Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
MovieTalk มูฟวี่ชวนคุย
•
ติดตาม
6 ก.ย. 2020 เวลา 03:00 • นิยาย เรื่องสั้น
MovieTalk ภูมิใจเสนอ "บางบอกดิก 2"
โดย มูฟ เมืองกรุง
อารัมภบท
ภายในห้องขังที่ผนังทั้งสามด้านทำจากปูนมีคราบตะไคร่และความชื้นเกาะที่ผนัง จนทำให้รู้สึกได้ถึงความหนาวเย็น ด้านเหน้าเป็นประตูเหล็กบานปิดที่ต้องเปิดจากด้านนอกเข้ามาเพียงอย่างเดียว
เหนือเพดานมีโคมไฟห้อยอยู่ มีบางครั้งที่แกว่งไปมา ทำให้แสงไฟที่สาดลงในห้องเคลื่อนไหวไปมา สลับกับความมืด
แสงไฟที่เคลื่อนไปมา ทำให้เห็นว่ามีผู้ชายสามคนนั่งอยู่อย่างสงบนิ่งที่มุมห้องแต่ละด้าน
ทั้งสามกวาดตามองกันไปมา สายตาแต่ละคนแตกต่างกันไป
หนุ่มใหญ่ท่าทางดูเป็นมิตรกับทุกคน เขาพยายามส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจไปยังผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่มุมหนึ่งของห้องขัง และเมื่อกวาดตามาอีกมุมห้องที่มีผู้ชายอีกคนนั่งอยู่ สายตาเขาแปรเปลี่ยนเป็นทั้งโกรธ ทั้งปวดร้าว
หนุ่มใหญ่พบว่าผู้ชายร่วมห้องขังทั้งสองคนทำให้ภาพอดีตเก่า ๆ ในชีวิตค่อย ๆ ปรากฎอย่างแจ่มชัด เหมือนเวลาที่คนฉายหนังเล่นเครื่องฉายหนังย้อนกลับ
หนุ่มใหญ่อีกคนที่นั่งอยู่มุมห้อง ก้มหน้าเป็นพัก ๆ สีหน้าเขาไม่ต่างจากคนที่ผ่านช่วงเวลาที่ดี และแย่มามากมาย แววตาแม้จะดูอ่อนล้า แต่ก็แฝงความเจ้าเล่ห์เพทุบายไม่เคยเปลี่ยน เขามองผู้ชายที่ท่าทีเป็นมิตรด้วยความกระอักกระอ่วนใจ ทั้งรู้สึกผิด และรู้สึกผูกพัน แต่เมื่อสายตาเขาไปปะทะกับสายตาแข็งกร้าวของชายอีกคนที่มุมห้องขัง หนุ่มใหญ่คนนี้สะดุ้งอยู่ในที เขาไม่แน่ใจว่าเขาควรรู้สึกอย่างไรกับชายที่ส่งสายตาเคียดแค้นคนนี้ หนุ่มใหญ่ทบทวนถ้าย้อนเวลาได้ เขาจะยังทำอะไรที่เลวร้ายแบบที่สมัยหนุ่ม ๆ เขาทำไว้หรือไม่
หนุ่มใหญ่ที่ส่งสายตาเคียดแค้นไปยังชายร่วมห้องทั้งสองคน ใบหน้าเขาดุดัน เหนือริมฝีปากไว้หนวดเรียว ท่าทางคล้ายคนที่ผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน ที่ต่างจากเพื่อนร่วมห้องที่เหลือคือเขาคือชายคนนี้ถูกใส่กุญแจมือทั้งสองข้างไว้ แม้ว่าจะนั่งสงบนิ่ง แต่สายตาทั้งคู่ของเขาก็จ้องมองเพื่อนร่วมห้องด้วยความแค้น แต่ลึกลงไปในสายตาเคียดแค้นกลับซุกซ่อนความสับสนเมื่อเขามองไปยังชายท่าทีเป็นมิตร เพราะมันทำให้เขาหวนคิดถึงใครบางคน
แม้ในห้องขังนั้นจะมีคน แต่ก็เหมือนไม่มี เพราะทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน คล้ายรอเวลาว่าใครที่อดรนทนไม่ไหวจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดขึ้นก่อน
เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ เนิ่นนานจนไม่แน่ใจว่านานเท่าไร และในทีสุด ความเงียบงันก็ถูกทำลายลง
“คุณภาพ...เอ่อ...เสือมุบ...” สำเนียงติดเหน่อแต่ดูจริงใจดังขึ้นจากหนุ่มใหญ่ท่าทีเป็นมิตร “บาดเจ็บรึเปล่า?” ถามพลางส่งสายตาด้วยความเป็นห่วงไปที่ชายไว้หนวดที่นั่งมุมห้อง
เสือมุบเงียบ ไม่ใช่ไม่ได้ยิน แต่เขาเลือกจะไม่ตอบ เพราะเขาสับสนว่าความรู้สึกที่มีต่อกำนันข้าวคืออะไรกันแน่
“เฮ้อ...” เสียงถอนหายใจดังขึ้น “เอ็งจะไปถามมันทำไมวะไอ้ข้าว เอ็งก็รู้ว่ามันแค้นพวกเราสองคนมากแค่ไหน?” เสียงจากชายร่วมห้องบ่นขึ้น “นี่ดีนะที่มันถูกใส่กุญแจมือไว้ ไม่งั้นมันคงฆ่าเราสองคนไปแล้ว”
“ไอ้ก้อม...เอ็งเงียบไปเลย” กำนันข้าวเอ่ยขึ้น “เรื่องทั้งหมดที่มาถึงวันนี้ ไม่ใช่เพราะเอ็งเหรอ?”
“อ้าว ๆ ๆ ไอ้ข้าว เอ็งก็มีส่วนนะ อย่าลืมว่า เอ็งคือคนที่แย่งคนรักมาจากเสือมุบนะ” ก้อมย้อนกลับ
“ก็ถ้าไม่ใช่เพราะความทะเยอะทะยานอยากได้ใคร่มีของเอ็ง พวกเราจะเป็นแบบนี้ไหม?” ข้าวอดไม่ไหวต้องเถียงขึ้น
“หยุดเถียงกันได้แล้ว รำคาญ!” เสือมุบตะโกนดังลั่นห้อง
มันดังมากพอที่จะทำให้ทั้งข้าว และก้อมสงบปากลง
“เรื่องความแค้นของพวกเรา ช้าเร็วก็ต้องสะสาง แต่เวลานี้ท็อปเหลียงจับพวกเราสามคนมาขังไว้ด้วยกันเพื่ออะไรกัน? เสือมุบเอ่ยขึ้นบ้าง
ทั้งสามเงียบลง ต่างก็พยายามทบทวนทำไมพวกเขาถึงถูกจับมารวมกันที่นี่
ทำไม?
....
ตอนที่ 1
ณ วัดบางบอกดิก
ร้านรวงต่าง ๆ เริ่มจัดพื้นที่สำหรับออกร้าน คนงานกลุ่มหนึ่งกำลังติดตั้งชิงช้าสวรรค์ ก่อซุ้มชมการแสดง มีการติดป้ายหน้าซุ้มว่า “เมียงู” บางซุ้มกำลังจัดวางตุ๊กตา และวางปืนไว้ ที่เห็นกำลังเทฝาจุกน้ำปลาจำนวนเป็นร้อยใส่ตระกร้าเพื่อไว้ให้ใช้เป็นกระสุนยิง บางซุ้มกำลังติดตั้งถังน้ำไม่ต้องบอกก็รู้ว่า งานวัดคราวนี้มีสาวน้อยตกน้ำแน่นอน
อีกด้านหนึ่ง คนงานกำลังตอกพื้นไม้กระดานก่อเป็นเวที ใครชอบสาวรำวงก็ได้ฟ้อนกันบนเวทีไม่รู้กี่รอบ ที่ไกลออกไปเป็นพื้นที่โล่งของวัด กำลังก่อจอหนังกลางแปลง ติดตั้งลำโพงกันอย่างขมีขมัน
หลวงลุงทับ, มหาอิ่มบุญ และกำนันข้าวเดินดูความเรียบร้อยของงาน ใบหน้าทั้งสามดูมีความสุข
หลวงลุงทับ
“บ้านเราไม่ได้มีงานครึกครื้นแบบนี้มานานแล้วนะ ว่าไหม?” หลวงลุงทับเอ่ยขึ้นอย่างยิ้มแย้ม
“ครับ” อิ่มบุญตอบ “จะเรียกว่าเป็นงานใหญ่ประจำในรอบเกือบสิบปีก็ได้ครับ ผมว่า
งานนี้ก็ถือว่าเป็นการฉลองตำแหน่งใหม่ให้กับไอ้ข้าวมันด้วยล่ะครับ” พลางหันมาทางข้าว “จริงไหมล่ะพ่อกำนัน?”
มหาอิ่มบุญ
“พี่อิ่ม...แหม...พี่ก็พูดเกินไปนะ” กำนันข้าวรีบถ่อมตัว “ฉันก็เป็นฉันคนเดิมนั่นล่ะ จะผู้ใหญ่ หรือ กำนันก็เถอะ”
“กำนันข้าวก็ต้องยอมรับนะว่า...ที่ผ่านมาทำประโยชน์ให้บางบอกดิกไม่น้อย...โดยเฉพาะการที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการขัดขวางผู้มีอิทธิพลกลุ่มเดิม และกลุ่มใหม่”
หลวงลุงทับเอ่ย
กำนันข้าวน้อย
รถตำรวจแล่นเข้ามาจอดที่ลานวัด นายตำรวจสามนายลงจากรถและรีบเดินตรงเข้ามากราบหลวงลุงทับ ท่านจึงเอ่ยทักทาย
“อ้าว...สารวัตรชอ ลมอะไรหอบมาที่นี่ล่ะ”
สารวัตรชอ
สารวัตรชอยิ้ม “นมัสการพระคุณเจ้าครับ ผมแวะมาตรวจความเรียบร้อยครับ และก็ถือโอกาสพาผู้กองคนใหม่มาแนะนำกับหลวงลุงทับ เพิ่งมาประจำการวันนี้วันแรกครับ”
ผู้กองหนุ่มหน้าตาดีรีบถอดหมวกแล้วมาหนีบไว้ใต้รักแร้ ก่อนจะยกมือไหว้หลวงลุงทับ
“นมัสการครับหลวงลุง...ผม ตา พาเพลิน แต่ทุกคนเรียกกันว่าหมวดต้าครับ ขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงลุงครับ”
หลวงลุงทับยิ้ม พร้อมกับให้ศีลให้พร ยังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ เสี่ยอู๋กับแบมแบมลูกสาวก็เดินเข้ามาสมทบ
“เสี่ยอู๋มาพอดีเลย” หลวงลุงทับเอ่ยทัก
เสี่ยอู๋
กำนันข้าวเอ่ยขึ้น “ที่บางบอกดิกเราถูกยกเป็นเลื่อนขึ้นมาเป็นอำเภอบางบอกดิก ก็ต้องยกความดีความชอบให้กับเสี่ยอู๋ที่นำความเจริญมากมายมาสู่ที่นี่ครับ โดยเฉพาะเป็นศูนย์กลางขนส่งทั้งคนและสินค้า”
“กำนันข้าวก็พูดเกินไปครับ” เสี่ยอู๋ยิ้ม “ผมเห็นว่าบ้านบางบอกดิกมีศักยภาพมาก ๆ
ครับ”
ระหว่างที่ทุกคนกำลังสนทนากันอย่างออกรสชาติ ถ้าจะมีที่เงียบไปก็คือผู้กองหน้าใหม่แค่เพียงเห็นหน้าของแบมก็เหมือนตกอยู่ในภวังค์เสียแล้ว
สารวัตรชอแอบสังเกตเห็นอาการตกหลุมรักของลูกน้อง จึงกระแอมเป็นเชิงปราม พร้อมกับยิ้มทักทาย
“แบมคะ...นี่คือผู้กองคนใหม่ที่จะมาประจำที่นี่ ชื่อ...”
“ผมชื่อ ตา พาเพลินครับ แต่เพื่อน ๆ เรียกกันว่าต้าครับ” ผู้กองต้ารีบแย่งแนะนำตัว
ผู้กองต้า พาเพลิน
“สวัสดีค่ะผู้กองต้า....ยินดีที่ได้รู้จักมากมายเลยค่ะ” แบมยิ้มตอบอย่างสดใส
แค่รอยยิ้มของแบมก็ทำให้หัวใจของผู้กองต้าล่องลอยไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
แบมแบม
“สวัสดีครับทุกท่าน...” เสียงทักทายดังขึ้นจนทุกคนตั้งหันไปมองเจ้าของเสียง “นมัสการครับพระคุณเจ้า”
ปฏิกริยาแต่ละคนแตกต่างกันไปเมื่อเห็นหน้าเจ้าของเสียง
กำนันข้าวกับมหาอิ่มดูจะหน้าตึงขึ้นมาทันที ซึ่งก็ไม่ต่างจากสารวัตรชอ ส่วนหลวงลุงทับยังสำรวมอาการด้วยเพราะอยู่ในผ้าเหลือง นอกจากนั้นที่เหลือก็ดูเหมือนจะไม่แสดงอาการอะไรออกมา
พ่อเลี้ยงก้อม
“พ่อเลี้ยงก้อม” สารวัตรชอเป็นคนแรกที่เอ่ยทัก “ลมอะไรหอบมาวัดได้ล่ะครับ”
“เข้ามาในเขตวัดไม่ร้อนบ้างเหรอไง... ผีมันไม่น่าเข้าเขตวัดได้นะ” อิ่มบุญพูดแดกดันลอย ๆ ขึ้นมา
พ่อเลี้ยงก้อมทำสีหน้าเรียบเฉย และทำหูทวนลมคล้ายไม่ได้ยิน แต่แว่นเลี้ยงยายที่ยืนข้าง ๆ เป็นฝ่ายยิ้มแหย ๆ แทน
“งานใหญ่ในรอบหลายปี ผมเลยตั้งใจมาร่วมงานด้วย ถ้าหลวงลุงอยากให้ทางผมช่วยอะไรก็บอกได้นะครับ”
“ยังจะมีบารมีอีกเหรอ...ทั้งลูกน้อง...ลูกสาวก็ทิ้งไปหมดแล้ว เหลือตัวคนเดียวกับคนขับรถส่วนตัว...”
“มหาอิ่มมม!” หลวงลุงทับปรามเสียงแข็งจนมหาอิ่มต้องหยุดพูด และเดินออกจากกลุ่มไปดูแลความเรียบร้อย คงเพราะทนเห็นหน้าพ่อเลี้ยงก้อมไม่ไหว
ต่างกับกำนันข้าวที่มองพ่อเลี้ยงก้อม แว่บหนึ่งที่ทั้งสองหันมาสบตากันพอดี กำนันข้าวเห็นแววตาของไอ้ก้อมเพื่อนรักสมัยวัยรุ่นคนเดิม เช่นเดียวกับพ่อเลี้ยงก้อมที่เห็นแววตาของกำนันข้าวที่ยังแฝงมิตรภาพและความเห็นใจอยู่ในนั้น ไม่ต่างจากวันแรก ๆ ที่ทั้งคู่เข้ามาเผชิญชีวิตในกรุงเทพ
พ่อเลี้ยงก้อมรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา กลุ่มคนเหล่านั้นพากันเดินตามไป จะมีที่ไม่ได้เดินตามก็คือ กำนันข้าวและแว่นเลี้ยงยาย
“เฮ้อ...” กำนันข้าวถอนหายใจ “ข้าไม่นึกนะว่า พ่อเลี้ยงก้อมจะมีวันนี้ นี่ล่ะที่คำพระท่านว่า ‘มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ไม่มีอะไรคงที่ตลอดไป’ นึก ๆ ไปก็น่าเห็นใจ
นะ”
พลางหันมาจับบ่าของแว่น
“ขอบใจเอ็งนะแว่น...ที่ไม่ทิ้งไอ้ก้อมมันไปเหมือนกับคนอื่น ๆ “
แว่น เลี้ยงยาย
แว่นผงกศรีษะ “พ่อเลี้ยงก้อมอาจจะไม่ใช่คนดี แต่ท่านก็มีบุญคุณกับผมครับ ให้งานผมทำ ให้เงินผมใช้ ยายป่วยก็ให้เงินเพิ่มไปรักษา ผมเนรคุณพ่อเลี้ยงไม่ได้หรอกครับ ทุกวันนี้แกก็แทบไม่ต่างกับคนแก่ธรรมดา ๆ คนหนึ่งครับ คนรอบข้างที่แกไว้ใจทิ้งแกไปอยู่กับนายหัวกานต์ครับ พี่เต้ เบียร์วุ้นเป็นหัวโจกพาไปครับ ส่วนพี่แมนก็เลือกจะออกมาทำงานสุจริตครับ”
แว่นเอ่ยต่อ “ผมเห็นแกแล้วก็สงสารครับ ตอนเย็นนั่งทานข้าวคนเดียว บางวันที่ผมไม่ได้กลับไปทานกับยาย ก็ทานเป็นเพื่อนแก ได้ยินแกปรับทุกข์ก็บ่อยครับ ผมว่าลึก ๆ แกคงสำนึกในสิ่งที่ทำแล้วครับ แต่เพราะเคยเป็นคนมีอิทธิพลจะยอมรับผิดก็คงยาก”
“พูดถึงนายหัวกานต์ ข้าล่ะหนักใจเหลือเกิน...” สีหน้าของกำนันข้าวเต็มไปด้วยความกังวลใจ “5 ปีที่ผ่านมา บางบอกดิกเจริญขึ้นมากมาย แต่ขณะเดียวกันต่างชาติก็เข้ามากมาย ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับนายหัวกานต์ทั้งนั้น...” กำนันข้าวคล้ายจะพูดอะไรต่อแต่ก็เงียบไป
กำนันข้าวกับแว่นรีบสาวเท้าเดินตามให้ทันกลุ่มของหลวงลุงทับที่เดินตรงไปทางโบสถ์ใหญ่ ระหว่างนั้นทั้งสองเดินผ่านบริเวณที่กำลังทำซุ้มขายของมือสอง คนงานคนหนึ่งที่สวมหมวกฟางปิดลงมาครึ่งหน้า ก้มหน้าก้มตาจัดวางสิ่งของ กระทั่งกำนันข้าวเดินผ่านไป สายตาของคนงานคนนั้นก็แอบชำเลืองมองแวบหนึ่ง
ชายหนุ่มร่างอ้วนเดินเข้ามากระซิบถาม
“เอาไงดีครับพี่หนัง” เอกอวดของถามขึ้น
เอก อวดของ
“ยังไม่ต้องทำอะไร พวกของเราเป็นไงบ้าง?” หนัง มิติตอบ
“ตอนนี้กระจัดกระจายลงพื้นที่ตามแผนหมดแล้วครับ” เอกรายงาน
“เฝ้าระวังไว้ก่อน พี่สังหรณ์ใจว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในช่วงงานวัดปีนี้ ข่าวกรองของไอ้ชม ตำนานไม่น่าผิดพลาด” หนัง มิติกำชับ
หนัง มิติ
....
ร้านเสริมสวย เพ็ญ-ภา
แมน เมืองชลเดินลงมาจากชั้นสอง เห็นเพ็ญกำลังยืนหันหลังทำกับข้าวอยู่ ก็รีบย่องเข้าไปโอบกอดจากด้านหลัง พร้อมกับหอมแก้มไปฟอดใหญ่
แมน เมืองชล
“จริง ๆ นะพี่แมน เซี้ยวจริง ๆ” เพ็ญหันกลับมาตีเบา ๆ ที่แก้มของแมน “อายลูกมันบ้างสิ มันนั่งอยู่ตรงนั้น”
แมนหันไปมองเห็นเด็กชายวัยสามขวบนั่งอยู่บนเก้าอี้ทานข้าวของเด็ก แมนตรงเข้าไปอุ้มเด็กชายคนนั้นขึ้นมากอดและหอมฟอดใหญ่
“พ่อหอมแม่ ลูกไม่ว่านะครับ”
เพ็ญ
เด็กชายยิ้มหัวเราะชอบใจ แมนค่อย ๆ วางลูกลงที่เก้าอี้ตัวเดิม เขาจำได้ว่าเก้าอี้ตัวนี้เขาเป็นเลื่อยไม้และต่อเป็นเก้าอี้ไว้ให้ลูกนั่งเอง
แมนเดินออกไปเปิดประตูลูกกรงหน้าบ้าน หยิบไม้กวาดมากวาดที่หน้าร้านให้สะอาดตา พอดีเหลือบไปเห็นภาเดินกลับมาโดยมีร่างเด็กหญิงอีกคนอยู่ในอ้อมแขน
แมนยิ้มรับพร้อมกับรีบตรงเข้าไปรับเด็กหญิงมาอุ้ม พร้อมกับจูงมือภาเดินเข้าร้าน ทันทีที่เข้าร้าน แมนก็รีบหอมภาฟอดหนึ่งทันที
“แน๊...พี่แมน...อายหลาน” ภาปราม หน้าแดงด้วยความเขิน
ภา
“จะต้องอายทำไม ก็ครอบครัวเดียวกัน พี่หอมน้ายายหนูมันจะแปลกตรงไหน พร้อมหน้ากันแล้วจะได้ทานข้าวกัน”
แมนวางร่างเด็กหญิงลงบนเก้าอี้ทานข้าวเด็กอีกตัวหนึ่งที่เขาต่อไว้ ก่อนจะนั่งลงที่หัวโต๊ะ
เพ็ญตามมาสมทบนั่งลงข้าง ๆ เด็กชาย ส่วนภานั่งลงข้าง ๆ เด็กหญิง
แมนมองซ้ายทีขวาทีด้วยความรู้สึกเป็นสุข เขาทบทวนความหลังเมื่อสามปีก่อน
“อะไรนะ...เอ็งมาขอลาออกเนี่ยนะไอ้แมน!” พ่อเลี้ยงก้อมตะโกนลั่น
“ครับ..พ่อเลี้ยง ผมเป็นพ่อคนแล้วครับ แม่เพ็ญก็ท้องใหญ่ขึ้นทุกวัน ผมเองเป็นหัวหน้าครอบครัว ก็อยากทำงานสุจริตมากกว่าจะไปทำงานเสี่ยงลูกปืน ไม่อยากให้เมียและลูกลำบากครับ หวังว่าพ่อเลี้ยงคงจะเห็นใจผมนะครับ”
พ่อเลี้ยงก้อมทรุดนั่งลง พลางหยิบกาแฟร้อนขึ้นมาซดเฮือกใหญ่
“ข้าเข้าใจว่ะ เอ็งอย่าลืมสิ ข้าเคยเป็นพ่อมาก่อน...” พูดได้เท่านั้นพ่อเลี้ยงก้อมก็เงียบไป เพราะใจเขากำลังคิดถึงพิม
“เอาเถอะ...ข้าจะให้เงินเอ็งสักก้อน เอาไว้ไปเป็นทุนเริ่มต้นชีวิตใหม่ ดูแลลูกเมียเอ็งให้ดีนะ” พ่อเลี้ยงก้อมตบไหล่แมน
แมนก้มลงกราบพ่อเลี้ยง
ภาพนั้นยังชัดเจนเหมือนวันนี้ ที่แมนเห็นคือภาพของพ่อเลี้ยงก้อมที่ใจดี มีน้ำใจต่อลูกน้อง ไม่ใช่พ่อเลี้ยงก้อมจอมอิทธิพลที่เคยยิ่งใหญ่คับบ้านคับเมือง
แมนอดคิดไม่ได้ว่า การที่คุณหนูพิมทิ้งพ่อเลี้ยงก้อม และการที่เต้ เบียร์วุ้นนำลูกน้องทั้งหมดไปอยู่กับนายหัวกานต์ มันทำให้อาณาจักรพ่อเลี้ยงก้อมสูญสลายไปทันที พ่อเลี้ยงทิ้งหมดทุกอย่างทุกงานที่เคยทำ วัน ๆ เอาแต่นั่งดื่มกาแฟ จิบเบียร์ บ่อยครั้งที่แมนต้องประคองพ่อเลี้ยงที่หมดสภาพไปนอน ได้ยินพ่อเลี้ยงก้อมละเมอก็บ่อย บางทีก็ร้องไห้ทั้ง ๆ ที่เมา ขอโทษกำนันข้าว มหาอิ่มที่เคยทำให้ทั้งคู่ติดคุกติดตะราง
ใจหนึ่งแมนก็อยากจะอยู่ดูแลพ่อเลี้ยงก้อม แต่อีกใจหนึ่งก็ห่วงเมียและลูก มันยากที่จะตัดสินใจ แต่ในที่สุด เขาก็เลือกที่จะออกมาจากงานผิดกฎหมาย แมนเลือกอนาคตของลูกเมียมากกว่า
ความคิดทั้งหลายหยุดลง เมื่อเพ็ญตักไข่พะโล้ใส่จานของแมน พร้อมกับสิ่งยิ้มให้เขา เช่นเดียวกับภาที่เทน้ำดื่มใส่แก้วที่พร่องลงไป พลางยิ้มให้แมน
“นี่ล่ะ...ความสุขที่แท้จริง” แมนคิดในใจ พร้อมกับกวาดตามองดูภรรยาทั้งสอง และลูกชายลูกสาวอย่างมีความสุข
“เย็นนี้เราไปงานทำบุญประจำปีกันนะ” แมนเอ่ยชวนทุกคนก่อนจะตักไข่พะโล้ใส่ปากอย่างเอร็ดอร่อย
....
โรงพยาบาลบางบอกดิก
ใจดีนั่งคอยเนิ้ตอยู่ในร้านเจเจ้มีตามสั่ง ระหว่างที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ไปพลาง ก็ดูดโอเลี้ยงไปพลาง สักพักใจดีก็รู้สึกได้ว่ามีคนมาสะกิดที่ไหล่จากด้านหลัง ใจดีหันกลับไปมอง
เนิ้ต สาวคนรักของใจดีนั่นเอง
เนิ้ตยิ้มให้ใจดี ยังคงเป็นยิ้มที่สดใสเช่นเดิม เธอทรุดลงนั่งตรงข้ามใจดี สักพักเจเจ๊ก็เอาชาดำเย็นมาวางตรงหน้าเธอ เนิ้ตส่งยิ้มและกล่าวขอบคุณ
ใจดี ชนแดน
“เหนื่อยไหมเนิ้ต?” ใจดีเอ่ยถาม เพราะเห็นสีหน้าของเนิ้ตเหมือนคนอดนอน
“อยู่เวรค่ะพี่ใจดี แต่เดี๋ยวห้าโมงเย็นก็เลิกแล้ว ว่าจะกลับไปนอน พี่ใจดีแวะมาหาเนิ้ตมีอะไรรึเปล่าคะ?”
“คิดถึงน่ะ” ใจดีส่งยิ้มพร้อมสายตาชวนใจละลายให้เนิ้ต เนิ้ตเขินจนหน้าร้านผ่าว รีบดูดชาดำเย็นแก้เขินแทน
“พี่ว่าจะชวนเนิ้ตไปเที่ยวงานวัดบอกดิกคืนนี้น่ะ...” ใจดีพูดต่อ
เนิ้ต
“จริงสินะ งานวัดเริ่มวันนี้นี่นะ เนิ้ตก็อยากไปนะ แต่วันนี้เพลียจังอยากขอกลับไปนอนก่อน พรุ่งนี้ได้ไหมคะ?”
“พรุ่งนี้ก็ได้จ้ะ เนิ้ตพักผ่อนก่อนก็ดี เดี๋ยวพี่รอรับกลับไปส่งที่หอพักไหม?”
“ไม่เป็นไรค่ะ หอแค่นี้เอง เนิ้ตเดินแป๊ปเดียวก็ถึง”
การสนทนาหยุดลงเมื่อข้าวผัดกะเพราหมูสับไข่ดาวสองจานมาวางอยู่ตรงหน้าทั้งสอง
แต่ที่ห่างงออกไปนอกร้าน หมอเวทย์ยืนมองคู่รักคู่นี้...ไม่สิ...หมอเวทย์มองดูเนิ้ตด้วยสายตาปวดร้าว ก่อนจะเดินจากไป
หมอเวทย์
“ไม่แวะทานข้าวเหรอคะคุณหมอ” เจเจ้ที่เห็นหมอเวทย์เอ่ยทัก
หมอเวทย์ยิ้มให้เจเจ้ “ไม่ล่ะครับ ผมยังไม่หิว” ตอบเสร็จหมอเวทย์ก็รีบสาวเท้าเดินไปจากตรงนั้น
....
ห้องเสื้อจริยา
เจี๊ยบกำลังก้มหน้าก้มตาถีบจักรเย็บผ้าเพื่อตัดชุดสวยให้เสร็จทันตามกำหน เสียงกระพรวนดังขึ้นจากประตูหน้าร้าน เธอเอ่ยทักโดยยังไม่ได้หันมามอง
“สวัสดีค่ะ ลองดูแบบเสื้อบนเคาน์เตอร์ก่อนได้นะคะ เดี๋ยวอีกแป๊ปจะออกไปค่ะ”
เจี๊ยบ จริยา
ไม่มีเสียงตอบจากลูกค้า แต่เจี๊ยบก็คิดว่าลูกค้าน่าจะกำลังดูแบบเสื้อ เธอรีบขมวดด้ายและหยุดมือลง ก่อนจะหันมาที่เคานเตอร์
ทันทีที่เห็นลูกค้าเจี๊ยบก็หน้าเย็นชา เกิดอาการหงุดหงิดขึ้นทันที
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์เวลานี้ คนที่ทำให้เธอโกรธมากก็คือ ผู้ชายต่างถิ่นคนหนึ่ง
จะว่าต่างถิ่นก็คงไม่ใช่เพราะเขาอยู่ที่นี่มาเกือบจะห้าปีแล้วนี่นะ เจี๊ยบบอกกับตัวเอง แต่จะเป็นห้าปี หรือยี่สิบห้าปีก็คงไม่ต่างกัน สำหรับผู้ชายคนนี้...เสก ก้าวเล็ก
เสกยิ้มให้เจี๊ยบ ทั้ง ๆ ที่เขาเตรียมตัวเตรียมใจมาแล้วว่าต้องพบกับสีหน้าเย็นชาของเจี๊ยบ เหมือนเช่นทุก ๆ ครั้ง
“พี่เสกเองจ้ะ”
“มีธุระอะไร?” เจี๊ยบถามเสียงห้วนแบบมะนาวไม่มีน้ำ “ชั้นไม่มีเวลาว่างมากนักนะพี่เสก ต้องรีบตัดชุดส่งลูกค้าให้ทันกำหนด”
“พี่แวะมาหาสุน่ะจ้ะ” เสกเฉไฉ
“เอ๊ะ...พี่เสก...ยังจะโกหกอีกนะ...พี่ก็รู้อยู่แก่ใจว่า สุไปรักษาตัวที่กรุงเทพ เธอป่วย!”
เจี๊ยบรู้สึกโมโหเสกมาก ๆ กับการไม่แสดงความรู้สึกเหมือนกับทุก ๆ ครั้งตั้งแต่ยังหนุ่มเคยเป็นอย่างไร ถึงตอนนี้ก็เป็นอย่างนั้น
เสกยิ้มแหย ๆ ไม่รู้จะพูดแก้ตัวอย่างไร เจี๊ยบจึงพูดต่อ
“พี่เสกไม่ต้องห่วงเราสองคนแม่ลูกหรอก ในเมื่อเจี๊ยบตัดสินใจหนีไปจากพี่เสกตั้งแต่ยี่สิบกว่าปีก่อน ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเจี๊ยบกำลังอุ้มท้องยายสุอยู่ก็ตาม จนถึงป่านนี้พี่ก็ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ พี่เป็นพ่อคนแล้วนะ ลูกโตจนออกเรือนแล้วด้วย” เจี๊ยบใส่เป็นชุด
เสกได้ยิ้มแห้ง ๆ เพราะไม่รู้ว่าควรจะแก้ตัวอย่างไร
“แต่มันก็เหมือนผีซ้ำด้ามพลอยจริง ๆ เลยนะ เจี๊ยบเกลียดตำรวจมากแค่ไหน ก็ดันได้ลูกเขยเป็นตำรวจเสียอีก จะดีหน่อยก็ตรงที่ว่ามีหน้ามีตาและก็รักสุมากด้วย”
เสกนึกถึงวันที่เขากลับมาที่ร้านตัดเสื้อจริยาอีกครั้ง มันหลังจากทุเลาจากอาการบาดเจ็ดที่ปะทะกับซันเจิ้น เขาแทบช็อคเมื่อตัดสินใจเดินเข้าไปในร้าน เขาคิดว่าคงได้พบกับสุ แต่กลายเป็นแม่สุ และยิ่งช็อคกว่าเดิมเมื่อพบว่า แม่ของสุคือ เจี๊ยบ ภรรยาทีหนีไปเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ตั้งแต่สมัยวัยรุ่น
ตอนนั้นเสกตัดสินใจเข้าเป็นตำรวจ เพราะคะแนนจรยุทธของเขาสูงมากจึงถูกส่งไปประจำการในหน่วยงานพิเศษ ต้องเดินทางต่างจังหวัดบ่อย แต่ด้วยความคึกคะนอง เสกทำตัวเสเพล ไปมีสัมพันธ์กับสาวต่างถิ่นก็บ่อย และไม่เคยทำหน้าที่สามีที่ดีเลย กระทั่งวันที่ความอดทนของเจี๊ยบถึงที่สิ้นสุด
เสกกลับมาที่แฟลตและไม่พบเสื้อผ้าของเจี๊ยบ บนโต๊ะกินข้าวมีกระดาษที่ฉีกมาจากสมุดเขียนข้อความสั้น ๆ
“ลาก่อน ไม่ต้องตามหา อย่าเจอกันอีกเลย ไอ้ผู้ชายเฮงซวย”
วินาทีนั้นเสกรู้แล้วว่า เขาสูญเสียสิ่งที่เขารักมากที่สุดไปแล้ว เสกสมัครไปเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบใช้ชีวิตแบบสายลับเพื่อขจัดผู้มีอิทธิพล ขณะเดียวกันเขาคิดว่า การตระเวณไปตามที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ อาจทำให้เขาพบกับเจี๊ยบอีกครั้ง
และสวรรค์คงเห็นใจ เสกได้พบเจี๊ยบอีกครั้งจริง ๆ ไม่เพียงแต่เจี๊ยบ แต่เขายังได้พบกับลูกสาวอีกด้วย
เสกคิดว่ามันคือโอกาสที่เขาจะแก้ไขความผิดพลาด เขาหางานประจำทำ พ่อเลี้ยงสอนให้ทำงานที่ไร่สอนดอยกาแฟ
นับจากนั้น เสกก็หมั่นแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเมียกับลูกสาว
เสก ก้าวเล็ก
หลายปีผ่านมา เธอก็คบหาดูใจกับผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ชาวบางบอกดิกรู้จักกันดี ก่อนจะลงเอยด้วยการแต่งงานกัน
เสกแทบช็อคอีกรอบเมื่อตัวเองกลายเป็นพ่อตา โดยมีลูกเขยคือ สารวัตรชอ ที่ตอนนั้นเป็นเพียงผู้กองชอจอมเจ้าชู้ไม่ต่างจากเสกในวัยหนุ่ม
แต่สารวัตรชอก็รักและห่วงใยสุมาก หลังแต่งงานไม่นานสุก็ล้มป่วยจนต้องเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาล หมอเวทย์แนะนำให้สุเข้าไปรักษาตัวที่กรุงเทพ โดยให้อยู่ในความดูแลของอาจารย์หมอ
ถ้าไม่ติดราชการ แทบจะทุกวันศุกร์สารวัตรชอจะลงไปกรุงเทพเพื่ออยู่เป็นเพื่อนสุ
ส่วนเจี๊ยบ นับตั้งแต่สุออกเรือนไปแล้ว ชีวิตเธอก็ดูเงียบเหงา พอ ๆ กับหงุดหงิด
แต่เจี๊ยบก็ยอมรับลึก ๆ ว่า การที่เสกกลับเข้ามาในชีวิต แม้ใจหนึ่งเธอจะเกลียด แต่อีกใจหนึ่งเธอก็รู้สึกดีที่มีเสกอยู่ใกล้ ๆ และเธอก็พบว่า เสก ก้าวเล็กคนนี้ ไม่ใช่เสก ก้าวเล็กคนเดิมเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน หากจะบอกว่า ทุกวันเธอรอการปรากฎตัวของเสก เพื่อให้เธอต่อว่า วันไหนเสกไม่มาเธอก็รู้สึกเหมือนชีวิตขาดอะไรไป แต่จะให้กลับไปรักกัน เจี๊ยบคิดว่าเธอยังไม่พร้อม
“เอ้า...จะเงียบไปถึงไหน” เจี๊ยบย้อนถามเสียงห้วน ๆ
“ก็พี่ไม่รู้จะพูดอะไร เดี๋ยวจะยิ่งทำให้น้องเจี๊ยบโมโหกว่าเดิม” เสกพูดพลางตีหน้าเศร้า
เสกถอนหายใจ ก่อนจะพูดลา “งั้นพี่ไปดีกว่า” พูดจบก็หันหลังเดินออกไปทันที
ก่อนที่เสกจะเปิดประตูออกไป ก็มีเสียงจากเจี๊ยบดังตามหลังมา
“ทานอะไรรึยัง? ในครัวมีข้าวผัดรถไฟ เจี๊ยบกินไม่หมด...ถ้าไม่คิดว่าต้องกินของเหลือ จะกินก็ได้นะ”
เสกหันขวับกลับมาพร้อมรอยยิ้ม พลางรีบตรงดิ่งมาที่เคานเตอร์ด้วยความดีใจ
“เจี๊ยบยังจำได้เหรอว่าพี่ชอบกินข้าวผัดรถไฟน่ะ...ทานสิ ๆ ของเหลือก็ทาน พี่เต็มใจ”
“งั้นก็จัดการเองนะ อยู่ในครัวด้านหลัง เจี๊ยบจะเย็บผ้าต่อแล้ว”
เจี๊ยบพูดจบก็รีบหันกลับไปนั่งที่จักรเย็บผ้าคล้ายกลัวว่าเสกจะเห็นสีหน้าแววตาของตนเอง
เสกมองเงาหลังของเจี๊ยบที่นั่งเย็บผ้าอย่างขมีขมัน ดวงตาเต็มไปด้วยความรักจับใจ ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว
ส่วนเจี๊ยบก้มหน้าถีบจักร ในใจมีความรู้สึกมากมาย
....
สำนักงานบริษัท ทัวร์ยุคใหม่ตลาดไทย จำกัด
รถตู้ขนาดเล็กแล่นมาจอดที่หน้าบริษัท ทันทีที่รถจอด กลุ่มนักธุรกิจ 3 คนพร้อมด้วยเลขานุการสาว 1 คนก็เดินมาที่รถ โดยมีใบตอง ชนแดน กับ บี บางรัก เดินลงมาส่ง
ใบตองหันไปกล่าวกับเลขาสาวว่า “ประธานอู๋ยินดีอย่างยิ่งที่ข้อตกลงของเราจบลงด้วยดี หวังอย่างยิ่งว่าจะได้ต้อนรับทุกท่านอีกครั้งในโอกาสต่อไปนะคะ”
เลขาสาวหันไปกล่าวเป็นภาษาญี่ปุ่น นักธุรกิจ 3 คนพอฟังเสร็จก็แย้มยิ้ม ก่อนจะโค้งคำนับตามธรรมเนียมประเทศตนเอง
ใบตองกับบีก็โค้งคำนับตอบเช่นกัน ทั้งหมดขึ้นรถตู้ ใบตองกล่าวกับเลขาอีกครั้งก่อนเธอขึ้นรถ
“ขอบคุณมากนะยุ้ย ที่เป็นธุระสำหรับทุกอย่าง”
“ด้วยความยินดีค่ะพี่ตอง ยุ้ยไปก่อนนะ แล้วค่อยพบกันใหม่นะคะ” เลขายุ้ยยิ้มตอบ
สองสาวกุมมือกันแน่นเป็นการร่ำลา
ใบตองเห็นรถตู้เคลื่อนออกไปก็หันมาทางบี บียิ้มให้ตอง มันเป็นยิ้มแบบที่ทำให้ตองยังใจละลายเหมือนทุกครั้ง
“ตองครับ เย็นนี้ว่างไหม...เราไปเที่ยวงานวัดบอกดิกกันไหม?”
บี บางรัก
“ว่างค่ะ” ใบตองตอบ “ยังไงก็ต้องไปอยู่แล้วค่ะ เพราะพ่อสอนก็เห็นว่าจะลงจากดอยมาเที่ยวงานด้วยเหมือนกันค่ะ”
“แหม...ดีใจจัง นี่เป็นงานวัดครั้งแรกที่ผมจะได้ไปเที่ยวกับตอง งั้นห้าโมงเย็นผมมารอตองที่ร้านเฮียหมูนะครับ”
“ค่ะ” ใบตองยิ้มตอบ ในใจตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นเมื่อเกือบห้าปีก่อน ใบตองจำได้ว่า วันนั้นเธอรีบไปโรงพยาบาลบางบอกดิก ใจดีพี่ชายของเธอบาดเจ็บสาหัส และไม่ใช่แค่พี่ใจดี แต่ยังมีผู้ชายต่างถิ่นอีกสองคน คนหนึ่งชื่อ เสก ก้าวเล็ก อีกคนคือผู้ชายที่ทำให้ตองรู้สึกดั่งต้องมนต์มาแล้ว บี บางรัก
หลังจากหายดี ทั้งเสกและบีก็ย้ายมาทำงานกับพ่อสอน ดอยกาแฟ เสกดูแลเรื่องงานปศุสัตว์ และไร่กาแฟ ส่วนบีดูแลเรื่องธุรกิจ และเหมือนทำหน้าที่บอดี้การ์ดให้กับใบตองด้วย มันยิ่งทำให้ทั้งเธอและบีใกล้ชิดกันมากขึ้น
ใบตอง ชนแดน
แต่ใบตองก็ไม่แน่ใจความรู้สึกลึก ๆ ของบีว่าคิดอย่างไรกับเธอ เพราะหลายครั้งที่บีไม่เคยแสดงออกเป็นพิเศษ แต่ก็มีบางครั้ง เหมือนดังเช่นครั้งนี้ที่บีแสดงความรู้สึกเป็นพิเศษออกมา มันเลยทำให้ตองสงวนท่าทีที่จะแสดงออกกับบี เพราะเธอไม่รู้ว่าลึก ๆ แล้วในใจของบีคิดอย่างไรกับเธอ
แต่ก็ไม่เพียงแค่ใบตองที่ไม่รู้ แม้กระทั่งเจ้าตัวก็อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ใจลึก ๆ คิดอย่างไร แต่นี่ล่ะคือ บี บางรัก
....
ตลาดบางบอกดิก
ฉัตรกับปามเดินเลือกซื้อกับข้าวด้วยกันที่ตลาด
“แม่...คืนนี้แม่จะไปงานวัดไหมจ้ะ” ปามเอ่ยถาม
แม่ฉัตร
“พ่อข้าวต้องไปอยู่แล้ว แต่แม่ยังชั่งใจอยู่ว่าจะไปหรืออยู่บ้านดี...ทำไมเหรอ?” แม่ฉัตรย้อนถามลูกสาวคนเล็ก
“แม่ไปเถอะ ปามอยากให้แม่ไปนะ” ปามคะยั้นคะยอแม่ของเธอ
“มีอะไรเป็นพิเศษเหรอ?” แม่ฉัตรย้อนถามอีกรอบ
ปามอมยิ้มไม่ตอบ ฉัตรขมวดคิ้วก่อน “ลูกสาวคนนี้ทำเหมือนมีลับลมคมใน”
ปามไม่ตอบ แต่อยากให้แม่ของเธอไป เพราะคืนนี้มีประกวดร้องเพลง และปามแอบไปสมัครไว้ เธอตั้งใจจะประกวดร้องเพลงเพื่อพิสูจน์ความสามารถของตนเอง แต่เธอไม่อยากบอกแม่ในตอนนี้
ปาม
สองแม่ลูกยืนรอรถอยู่ตรงหน้าตลาด ชั่วครู่รถสามล้อถีบก็วิ่งมาจอด
“พี่คะ ไปบ้านกำนันข้าวค่ะ” ปามบอกกับคนถีบสามล้อ
คนถีบสามล้อที่สวมหมวกก้มหน้าก้มตาอยู่ ผงกศรีษะโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา ส่วนสองแม่ลูกก้าวขึ้นไปนั่ง
รถสามล้อเคลื่อนตัวออกไป ฉัตรกับปามก็คุยกันอย่างสนุกสนาน คนขับรถสามล้อมองผ่านกระจกมองหลังไปที่สองแม่ลูกเป็นระยะ ๆ เขามองหน้าของฉัตรสลับกับหน้าของปามเป็นระยะ
คนขับสามล้อก็คือ ภาพ เทวารักษ์ หรือ เสือมุบ นั่นเอง
เสือมุบคิดถึงครั้งแรกที่เขาปลอมตัวเป็นคนขับสามล้อและรับฉัตรกับปามในวันที่ฝนตกหนัก
วันนั้นเสือมุบตั้งใจจะจับตัวฉัตรกับปาม โดยเมื่อถึงจุดนัดหมายที่มีรถปิคอัพของไร้ ท่าแร้งจอดรออยู่
แต่แล้ววันนั้นเสือมุบไม่ได้หยุดรถสามล้อ เขายังคงถีบรถสามล้อฝ่าสายฝนพาสองแม่ลูกไปส่งจนถึงหน้าบ้านของผู้ใหญ่ข้าว
เย็นวันนั้นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผ่านมาเกือบห้าปี เสือมุบยังปลอมตัวเป็นคนขับสามล้อ ที่แวะรับสองแม่ลูกไปส่งที่บ้านเสมอ
ยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บ คงเป็นคำที่ใกล้เคียงความรู้สึกของเสือมุบมากที่สุด
ไร้เคยถามเสือมุบ
“พี่มุบ ทำไมวันนั้นพี่ไม่จับแม่ฉัตรล่ะครับ?”
ไร้ ท่าแร้ง
เสือมุบไม่ตอบเพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร การกระทำบางอย่างมันก็ไม่มีเหตุผลที่จะอธิบาย
แต่การที่เสือมุบเลือกจะปลอมตัวเป็นคนขับสามล้อ รับส่งแม่ฉัตรกับปามอยู่บ่อยครั้ง มันไม่ได้ช่วยให้ความรู้สึกของเสือมุบดีขึ้นเลย มิหนำซ้ำมันจะยิ่งทำให้ทุกอย่างดูไม่เป็นไปตามแผนด้วยซ้ำ
มันก็แค่การมีโอกาสได้อยู่ใกล้ ๆ กับคนที่ตนเองรัก...ก็เท่านั้น
ไม่ใช่เฉพาะการที่รับส่งฉัตรกับปาม แต่ก็มีหลายครั้งที่เสือมุบรับปามไปส่งบ้าน ระหว่างเส้นทางกลับบ้าน บ่อยครั้งที่ปามร้องเพลงไปด้วย ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ เสือมุบก็ต้องฟัง มันยิ่งทำให้เขาไม่ชอบเด็กสาวคนนี้มากขึ้น
เสียงเพลงที่ปามร้อง ความชอบร้องเพลงของปาม มันทำให้นึกถึง ข้าวน้อย พ่อของปาม ผู้ชายท่าทางเป็นมิตร ที่ว่างเป็นต้องร้องเพลง สมัยหนุ่ม ๆ ที่ข้าวน้อยอยู่ที่โรงงานก็ร้องเพลงให้ฉัตรฟังบ่อย ๆ จนฉัตรไปเอ่ยชมกับเสือมุบที่ตอนนั้นคือภาพ เทวารักษ์
“ฉัตรไม่ชอบฟังเพลงลูกทุ่งไม่ใช่เหรอ?” ภาพย้อนถามฉัตร
ภาพ เทวารักษ์
“ใช่...ฉัตรไม่ชอบหรอก” ฉัตรยอมรับ
“อ้าว...แล้วทำไมถึงชมว่าพี่ข้าวน้อยร้องเพลงลูกทุ่งเพราะ?” ภาพถามซ้ำ น้ำเสียงมีความขุ่นมัว
“ก็พี่ข้าวร้องเพลงลูกทุ่งแล้วสัมผัสได้ถึงความจริงใจน่ะภาพ”
“แล้วทีเราร้องเพลงล่ะ ไม่เห็นฉัตรชมแบบนั้นบ้างเลย หรือเราร้องเพลงห่วย” ภาพเริ่มเสียงแข็ง
ฉัตรหันมายิ้มให้ภาพ “ไม่หรอก ภาพร้องเพลงเพราะนะ เพลงแบบไหนมาภาพก็ร้องได้หมด จะโน๊ตเสียงคีย์ไหนภาพก็ร้องตามได้ เรียกว่าภาพร้องแบบนักร้องน่ะ”
ฉัตร
“แต่มันไม่เพราะจับใจฉัตร ว่างั้น?” ภาพย้อนถาม น้ำเสียงแฝงความปวดร้าว
“คิดมากน่า....ภาพก็คือภาพนะ อย่าน้อยใจเลยนะ” ฉัตรยิ้มให้ภาพพลางกุมมือชายหนุ่มเบา ๆ
เสือมุบยังจำความรู้สึกนั้นได้ดี และเขาก็รู้สึกหงุดหงิดทุกครั้งที่ได้ยินปามร้องเพลงลูกทุ่ง สิ่งที่ทำได้คือรีบถีบสามล้อให้เร็วขึ้นเพื่อจะได้ถึงหน้าบ้านผู้ใหญ่ข้าวไว ๆ
“แหม...ทำไมวันนี้พี่ถีบสามล้อเร็วจังคะ ไม่เหนื่อยเหรอคะพี่?” ปามย้อนถาม แต่เสือมุบไม่ตอบ
เมื่อรถสามล้อจอดที่หน้าบ้าน ปามลงจากรถและส่งค่าโดยสารให้ พร้อมกับหยิบขวดน้ำส้มคั้นที่เธอซื้อมายื่นส่งให้
“พี่คะ...ปามให้พี่ ดื่มแล้วจะได้สดชื่นนะคะ” ปามยิ้มให้ก่อนจะผลักประตูเดินเข้าไปในบ้าน
เสือมุบรับน้ำส้มมาด้วยความงุนงง และความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย
หลังจากนั้นเหมือนว่าปามจะจำได้ว่า สามล้อคนนี้คือตนเอง ทุกครั้งที่เธอลงจากรถ เธอจะยื่นน้ำส้ม หรือขนมให้เขาเสมอ
รถสามล้อจอดที่หน้าบ้าน ฉัตรก้าวลงและเดินเข้าบ้าน ส่วนปามลงจากรถตามหลัง พร้อมกับยื่นถุงน้ำกระเจี๊ยบใส่น้ำแข็งให้กับเสือมุบ
“เอาไว้ทานนะคะ จะได้หายเหนื่อย” ปามยิ้มก่อนจะเดินตามไปสมทบกับแม่ฉัตร
เสือมุบ ป่าพยนต์
เสือมุบนั่งนิ่งงันอยู่บนรถสามล้อ ในมือข้างหนึ่งถือถุงน้ำกระเจี๊ยบนั้นด้วยความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
....
ณ สถานที่ลึกลับแห่งหนึ่งในป่า
ในห้องประชุมแห่งหนึ่งที่ลึกลับผนังทุกด้านเป็นสีเทาเข้ม ในห้องประชุมที่มืดสนิท เพียงไฟที่ส่องลงมาจากเพดานเหนือศีรษะของมิสเตอร์ท็อป เหลียง ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ
ในส่วนที่มืดของห้องประชุมยืนไว้ด้วยเงาคนกลุ่มหนึ่ง ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าคนกลุ่มนั้นก็คือ ซันเจิ้น และ เจ.ที.
มิสเตอร์ท็อปกวาดตามองทั้งหมดก่อนจะวิเคราะห์
“ตั้งแต่เราสร้างฐานกำลังที่นี่ มีหลายครั้งที่ถูกขัดขวางจากกลุ่มโจรป่าพยนต์ และคนฮ่องกงกับเพื่อนของมัน ซึ่งก็คือ ไอ้ผู้กองวีกิจจากอินเตอร์โพล กับนายตำรวจของไทยอีกคนชื่อหมวดอติ”
“พวกเราเตรียมการไปถึงไหนแล้ว?” มิสเตอร์ท็อปเอ่ยถามขึ้น
มิสเตอร์ท็อป เหลียง
“แผนทุกอย่างเตรียมการไว้แล้วครับ” ซันเจิ้นเป็นฝ่ายตอบ
“ผมว่าเราลงมือสังหารหมู่ให้หมดก็สิ้นเรื่องสิ้นราว ไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับเรื่องแค่นี้เลยครับ” เจ.ที.ที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขัดขึ้น
เจ.ที.
“เราไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นเหมือนที่ซูดานนะ ยิ่งทำแบบนั้นจะยิ่งทำให้ทางการไทย และตำรวจสากลเพ่งเล็ง มันจะเสียการใหญ่” มิสเตอร์ท็อปหันมาตำหนิเจ.ที. แล้วหันไปสั่งซันเจิ้น “ซันเจิ้นไปดำเนินการตามแผนทันที”
“รับทราบครับ” ซันเจิ้นรับคำและเดินออกไปพร้อมด้วยคนกลุ่มหนึ่ง
ซันเจิ้น
ส่วนเจ.ที.ได้แต่ออกอาการหงุดหงิด แต่ไม่กล้าแสดงออกเมื่ออยู่ต่อหน้ามิสเตอร์ท็อปเหลียง
รถบรรทุกคันหนึ่งวิ่งออกจากป่า ทิศทางของมันมุ่งตรงไปที่ตัวเมืองบางบอกดิก!
...
โปรดติดตามตอนต่อไป
....
เริ่มเดินเครื่องแล้วสำหรับ “บางบอกดิก 2”
ผมหวังว่าทุกคนจะสนุกกับนิยายภาคสองนะครับ
เราได้เห็นพัฒนการ ความเปลี่ยนแปลง และเรื่องราวที่ถัดไปจากตอนจบของภาคแรก ที่ทิ้งระยะห่าง 5 ปี
ผู้คน และความสัมพันธ์มีความเปลี่ยนแปลง บางปมที่เคยทิ้งไว้ในภาคแรกก็ถูกเปิดเผย
แต่ก็มีปมใหม่ คำถามคาใจใหม่ ๆ เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน
อยากให้ทุกคนได้อ่านตอนที่ 1 ก่อน
และหลังจากนี้ ผมจะเริ่มเดินหน้าเขียนนิยายไปก่อน เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมจะนำมาลงให้อ่านกัน โดยเร็วที่สุด
อยากใช้เวลาเขียนที่ไม่ใช่แบบ “งานเผา”
อดใจรออีกนิดนะครับ
และแสดงความเห็นกันได้ตามอัธยาศัยเหมือนเดิมครับ
จนกว่าจะได้พบกันในตอนที่ 2
มูฟ เมืองกรุง
โปรดติดตาม "บางบอกดิก 2 " ได้ที่นี่ เร็ว ๆ นี้
ขอบคุณที่มาภาพประกอบ:
Google.com
2 บันทึก
38
128
9
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
บางบอกดิก 2
2
38
128
9
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย