล
+ กรณีที่มีผู้โทรเข้ามาแต่เขาไม่ได้โทรมาหาคุณ ควรสอบถามให้แน่ชัดว่าต้องการเรียนสายกับใคร
+ ไม่ควรพูดเรื่อยเปื่อย
+ ถ้ามีความจำเป็นต้องหยุดพูดไปชั่วขณะ เพื่อทำธุระต่าง ๆ ต้องบอกให้อีกฝ่ายรับทราบ
+ กรณีที่ต้องหยุดพูดนาน ๆ ควรแจ้งให้อีกฝ่ายทราบ
+ ควรใช้คำพูดที่ชัดเจน
+ คุณไม่ควรวางหูโทรศัพท์ก่อนการสนทนาจบลง
+ คุณไม่ควรโทรหาผู้อื่น
+ กรณีที่คุณโทรเบอร์ผิด ควรรีบขอโทษอีกฝ่ายทันที
วิธีที่ 5 การปรับบุคลิกภาพในด้านสุขภาพ
หลายคนอาจสงสัยว่าเรื่องของสุขภาพมีผลหรือเกี่ยวข้องอย่างไรกับสุขภาพ ต้องบอกเลยว่าเกี่ยวมากทีเดียว
สร้างพื้นฐานสุขภาพดีด้วยความสะอาด :
+ หมั่นรักษาความสะอาดของผิวกาย
+ ควรใช้ครีมบำรุงผิวในหน้าหนาว
+ ดูแลรักษาสุขภาพของเส้นผม หนังศีรษะ
+ ควรรักษาความสะอาดของช่องปากและฟัน
+ รักษาความสะอาดของเล็บมือ
+ รักษาความสะอาดของใบหูและรูหูอยู่เสมอ
+ ใส่เสื้อผ้าที่สะอาด
+ ดูแลความสะอาดของกลิ่นตัว
ดูแลสุขอนามัยในภาพรวมทั้งหมด :
+ ควรออกกำลังกายเป็นประจำ
+ ควรกินอาหารที่มีประโยชน์
+ ดูแลอารมณ์ให้แจ่มใส ไม่เครียดง่ายอยู่เสมอ
+ ทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำทำธุระหนักหรือเบาให้ล้างมือให้สะอาด
+ ทุกครั้งก่อนกินอาหารควรล้างมือ
+ ไม่ควรใช้ของใช้ส่วนตัวปะปนกับผู้อื่น
+ ควรพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
+ ไม่ควรใช้ยาเสพติดทุกชนิด
+ ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของสารกาเฟอีน
+ ควรควบคุมน้ำหนัก
+ หากต้องการลดน้ำหนักให้ปรึกษาแพทย์
+ หากสังเกตว่ามีอาการผิดปกติใด ๆ ในร่างกายให้ปรึกษาแพทย์ทันที
+ หมั่นตรวจร่างกายเป้นประจำในทุก ๆ ปีด้วย
วิธีที่ 6 การปรับบุคลิกภาพในการทำงาน
สำหรับบุคลิกภาพในการทำงานในหน้าที่มีมากมายที่ควรปรับให้ดีขึ้น ได้แก่
1. การมีความรับผิดชอบ
2. การทำตามหน้าที่
3. การทำอย่างเต็มที่
4. การให้ความร่วมมือ
5. การตรงต่อเวลา
6. การรู้จักการประนีประนอม
7. การทำงานเป็นทีม
วิธีที่ 7 ปรับบุคลิกภาพในการแต่งกาย
การแต่งกายที่มีบุคลิกภาพสามารถสร้างความประทับใจ ความนับถือ ความเชื่อใจ รวมถึงยังโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นได้อีกด้วย
หลักใหญ่ 4 ประการในการแต่งกาย :
1. แต่งกายสะอาด
2. แต่งกายสุภาพ
3. แต่งกายประณีต
4. แต่งกายประหยัด
>>>>> 7 ทิป ปรับบุคลิกภาพโฉมใหม่ <<<<<
ทิปที่ 1 เรียนรู้มารยาทในการแนะนำตัว
การแนะนำตัวเป็นการสร้างความสัมพันธ์ในเบื้องแรกที่ต้องเรียนรู้ว่าต้องทำอย่างไรจึงจะถูกต้องและมีมารยาท
+ การพูดคุยทำความรู้จักทั่วไป
+ การสังสรรค์ทำความรู้จักในงานเลี้ยงสังสรรค์
+ การสัมภาษณ์งาน
+ การประชุม หรือสัมมนา
+ การเข้าร่วมเป็นสมาชิกในกลุ่มต่าง ๆ
+ การติดต่อขอความช่วยเหลือ
1. แต่งตัวดี
2. ยิ้มแย้ม
3. จับมือเป็น
4. น้ำเสียงเหมาะ
5. ใช้สายตา
6. เรียกชื่อตรง
7. แนะนำตัวเอง
8. แนะนำผู้อื่น
9. ตำแหน่ง
10. เพศ
11. อายุ
ทิปที่ 2 ไม่ตามใคร
การปรับบุคลิกภาพให้ดูดีนั้นไม่ได้หมายความว่าเราควรทำตามหรือก็อปปี้บุคลิกภาพของคนอื่นอย่างดารา นักร้อง คนดังมาใช้ทั้งหมด เพียงแค่เลือกนำมาเป็นแนวทางเท่านั้น
ทิปที่ 3 ปรับตัวเอง
ไม่มีใครปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นไม่ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องอยู่ที่ความพยายามและการไม่มีข้ออ้างใด ๆ ด้วย
ทิปที่ 4 ปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่น
นอกเหนือจากการปรับบุคลิกตัวเองแล้ว ยังต้องปรับให้เข้ากับผู้อื่นด้วย เพราะเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก ต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่น
ทิปที่ 5 ปรับตัวให้เข้ากับผู้ใหญ่
ผู้ใหญ่ก็คือ ผู้ที่มีอายุและประสบการณ์มากกว่า เหนือกว่าเรา เราควรปรับบุคลิกและปรับตัวให้เข้ากับเขาเรียนรู้สิ่งดี ๆ จากเขา นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์
ทิปที่ 6 บุคลิกภาพผู้นำ
หากคุณปรับบุคลิกภาพให้มีความเป็นผู้นำได้ก็เท่ากับว่าคุณมีบุคลิกภาพดูดี น่าเชื่อถือ น่าสนใจ และแตกต่างจากผู้คนทั่วไป มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จกว่าใครเพื่อนด้วย
+ ผู้นำไม่ได้หมายถึงตำแหน่งในหน้าที่การงาน แต่เป็นความรู้สึกและทัศนคติที่ผู้อื่นมีต่อเรา
+ ผู้นำ คือ ผู้ที่สร้างความเปลี่ยนแปลง
+ ผู้นำมีความสามารถในการกระตุ้นและปลุกเร้าผู้อื่น
+ ผู้นำ คือ ผู้ที่ทำตามคำพูดและหลักการของตนเองอย่างเคร่งครัด
+ ผู้นำ คือ ผู้ที่มีความมั่นใจ จากความมั่นใจและไว้เนื้อเชื่อใจของผู้ตาม
+ ผู้นำ ไม่ใช่ผู้บังคับแต่เป็นผุ้ที่ร้องขอให้ผู้อื่นทำตามตน
+ ผู้นำ คือ ผู้เริ่มก่อน
+ ผู้นำผิดพลาดได้และพร้อมที่จะรับผิดเสมอ
ทิปที่ 7 เลือกเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับรูปร่าง
คนเรามีรูปร่างที่แตกต่างกัน ถึงแม้รูปร่างจะไม่เพอร์เฟกต์แต่หากเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะสมกับตัวเองก็สามารถเสริมบุคลิกได้มาก
ผู้ที่มีรูปร่างผอมบาง :
+ ไม่ใส่เสื้อผ้ารัดรูปจนเกินไป
+ หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อลายทางยาวลงมา
+ อาจใช้การใส่เสื้อผ้าหลายชั้นพรางตาได้
+ เลือกเสื้อที่มีจีบพอง ๆ
+ ควรใส่เสื้อที่มีปกใหญ่ ๆ
+ เลือกเข็มขัดหรือผ้าคาดเอวเส้นใหญ่ ๆ
+ ไม่จำเป็นต้องใส่รองเท้าส้นสูงเสมอไป
+ ใส่กระโปรงมีจีบรอบดีกว่ากระโปรงทรงเอหรือรัดรูป
+ เลือกเสื้อแขนสามส่วน
+ ใส่เสื้อคอสูงหรือแนบลำคอ
+ เลือกแอสเซสเซอร์รี่ที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ขึ้นมานิดหนึ่ง
ผู้ที่มีรูปร่างอวบอ้วน :
+ ใส่เสื้อผ้าลายทางยาวดิ่งลงมา
+ ใส่เสื้อผ้าพอดีตัว
+ ดีไซน์เสื้อผ้าเป็นแบบเรียบ ๆ
+ ควรใส่กระโปรงให้มีความยาวต่ำกว่าเข่าเสมอ
+ ใช้เข็มขัดเส้นเล็ก ๆ
+ ไม่ควรใส่เสื้อคอปกสูง ๆ หรือตั้ง
+ เลือกเอสเซสเซอรร์รี่ขนาดเล็ก ๆ
เราจะมาเข้าสู่เนื้อหาการมุ่งไปสู่ความสำเร็จกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแค่ 7 วิธี ใช้เวลาเพียง 7 วันเท่านั้น และจากนี้ก็นับถอยหลังสู่ความสำเร็จได้เลย
>>>>> 7 วิธี มุ่งสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จ <<<<<
วิธีที่ 1 กำหนดเป้าหมาย
เป้าหมาย 3 ระดับ
+ เป้าหมายระยะสั้น
+ เป้าหมายระยะยาว
+ เป้าหมายในอุดมคติ
วิธีที่ 2 สร้างแรงจูงใจ
เรี่ยวแรงหรือพลังที่จะทำให้เราไปสู่เป้าหมาย คือ ความสำเร็จได้ง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้น เสมือนเป็นแรงผลักดันนั่นเอง
+ ทำงานอย่างคนฉลาด
+ มีชีวิตด้านอื่น
+ ไม่หยุดพัฒนา
วิธีที่ 3 ทำงานอย่างเป็นสุข
ปัจจัยที่ทำให้เราจะประสบความสำเร็จนั่นก็คือ การทำงานอย่างมีความสุข เมื่อคนเรามีความสุขกับสิ่งที่ทำย่อมทำงานออกมาดี มีแรงผลักดันในการก้าวสู่ความสำเร็จ
+ รู้จักแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ
+ รู้จักพักผ่อนในการทำงานบ้าง
+ ทำงานด้วยความสดชื่น
+ รู้จักการแลกเปลี่ยน
วิธีที่ 4 รู้ลึก
การรู้ลึกรู้จริงในส่วนของตนเอง ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งของความสำเร็จ
+ รู้ตัวเอง
+ รู้ผู้อื่น
+ รู้ตื้นลึก
วิธีที่ 5 เลียนแบบการทำงานของคนชาติต่าง ๆ
ขอเสนอลักษณะการทำงานของคนชาติต่าง ๆ ที่ถือว่าทำงานดี มีความก้าวหน้า เพื่อเป็นแนวทางตัวอย่าง
การทำงานของคนอเมริกัน :
+ มีความกล้าคิดกล้าแสดงออกสูง
+ มีความคิดแปลกใหม่สร้างสรรค์เสมอ
+ มีความตรงไปตรงมา
+ ทำงานด้วยความรวดเร็วและเด็ดเดี่ยว
การทำงานของคนญี่ปุ่น :
+ ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผน
+ ยอมรับในระบบอาวุโส
+ ให้ความทุ่มเทกับการทำงานค่อนข้างสูง
+ มีความตรงต่อเวลาอย่างมาก
การทำงานของคนอังกฤษ :
+ มีมารยาทในการทำงานสูง
+ มีความพิถีพิถัน
+ มีความตรงต่อเวลาสูงมาก
วิธีที่ 6 มีทัศนคติที่ดี
การมีทัศนคติหรือความคิดที่ดีในการทำงาน ซึ่งทำให้ทำงานอย่างมีความสุข มีพลังผลักดันตัวเองไปสู่ความสำเร็จได้
+ งานทำให้เรามีคุณค่า
+ งานทำให้เราได้พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
+ ไม่มีงานไหนที่ไม่เหนื่อยหรอก
+ งานยิ่งยากยิ่งสนุก
+ งานทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
วิธีที่ 7 เพิ่มทักษะ
ทักษะนั้นก็คือ ความสามารถ หากเรามีความสามารถหลายอย่างย่อมเป็นใบเบิกทางไปสู่ความสำเร็จได้ไม่ยาก ให้คุณพยายามเพิ่มทักษะดังต่อไปนี้
+ ทักษะในด้านคอมพิวเตอร์
+ ทักษะในการจัดการข้อมูล
+ ทักษะในการใช้ภาษา
+ ทักษะในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
+ ทักษะในด้านการเงิน
+ ทักษะในด้านธุรกิจ
>>>>> 7 ทิป มุ่งสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จ <<<<<
ทิปที่ 1 สร้างจุดขาย
การค้นหาตัวเองว่ามีอะไรที่โดดเด่นในด้านดี ซึ่งสามารถนำมาเป็นจุดขาย สร้างความสนใจแก่ผู้อื่นได้ หรือหากหาไม่เจอหรืออาจไม่มีก็ให้สร้างขึ้นมาใหม่เลย ให้เวลาที่ผู้อื่นนึกถึงคุณก็จะนึกถึงจุดเด่นในด้านนี้ของคุณด้วย
+ จุดเด่นในด้านการแต่งตัวดูดีมีรสนิยม
+ จุดเด่นในด้านการมีบุคลิกภาพที่ดี
+ จุดเด่นในด้านการมีความคิดสร้างสรรค์แปลกใหม่
ทิปที่ 2 ส่งเสริมความจำ
การส่งเสริมความจำก็คือ การพัฒนาตัวเองไปสู่ความสำเร็จอีกขั้น ให้คุณท้าทายตัวเองด้วยการใช้ความจำบ้างในส่วนที่สามารถทำได้ ค่อย ๆ ลดการจดแต่ใช้การจำแทน ทำจนเป็นนิสัยแล้วความจำของคุณจะแม่นยิ่งกว่าที่ใช้การจดเสียอีก
ทิปที่ 3 เป็นลูกน้องที่ดี
เพราะก่อนที่จะประสบความสำเร็จ สามารถก้าวหน้าหรือเป็นเจ้าคนนายคนได้ ตอนนี้เราก็ยังอาจเป็นลูกน้องอยู่ แต่หากปรับเปลี่ยนให้เป็นลูกน้องที่ดีในภายหน้าย่อมได้เป็นเจ้านายและเจ้านายที่ดีได้ เป็นอย่างไรมาดูกันเลย…
+ ทำตามคำสั่งเจ้านายอย่างเต็มที่
+ สร้างผลงานให้เจ้านายได้เห็นถึงความโดดเด่นบ้าง
+ ไม่นินทาเจ้านายทั้งต่อหน้าและลับหลัง
+ ขันอาสาเจ้านายตามความเหมาะสมบ้าง
+ แสดงความเป็นผู้นำออกมาให้เจ้านายสะดุดตาบ้าง
ทิปที่ 4 ซื้อใจเพื่อนร่วมงาน
เพื่อนร่วมงาน คือ คนที่เราต้องทำงานด้วยกันแทบจะทุกวัน หากสามารถซื้อใจเขาได้ก็เท่ากับว่าเรามีแรงสนับสนุนการไปสู่ความสำเร็จได้เร็วขึ้น
+ มีน้ำใจให้เพื่อร่วมงานตามสมควรบ้าง
+ รู้จักยืดหยุ่นในการทำงานบ้าง
+ ไม่ทำเหมือนตัวเองเป็นหัวหน้า
+ ไม่นำเรื่องส่วนตัวมาปะปนกับเรื่องงาน
ทิปที่ 5 เทคนิคไม่มาทำงานสาย
แนะนำเทคนิคง่าย ๆ ของการทำงานให้ตรงเวลา
+ เข้านอนเร็วกว่าปกติ
+ เตรียมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเอาไว้
+ พึ่งพาอุปกรณ์อย่างนาฬิกาปลุก
+ มั่นใจในตัวเองว่าสามารถแก้ไขนิสัยการมาสายได้
ทิปที่ 6 จัดตารางชีวิต
การจัดแผนในการดำเนินชีวิตในทั้งวันของตัวเองใหม่ให้เป็นระบบระเบียบ รู้ว่าต้องทำอะไร ทำอะไรก่อนหลังบ้าง จะทำให้คุณมีวินัยในตนเองมากขึ้นและไม่พลาดเรื่องสำคัญในชีวิตไป
ทิปที่ 7 เลิกนิสัยไม่ดี
สังเกตตัวเองว่าคุณมีนิสัยไม่ดีที่เป็นอุปสรรคในการทำงานและการประสบความสำเร้จหรือไม่
+ เล่นคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา
+ กินอาหารในเวลาทำงาน
+ แต่งหน้าหรือเสริมสวยตลอดเวลา
+ หยุดงานหรือลางานบ่อย ๆ
+ คุยโทรศัพท์ส่วนตัวในเวลาทำงาน
+ มีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับคนในที่ทำงาน
สำหรับบทสุดท้ายนี้ก็คล้ายคลึงกับบทแรกที่เราได้สำรวจตัวเองจากแบบทดสอบว่าเรามีความสุข มีความสำเร็จเป็นพื้นฐานมากน้อยแค่ไหน เพียงแต่เป็นการสำรวจตัวเองจากแบบทดสอบที่ต่างกันออกไป
ในส่วนบทนี้ผมเองอยากแนะนำให้ทุกคนที่ได้อ่านตั้งแต่ต้นไปซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านกัน และลองทำแบบทดสอบที่ทางหนังสือได้จัดเตรียมขึ้นมากันดูนะครับ เพราะแบบทดสอบของทางหนังสือเล่มนี้มีเยอะมาก และดีมาก ๆ ด้วย ทำเสร็จแล้วสามารถตรวจสอบได้เลย
ชื่อหนังสือ : 28 วิธีลัดสู่ความสำเร็จ ภายใน 28 วัน
ชื่อสำนักพิมพ์ : Feel Good Publishing
ชื่อนักเขียน : ตะวันฉาย
ชื่อผู้แปลและเรียบเรียง : ตะวันฉาย
จำนวนหน้า : 208 หน้า
ราคา : 160 บาท
หนังสือ 28 วิธีลัดสู่ความสำเร็จ ภายใน 28 วัน เป็นหนังสือวิธีการ พร้อมแนวคิดและมีแบบทดสอบให้เราทำอยู่ท้ายบทของแต่ละหัวข้อ ผมอ่านแล้วชอบมาก ๆ เนื่องด้วยมีบททดสอบให้ทำนี้แหละครับ เนื้อหาอาจจะไม่ได้อธิบายอะไรให้ดูลึกซึ้ง ละเอียดกินใจ แต่ทางผู้เขียนเน้นอธิบายสั้น ๆ ง่าย ๆ ให้นำไปใช้ได้เลยในชีวิตประจำวัน และสามารถนำไปใช้ได้จริงทุกข้อ (โดยส่วนตัวผมเองก็ได้นำไปปฏิบัติใช้ในชีวิตประจำวันด้วย)
>>> อ่านหนังสือพัฒนาตนเอง <<<
11.07.2020

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา