6 ก.ย. 2020 เวลา 12:50 • ท่องเที่ยว
ย่างกุ้ง
บทสุดท้ายและฉากท้ายสุด ที่เจดีย์เชวดากอง
Final Chapter
เมืองตะโก่ง ชื่อก่อนจะเรียกเป็นร่างกุ้ง หรือ ย่างกุ้ง ต้อนรับเราเสียเปียกชุ่มด้วยเม็ดฝนที่พร่างพรูไม่ขาดสาย เรามีนัดกับเจดีย์ชเวดากองเสียด้วยซิ
แท๊กซี่โฉมเก่าที่เห็นได้ทั่วไปในพม่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน
พวกเรากำลังถูกอบด้วยกลิ่นอับชื้นของแท๊กซี่เก่าๆ ที่ปิดกระจกเพื่อกันฝน พร้อมกับปิดแอร์ !
ฉันโยกตัวไขกระจกหน้าต่างรถลง แง้มให้อากาศภายนอกเข้ามาระบาย พลางมองตัวเมืองย่างกุ้ง ไหวโยนไปตามม่านฝนที่ผ่านกระจก ย่างกุ้งยังคงมีชีวิตชีวาในแบบเฉพาะตัว ไม่ว่าวันแรกพบ หรือ วันที่ฟ้ามัวซัวอย่างวันนี้
นึกถึงย่างกุ้งในวันที่เราก้าวมาถึงเมื่อหลายวันก่อน
ก่อนที่เราเลือกจะพาตัวเองตะลอนเวียนไปเป็นวงกลม หวังใจไว้จะได้จบแบบสวยๆ กับการสักการะพระธาตุเจดีย์ชเวดากองที่ยิ่งใหญ่
จะว่าไปแล้ววันแรกที่มาถึงประเทศนี้ คนแรกที่เราพบและพูดคุยด้วยภาษาการท่องเที่ยว คือแท๊กซี่หน้าตาคมเข้ม ที่เอ่ยถามเราด้วยสำเนียงอังกฤษลิ้นรัว ทันทีที่ก้าวเท้าออกจากประตูสนามบิน
“พวกคุณกำลังจะไปที่ไหน”
พวกเราเอ่ยพร้อมกัน “ไปชเวดากอง”
หลังจากนั้น ‘ติฮะ’ ที่เอ่ยสมญานามของตัวเองว่า ‘ไลออน’ ก็แนะนำชื่อสถานที่อีก 2-3 แห่ง เพื่อเป็นการชิมลางเมืองย่างกุ้ง ก่อนที่ช่วงบ่ายเราจะบินต่อไปพุกาม
ขบวนเณรน้อยที่ยังบิณฑบาตอยู่แม้จะใกล้เพลแล้ว
รถพาเราไปตามเส้นทางขึ้นเนิน ลงเนิน ผ่านตึกเก่าสองชั้นทรงยุโรป ที่ซ่อนตัวสงบเงียบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ แม้การจราจรไม่แออัด แต่มีรถราและผู้คนสัญจรไม่ขาดสาย
ยังคงเห็นพระเณรเดินบิณฑบาตเป็นแถวยาวกลางเมือง ขณะที่เรามุ่งหน้าไปกินข้าวกลางวันก่อนไปดูเชิงที่เจดีย์ชเวดากอง
อาหารพม่ามื้อแรก แม้ไม่คุ้นเคย แต่รสชาติพอให้เราเอาตัวรอดไปได้
“โอ้โหวว” เสียงอุทานเกือบจะพร้อมกันกับสีทองสุกปลั่งอยู่เบื้องหน้า นั่นคือภาพแรกพบเจดีย์เชวดากองกลางแดดระอุเมื่อสิบกว่าวันก่อน
เจดีย์ชเวดากองยืนเด่นกลางแดดร้อนระอุ
ต่างจากวันนี้และตอนนี้ที่กลับเย็นฉ่ำไปด้วยสายฝน
ยามนี้จะทำอะไรดีไปกว่าหมกตัวเองอยู่กับที่พักไปก่อน
พวกเราไม่ได้คาดหวังอะไรมากจากโรงแรมนี้ที่ภายนอกไม่ได้หรูหราอะไร เหตุที่ถูกเลือกเพราะใกล้กับเจดีย์ชเวดากอง
ฉันเปิดม่านหน้าต่างออก เพียงเพื่อจะดูสภาพบ้านเรือนของย่างกุ้งในมุมสูง แต่กลับตกอยู่ในความตื่นตะลึง ด้วยเจดีย์องค์ใหญ่ขับแสงสีทองแข่งกับความมืดทึมของสายฝน
ฉันนอนมองเจดีย์ชเวดากองที่ยืนเต็มตัว ผ่านกระจกใสบานใหญ่
แอบฉงนในความโชคดีของตัวเองที่เลือกโรงแรมได้ถูกทิศจริงๆ
เราต่างเดินเข้าออกห้องข้างๆ ของเพื่อนร่วมทาง เพื่อดูชเวดากองในมุมต่างๆ ในใจก็ปลงไปพลางๆ ที่อดเข้าไปในชเวดากอง เพราะฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างเอาเป็นเอาตาย
เจดีย์ชเวดากอง ยังคงขับแสงสีทองท่ามกลางความมืดมิด
ฉันมองชเวดากอง แล้วก็มีคำถามที่ต้องหาคำตอบเอาจากหนังสือท่องเที่ยวที่ติดมาด้วย เจดีย์ชเวดากองสูงสักเท่าไหร่นะ ขนาดอยู่ชั้นสิบของโรงแรม แต่มองไปยังดูเหมือนว่า ชเวดากองจะสูงกว่าเสียด้วยซ้ำ
แน่นอนในหนังสือบอกว่า “เจดีย์ชเวดากองตั้งอยู่บนยอดเขา มีความสูงราว 100 เมตร ภายในบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า 8 เส้น”
สีเหลืองทองของชเวดากองทำให้ฉันนึกถึงคำพูดขำๆ แกมสีหน้าเศร้าใจ ก่อนหน้านี้ของเพื่อนผู้รักชาติว่า “ทำใจไปดูชเวดากองไม่ได้ว่ะ นั่นมันทองของเราทั้งนั้น”
นี่ถ้าเพื่อนรู้ว่า ทองคำที่ใช้หุ้มเจดีย์มีมากกว่าทองในห้องนิรภัยของธนาคารอังกฤษเสียอีก เพื่อนคงหายเศร้าหรือไม่ก็บ้าไปเลย แต่เดี๋ยวก่อนยังไม่พอแค่นั้น
"..แผ่นทองด้านนอกที่หุ้มไว้มีมากถึง 8,688 แผ่น เฉพาะตรงยอดเจดีย์มีเพชรประดับไว้ถึง 5,448 เม็ด ทับทิม ไพลิน บุษราคัม อีก 2,317 เม็ด ในจำนวนนี้มีมรกตเม็ดใหญ่ ใหญ่มากๆ วางอยู่ตรงกึ่งกลางรอรับแสงแรกและแสงสุดท้ายของตะวัน...”
เสียงอืออ...อาา...ของเพื่อนๆ ลากยาว เมื่อนั่งฟังฉันอ่านมาถึงตรงนี้
แล้วทำไมเจดีย์ชเวดากอง จึงเป็นที่เคารพสักการะบูชาของผู้คนในพม่ามากนัก
รูปถ่ายจากรูปถ่ายที่อยู่บริเวณวัดที่แสดงถึงรายละเอียดบนยอดเจดีย์
เป็นคำถามที่ฉันเองไม่ยักได้คิดเวลามีโอกาสพูดคุยกับคนพม่า
แต่ตามตำนานที่กล่าวถึงปาฏิหาริย์ของพระเกศาธาตุนั้น เมื่อกษัตริย์ในสมัยนั้น คือ เมื่อพระเจ้าโอกกลาปะ ได้รับพระเกศาธาตุแล้วเปิดออกดู
“....พลันก็เปล่งรัศมีอันสุกใส ยังความสว่างไสวไปทั่วทั้งโลกธาตุ ..คนพิการทั้งปวงก็กลับพ้นจากความพิการ ..ที่ตาบอดก็มองเห็น ที่หูหนวกก็ได้ยิน ที่เป็นใบ้ก็พูดได้ ที่ง่อยเปลี้ยเสียขาก็กลับเดินเหินได้เป็นปกติ
โลกธาตุพลันสะเทือนเลื่อนลั่น พสุธากัมปนาท อสุนีบาตฟาดเปรี้ยง หมู่มวลพฤกษาพากันผลิดอกออกผลสุกปลั่ง พระพิรุณที่โปรยปรายกลับกลายเป็นอัญมณีมีค่าร่วงหล่นลงมาดารดาษไปทั่วผืนปฐพี...”
คราวนี้ธรรมชาติจัดสรรให้เรานั่งมองหมู่ฝนถาโถม ชะโลมไล้ชเวดากอง ที่หยัดยืนผ่านฝนมาครั้งที่ 2,500 แล้ว
แต่เป็นฝนแรกสำหรับฉันที่ได้นั่งมองชเวดากองยืนอวดองค์ อย่างสง่างาม แลดูตระหง่านตระการตา เหนือขอบฟ้ากรุงย่างกุ้ง ท่ามกลางบรรยากาศเหงาๆ ปนเศร้า แต่แฝงไว้ด้วยความหวัง
ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาปิดของเจดีย์ชเวดากอง เมื่อคิดถึงตรงนี้....ไม่นานฝนก็เริ่มซา ความหวังก็เริ่มเป็นจริง....
กลุ่มยอดเจดีย์ในอาณาบริเวณของวัดเจดีย์เชวดากอง
คืนที่ชเวดากอง..งามฉ่ำ
ฝนออกพรรษาหยุดสำแดงฤทธิ์แล้ว เราสี่คนเดินดุ่มๆ ออกด้านข้างโรงแรมเข้าไปในซอยสลัวๆ แต่ไม่น่ากลัว เพราะยังมีสามล้อ และร้านค้าเปิดขายอยู่ตลอดทาง
น้ำที่ขังเป็นแห่งๆ ตามร่องน้ำ ตามแอ่งหลุมบนถนน นองเนืองเป็นสีคล้ำแดงราวกับสีเลือด มันคือร่องรอยของสงครามน้ำหมากของหม่องทั้งหลาย ที่บ้วนกันปริ๊ดปร๊าด ผสมกับน้ำฝนนั่นเอง
ทางเดินเลี้ยวขวาออกจากซอยข้างโรงแรม มีร้านอาหารข้างทาง เปิดเพลงเสียงเอะอะ มีพระมาร่วมวงในร้านด้วย เอาละซี อย่างนี้ได้ด้วยเหรอวะ อันนี้ฉันถามตัวเอง
แล้วก็ก้มหน้าก้มตาเดินไปข้างหน้า ที่ค่อยๆ ลาดชันขึ้นเรื่อยๆ สุดสายตาที่มองเห็นคือขั้นบันไดแรกที่นำไปสู่เจดีย์ชเวดากอง
ทางขึ้นเจดีย์มีอยู่สี่ด้าน ฉันไม่แน่ใจว่าเราขึ้นด้านไหน จากโรงแรมเราเดินออกจากซอยเลี้ยวขวาเข้าถนนการ์ตอยา ที่เดินผ่านน่าจะเป็นตลาดปะฮัน
ตามหนังสือแล้วน่าจะเป็นบันไดทิศตะวันออก บันไดด้านนี้มีทั้งหมด 118 ขั้น ฉันไม่ได้นับขั้นหรอก เพราะบันไดขึ้นวัดตอนนี้เฉอะแฉะด้วยน้ำฝนปนดินปนทราย
แถมลื่นอีกต่างหาก ต้องเดินอย่างระมัดระวังจนถึงบันไดขั้นสุดท้าย ฉันแหงนหน้ามองยอดเจดีย์ที่เสียดฟ้ามืดครึ้ม ด้วยความระทึกใจ
ความสวยงามของสีทองสุกปลั่งตัดกับสีดำยามค่ำคืน
ผู้คนไม่มากมายจนเกินไปอย่างที่คิดไว้แต่แรก แม้วันนี้จะเป็นวันออกพรรษา อาจเป็นเพราะฝนที่เพิ่งขาดเม็ดไปไม่นาน
พื้นหินอ่อนสีขาว เปียกลื่นจากน้ำมันเทียนผสมกับน้ำฝน ฉันต้องออกแรงเกร็งปลายนิ้วเท้าและน่อง เพื่อระวังไม่ให้ลื่นล้มเอาง่ายๆ
พวกเราเริ่มเดินเวียนขวา เพื่อดูไปรอบๆ ก่อนว่ามีอะไรบ้าง ถ้ากำลังมองหาตำแหน่งที่จะไหว้พระประจำวันเกิดอยู่ละก็ สักพักจะมีนักเรียนนักศึกษา ทั้งหญิงชาย เข้ามาให้บริการข้อมูล
นอกจากไหว้พระประจำวันและสรงน้ำพระแล้ว ยังมีสิ่งที่ต้องสักการะบูชา เช่น ต้นโพธิ์ ที่แยกหน่อมาจากพุทธคยา ไหนจะลานอธิษฐาน ที่ตอนนี้น้ำเปียกนองไปหมด
เลยไม่ได้เห็นผู้คนนั่งสมาธิ หรือ กราบไหว้ขอพรกันบนลาน ไหนจะต้องเดินไปดูระฆังมหาคันธา ถูกอังกฤษปล้นเอาไป แต่จมอยู่ในแม่น้ำย่างกุ้ง ชาวพม่าช่วยกันงมขึ้นมาได้ และอีก ฯลฯ
พยายามเพ่งมองแสงประกายจากอัญมณีบนยอดเจดีย์
เดินพลางก็แหงนหน้ามองยอดเจดีย์ไปพลาง แม้จะเป็นเวลากลางคืน แสงไฟที่กระทบกับทองอร่าม ก็ยิ่งเปล่งประกายเจิดจรัส ตัดกับความมืดดำของท้องฟ้า
มีเพียงพระจันทร์ดวงกลม กับดาวระยิบหนึ่งดวง ประดับอยู่เหนือยอดฉัตร ฉันเดินแล้วหยุด หยุดแล้วเดินมองไปเรื่อยๆ
1
ฟ้าหลังฝน อำนวยให้อากาศบนเนินเขาแห่งเจดีย์ชเวดากองยามนี้ เย็น สดชื่น เดินกันเพลินโดยไม่รู้เหนื่อย
นึกถึงว่าถ้าเดินแหงนหน้ามองตอนกลางวัน หน้าคงเกรียมเป็นข้าวเกรียบย่าง ก็โชคดีไปอย่างนะเรา อีกอย่างนึง ฉันลืมไปสนิทว่าต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 5 เหรียญ แต่ไม่ยักมีคนมาเก็บ
คิดกระหยิ่มยิ้มย่องว่า ช่างดีจริงว้อย มาตอนกลางคืนแบบนี้ คนที่นี่ก็อัธยาศัยดี นั่นไง..ว่าแล้วชายคนหนึ่งเข้ามาทักด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“คุณเป็นคนไทย รึเปล่า”
“ใช่ค่ะ” นึกในใจ รู้ได้ไงเนี่ย เดินอยู่คนเดียวยังไม่ได้กรี๊ดภาษาไทยออกมาสักคำ
“ยังไม่มีตั๋ว ใช่มั้ย เชิญทางนี้ครับ”
“.....” แหม หม่องนี่ตาไว จริงๆ ฉันควักสตางค์จ่ายด้วยความเต็มใจ นึกถึงเพื่อนที่นุ่งโสร่งเข้ามา เดินลอยหน้าลอยตาไปก่อนฉัน มันโดนเก็บตังค์รึเปล่าฮึ!
หลุดจากโต๊ะเก็บตั๋วไปไม่กี่ก้าว ฉันเดินชนเข้าอย่างจังกับคุณลุงร่างยักษ์ ที่เหมือนดักรออยู่แล้ว
“คุณเป็นคนไทย ใช่มั้ยครับ” พูดไทยได้ด้วย
ฉันตอบว่า ใช่ และไม่อ้อมค้อมที่จะถามว่า คุณลุงต้องการบอกอะไร
“ผมเป็นคนแก่ ...” ฉันพยักหน้า เห็นด้วย
“เกษียณอายุมาหลายปี ผมมาที่นี่ทุกวัน เพราะผมรักที่นี่ มานี่สิ ผมจะให้คุณดูอะไร” ฉันมองซ้ายมองขวาหาเพื่อนฝูง เห็นอยู่ไม่ไกล ถ้าถูกทำมิดีมิร้าย เพื่อนคงเห็น
 
ลุงเดินออกไปจากแนวที่ผู้คนส่วนใหญ่เดินกัน จนถึงเขตริมกำแพง ชี้จุดบนพื้นให้ฉันยืน แล้วเงยหน้าขึ้นมองตรงจุดกลีบบัว
“เป็นไง เห็นเป็นสีเหลืองๆ มั้ย” ฉันพยักหน้าเมื่อเห็นประกายแสงที่เปล่งวาว
“ค่อยขยับไปทางซ้าย คุณจะเห็นสีเขียว สีน้ำเงิน สีแดง สีม่วง เปลี่ยนสีไปเรื่อยๆ”
“จริงๆ ด้วย ” ฉันบอกเสียงตื่นเต้น
เดินออกไปเรียกพรรคพวกให้มาดูเสียพร้อมๆ กัน ลุงพาเดินวน ไปดูตำแหน่งมรกต และ เพชรเปล่งประกายอยู่อีกด้านหนึ่ง
เราเดินมาถึงจุดดูเพชร...
เดินถอยหน้าถอยหลัง ตามตำแหน่งที่ลุงตัวใหญ่คอยบอก แสงเพชรส่องประกายแวววามให้เห็น เมื่อยืนถูกมุม
และถ้าใช่เพชร คงเป็นแสงจากเพชรที่ประดับบนยอดฉัตร ที่มีน้ำหนักถึง 76 กะรัต เม็ดนั้นนะหรือ..โอ้โหเหลือเชื่อเลยแฮะ....
เราเดินกันจนน่าจะถึงเวลาปิด จึงขอร่ำลา คุณลุงอาสาเดินไปส่งทางไปโรงแรม แกบอกว่าทางนี้ใกล้ จะได้แวะกินข้าวเย็นก่อนกลับ
ฉันเห็นแกทำท่าย้วยยานอยู่กับเรา แล้วรู้สึกตะหงิดในใจ แกพาเราเดินไปทางลิฟท์นักท่องเที่ยว ระหว่างนั้นแกโชว์ธนบัตร ที่บอกว่าสะสมไว้ทุกชาติเลย
พวกเรามองแกเปิดแผ่นแล้วแผ่นเล่า ไม่ซ้ำชาติจริงๆ นึกในใจว่า ยังไม่มีแบงค์ไทยละซี บอกกันอ้อมๆ ว่าจะขอใช่มั้ยลุง
1
พวกเราเดินตามลุงไปตามถนนมืดครึ้ม ตามแนวไม้ใหญ่ และไม่มีไฟถนน ด้วยความหิวและเมื่อยจากการเกร็งขาเดินบนเจดีย์
ทำให้เราทุกคนเงียบเสียง เดินจ้ำตามไปอย่างอ่อนล้า ฉันมองไปข้างหน้า เมื่อไหร่จะเห็นแสงไฟเสียที
ในที่สุดก็ถึงบริเวณสามแยก ลุงพาข้ามไปอีกฝั่ง บอกว่าร้านนี้ดี และถูก พวกเรากินอะไรไม่ลง จึงสั่งประเภทต้มๆ ร้อนๆ มาคนละชาม
ส่วนตาลุงสั่งเป็ดย่างกับน้ำผลไม้กินแบบเนียนๆ ไปกับพวกเราด้วย
พอคิดเงิน คุณลุงเนียน จอมย้วย ทำหน้าเฉยเมย ไม่จ่ายตังค์ ถือว่าเลี้ยงข้าวแกไปละกัน ถึงเวลาแยกย้ายกันกลับ
“เจซูเบะ นะลุง”
ฉันกลับเข้าที่พักด้วยความอ่อนเพลีย อาบน้ำ ปิดไฟ เปิดม่าน เบิกตามองเจดีย์แห่งทองคำ ที่ยังคงเปล่งแสงสะท้อนไฟยามราตรี
มหาเจดีย์แห่งนี้ทำให้ฉันเชื่อว่ายังคงมีพลังในตัวเองอย่างมหาศาล เป็นพลังสั่งสมมาแต่อดีตกาล ที่ยังคงแผ่ซ่านดึงดูดผู้คนให้หลั่งไหลมาจากที่ต่างๆ
ยามแหงนหน้ามองปลายฉัตรที่อยู่สูงลิบ ร่างกายและจิตใจราวกับถูกโอบล้อมด้วยพลานุภาพอันดีงาม...ชเวดากอง จะอยู่ในใจของคนพม่าและผู้มาเยือนอีกนานเท่านาน
บทอำลา....เมียนมาร์
ฉันตระหนักดีว่า เราไม่ได้เป็นผู้มาเยือนที่นี่เป็นคนแรก และไม่ใช่คนสุดท้ายที่กำลังจะก้าวเดินออกจากพม่า
หลังจากเข้ามาเดินดูแผ่นดินของเพื่อนบ้าน เพื่อทำความเข้าใจกับความรู้ ที่ถูกฝังลึกด้วยประวัติศาสตร์ในแบบเรียนมายาวนาน ฉันตั้งใจเดินเข้ามาและกลับออกไปอย่างแผ่วเบา
สภาพโดยทั่วไปในดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นคู่อริในสงครามช่วงชิงตามประวัติศาสตร์ หากมองในมุมของความสะดวกสบาย ความเจริญตา ความมีสุขอนามัย ยังคงห่างไกลกับคำเหล่านี้เหลือเกิน
ขณะที่กรุงศรีอยุธยาเปลี่ยนผ่านยุคสมัยกลายเป็นสยามประเทศ เป็นประเทศไทยที่ขับควบบนกระแสโลกไร้พรมแดนใบใหม่ อย่างไม่ลืมหูลืมตา
แม้จะไม่สมหวังไปทุกอย่าง ทว่า ความพร้อมด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน ยังก้าวไปไกลกว่าเพื่อนบ้านที่เคยร่วมสมรภูมิรบหลายช่วงตัวนัก
"คนพม่าผ่านความบอบช้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ความพ่ายแพ้ต่อการพยายามขัดขืนต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคม ต้องอยู่เป็นเมืองในปกครองของอังกฤษ ที่ใช้ทรัพยากรอันมีค่าของพม่าอย่างไม่ต้องเกรงใจ เพิ่มความมั่งคั่งให้กับตนเอง
ครั้นถึงคราวที่จะต้องปลดโซ่ตรวนให้กับพม่า ปัญหาชนเผ่าที่ไม่ได้รับการแก้ไขกลับกลายเป็นชนวนความขัดแย้งครั้งใหม่ให้กับคนพม่าจนถึงปัจจุบัน"
"อย่างไรก็ดี อังกฤษได้ปลูกฝังรูปแบบประชาธิปไตย ได้เรียนรู้การเลือกตั้ง การมีผู้แทน มีการตรากฎหมาย และแน่นอนว่าพวกเขาเคยมีรัฐธรรมนูญ"
"พวกเขาต้องเผชิญกับความเดือดร้อนของสงครามโลกครั้งที่สอง ที่กองทหารญี่ปุ่นเข้ายึดครอง พวกเขาถูกทารุณอย่างป่าเถื่อน เมืองต่างๆ ถูกทำลายจากสงคราม เศรษฐกิจของประเทศถูกทำลายจนหมดสิ้น"
"พม่าต่อสู้เพื่อเอกราชของตนจวบจนเช้าวันที่ 4 มกราคม 1948 จึงหลุดพ้นจากเครือจักรภพของอังกฤษและมีโอกาสปกครองประเทศ ตามรูปแบบประชาธิปไตยนานถึง 14 ปี จนถูกเปลี่ยนแปลงด้วยระบบเผด็จการทหาร " (บันทึกเพิ่มเติม ณ ปี 2020 : ต่อมาได้มีการเลือกตั้งเมื่อเร็วๆนี้)
"กระนั้น พวกเขายังต้องเผชิญกับสงครามกลางเมืองระหว่างกองกำลังชนกลุ่มน้อยต่างๆ กับรัฐบาลทหารพม่า ที่เกิดขึ้นยาวนานร่วมสิบปี ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งทรัพย์สิน และทรัพยากรมนุษย์อย่างมากมาย
ทำให้ขาดการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม กลายเป็นประเทศที่ติดอันดับความยากจนของโลก.."
หากที่นี่เปรียบดังหญิงสาว เสมือนยังคงเค้าแห่งความงามอยู่มาก หากเป็นชายหนุ่ม ชีวิตของเขาผ่านการต่อสู้ด้วยกำลังและสติปัญญาเพื่อเอาชีวิตรอด และยามนี้พวกเขากำลังมองหามิตรแท้
1
ในขณะที่พวกเขายังไว้ใจใครไม่ได้ คนพม่าต่างรู้ว่าขุมทรัพย์ที่จะเยียวยาความบอบช้ำนั้นอยู่ที่ใด
ด้วยความมั่งคั่งในทรัพยากรธรรมชาติ พันธุ์พืชที่อุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะอัญมณี สินแร่และป่าไม้ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเขตของชนกลุ่มน้อย
แต่ทว่า การแบ่งสรรปันส่วนในทรัพยากรเหล่านั้น มักสวนทางกับสันติภาพระหว่างรัฐบาลกลางกับท้องถิ่น
และอย่างที่โลกภายนอกสันนิษฐานว่า ที่นี่มีการจัดการผลประโยชน์ของชาติที่เต็มไปด้วยคอรัปชั่น และเป็นไปเพื่อรักษาฐานอำนาจของกลุ่มผู้ปกครอง
ในขณะที่ ประเทศชาติ ประชาชน ไม่อาจใช้สอยทรัพยากรที่มีอยู่ร่วมกันได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
พวกเขาถูกละเลยเรื่องฐานะความเป็นอยู่ คงไม่ต้องพูดถึงความเป็นธรรมที่ส่งเสียงร้องออกมาอย่างแผ่วเบา พวกเขาบอบช้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ฉันมองเห็นข้อเท็จจริงนี้ผ่านร่องรอยทางประวัติศาสตร์และประจักษ์ด้วยสายตาในปัจจุบัน
ฉันเอาใจช่วย ...ให้ความอดทน ความเฉลียวฉลาด และความสงบนิ่งอันเป็นคุณสมบัติของคนพม่าที่ถูกบ่มเพาะมาเนิ่นนาน
จักถูกนำมาใช้ให้ผ่านไปสู่วิถีเสรีอิสระ ตามนานาอารยะประเทศ อันควรจะเป็นได้อย่างสันติวิธี....บางที ประวัติศาสตร์อาจจะไม่ ซำ้รอยเดิม ก็เป็นได้
(หมายเหตุ เป็นบันทึกจากบริบทในปี 2004)
ความน่าสนใจของประเทศพม่าในมิติของการท่องเที่ยว ยังมีอีกหลายแห่งนัก
แต่วันนี้ฉันต้องขอบคุณและกล่าวลา กับผู้คนแลเรื่องราว ที่รวมร้อยอยู่ในเส้นทางที่พบเจอทุกๆ ที่ ให้ความรู้สึกที่เป็นมิตรและทำให้ยิ้มได้ทุกครั้งที่นึกถึง
ฉันยังมองไม่เห็นศัตรูที่จินตนาการจากตัวหนังสือที่เคยอ่าน หรือจากหนังที่เคยดู ยังไม่เคยเห็นชาวพม่าที่จับจ้องมองนักท่องเที่ยวจากเมืองไทยด้วยสายตาเกลียดชังแม้แต่คนเดียว
จากนี้ไป ประเทศพม่า จะไม่ใช่ดินแดนใกล้ ที่อยู่แสนไกลในความรู้สึกอีกต่อไป
 
ตุยยาดา วานตาบ่าแด...
ขอขอบคุณข้อมูลอ้างอิงและหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจให้ออกเดินทางไปดูเมืองพม่าด้วยตาตัวเองและพบว่า พม่านั้น...สวยมาก
พม่าคราหนึ่ง : ผู้เขียน : จิตติมา ผลเสวก
พม่าเสียเมือง : ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
ท่องแดนเจดีย์ไพรในพุกามประเทศ : ผู้เขียน : ธีรภาพ โลหิตกุล
เชงสอบู : ผู้เขียน : คึกเดช กันตามระ
เรื่องราวที่เกิดขึ้นและภาพถ่ายทุกภาพถูกบันทึกเมื่อเดือนตุลาคม 2549 ด้วยกล้องnikon D200 เป็นการเดินทางเที่ยวพม่าในขณะที่ประเทศนี้ยังไม่เปิดรับการท่องเที่ยวเต็มรูปแบบเหมือนในปัจจุบัน
เล่าเรื่องโดย สีละมัน
ถ่ายภาพโดย อนุพันธ์ สุภานุสร
#ถ่ายรูปเล่าเรื่อง #fototeller #keepshooting #เที่ยวพม่า #เที่ยวมัณฑเลย์ #เที่ยวเมียนมาร์ #เที่ยวอังวะ #เที่ยวพุกาม #เที่ยวภูเขาโปปา #เที่ยวตลาดยองน์อู #เที่ยวสะกาย #เที่ยวมินกุน #เที่ยวอินเล #ปินตะยา #วัดถ้ำชเวอูมิน #พระพุทธรูปบัวเข็มที่อินเล #เรือนกการเวกที่อินเล #ทอผ้าจากใยบัว #วัดแมวกระโดด #ย่างกุ้ง

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา