13 ก.ย. 2020 เวลา 03:00 • นิยาย เรื่องสั้น
MovieTalk ภูมิใจเสนอ "บางบอกดิก 2" ตอนที่ 2
บ้านของนายหัวเฉื่อย
นายหัวเฉื่อยกำลังนอนเอกเขนกอยู่บนโซฟา โดยมีสาวนุ่งน้อยห่มน้อยสองคน
คนหนึ่งนั่งบีบนวดแข้งขาอยู่ข้าง ๆ ส่วนอีกคนก็ปรนนิบัติส่งแก้วเบียร์ให้จิบพลาง ป้อนเม็ดมะม่วงหิมพานต์คั่วให้ทานเป็นกับแกล้มพลาง
นายหัวเฉื่อยยิ้มกรุ้มกริ่มมองมาที่สาวคนที่ป้อนอาหาร...เอ๊ย...ส่งกับแกล้ม ผิวขาว ๆ ตัดกับชุดว่ายน้ำสีเขียว ทำให้นายหัวเฉื่อยคึกคักมันเขี้ยว ถึงกับไซ้ซอกคอเด็กสาว
คนนั้น
“ว๊าย..” เด็กสาวอุทานด้วยจริตอย่างมีชั้นเชิง “ป๋าเฉื่อยทำอะไรคะ หนูขนลุกซู่ไปหมดเลย” น้ำเสียงตัดพ้อแต่สายตาหยาดเยิ้ม
นายหัวเฉื่อยจับมือนุ่มนิ่มของเด็กสาวอีกคนที่กำลังนวดขา ขยับขึ้นมาถึงโคนขาแล้ว
“พอเถอะจ้ะ...” นายหัวเฉื่อยเลียริมฝีปาก
“ทำไมเหรอคะป๋าเฉื่อย” เด็กสาวทำสีหน้างุนงง ชุดว่ายน้ำสีชมพูหวานทำให้นายหัวเฉื่อยหายใจฟืดฟาด
“ป๋าไม่อยากนวดแล้ว” นายหัวเฉื่อยเอ่ย “แต่ป๋าคิดว่าเราน่าจะขึ้นไปข้างบนดีกว่านะ ป๋ามีเกมสนุก ๆ ให้เล่น”
“เกมอะไรเหรอคะ?” เด็กสาวชุดว่ายน้ำชมพูเอ่ยถามทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวก็เดาออกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น
“เกมผีผ้าห่มจ้ะ ตะลุ้งตุ้งแช่” นายหัวเฉื่อยตอบแล้วเลียริมฝีปาก
นายหัวเฉื่อย
เด็กสาวคนเดิมทำทีตีมือ ก่อนจะลุกขึ้นวิ่งหนีขึ้นบันไดไปก่อน โดยมีเด็กสาวขาวอวบชุดว่ายน้ำสีเขยวลุกขึ้นวิ่งตามไป แต่หยุดตรงบันไดหันมาส่งสายตาหยาดเยิ้มให้นายหัวเฉื่อย
“ป๋าเฉื่อย...คนผีทะเล...หนีดีกว่าเรา” เด็กสาวขาวอวบพูดจบก็วิ่งขึ้นบันไดไป
นายหัวเฉื่อยไม่รอช้ารีบลุกขึ้นทันที พอดีกับอ๊อด พากินเดินเข้ามา
“นายหัวครับ” อ๊อดเอ่ยทัก “เย็นนี้ วัดบางบอกดิกมีงานวันแรก นายหัวจะไปร่วมงานไหมครับ”
นายหัวเฉื่อยที่เตรียมจะขึ้นบันไดต้องชะงักจนหัวทิ่ม
หันมาชักสีหน้าหงุดหงิดใส่
“ข้ามีธุระ ไม่ไปหรอก ไอ้อ๊อด ถ้าเอ็งจะไปก็ไปได้เลย ไม่ต้องรอ”
อ๊อด พากิน
“งั้น...ให้นายหัวกานต์ไปเป็นตัวแทนนายหัวเฉื่อยเหมือนเดิมใช่ไหมครับ?” อ๊อดถามขึ้น
“เออสิวะ” พูดจบนายหัวเฉื่อยก็รีบก้าวขึ้นบันไดไปทันที
อ๊อด พากินเงยหน้ามองตาม เขารู้อยู่แก่ใจว่านายหัวเฉื่อยไม่ไปเพราะอะไร
น้องเย็นแมวลายเสือสีส้มเดินเยื้องย่างเข้ามาหาอ๊อด พร้อมกับเคล้าแข้งเคล้าขา อ๊อดก้มหน้าลงมองสบสายตากับน้องเย็น ก่อนจะอุ้มขึ้นมากอดหอมฟอดใหญ่
“น้องเย็นลูกพ่อ...เดี๋ยวพ่อหาปลาทูให้ทานก่อนไปนะ”
น้องเย็น
เย็นร้องเมี๊ยว ๆ เสียงใส คล้ายฟังออกว่าตนเองจะได้ทานของโปรดอีกแล้ว
ข้าง ๆ มีแมวลายเสือตัวผู้เจ้าปิ๊ดนอนสบายอารมณ์ พอเห็นอ๊อดเดินเข้าครัวโดยมีน้องเย็นเดินตาม เจ้าปิ๊ดเลยรีบลุกขึ้นเดินตามก้นน้องเย็นไปติด ๆ
เจ้าปิ๊ด
ด้านนอกของบ้าน กานต์ บัญชี ยืนมองดูความเป็นไปที่เกิดขึ้นในบ้าน
สิ่งที่เขาเห็นคือ นายหัวเฉื่อยที่เอาแต่คลุกวงในกับเด็กสาว ส่วนอ๊อด พากินที่ทำตัวเสมือนทาสแมวไปวัน ๆ บนใบหน้ากานต์ปรากฎรอยยิ้มขึ้น
กานต์ยังจำได้ว่าที่เขาตัดสินใจจะเป็นใหญ่แทนนายหัวเฉื่อยตามคำเชื้อเชิญของมิสเตอร์ท็อป
“ผมมีวิธีทำให้นายหัวเฉื่อยวางใจ มอบทุกอย่างให้ผมจัดการ เช่นเดียวกับทำอย่างไรที่จะผูกมัดใจอ๊อด พากินคนสนิทของนายหัวครับ”
นายหัวกานต์ บัญชี
กานต์อธิบายเมื่ออยู่ในห้องทำงานของมิสเตอร์ท็อป เหลียงที่นั่งฟังนิ่งเงียบ โดยมีซันเจิ้นยืนขนาบข้างซ้าย และเจ.ที.ยืนขนาบข้างขวา
กานต์เอ่ยต่อ
“เราแค่ให้ในสิ่งที่พวกเขาชอบ ปรนเปรอด้วยสิ่งนั้น”
“ผมไม่เคยประเมินคุณผิดไปเลยนะคุณกานต์ และดีใจที่เราเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกัน”
มิสเตอร์ท็อปเอ่ยชม
นั่นคือเหตุการณ์หลังจากที่มิสเตอร์ท็อปเข้ามาพำนักในบางบอกดิกได้ไม่ถึงปี และเริ่มวางรากฐานต่าง ๆ
กานต์ทบทวนความหลัง กว่าจะมีวันนี้ อิทธิพล และบารมีที่ได้มา ก็ต้องทุ่มเทแผนการมากมาย
นายหัวเฉื่อยมอบทุกอย่างให้อยู่ในความดูแลของกานต์ คนอย่างนายหัวถ้ามีผู้หญิงมาปรเปรอ ถึงเวลามีเงินใช้ไม่ขาดมือ ไม่ต้องเปลืองสมองแค่นี้ก็พอแล้ว ส่วนอำนาจและอิทธิพลถ้ากานต์อยากได้ก็ยกให้มันไป นายหัวคิดอย่างนั้น และก็เข้าทางกานต์ บัญชี
ห้าปีผ่านไป กานต์ บัญชีไม่ใช่อยู่ใต้เงาของนายหัวเฉื่อยอีกต่อไป แต่กลายเป็นนายหัวคนใหม่ ที่ข้ามหัวทั้งผู้มีอิทธิพลเก่าอย่างนายหัวเฉื่อย หรือ พ่อเลี้ยงก้อม เพราะกานต์รวบกิจการค้าของทั้งสองมารวมกันและผูกขาดตลาดแต่ผู้เดียว หนึ่งในนั้นคือเป็นเอเยนต์ใหญ่ค้าเฮโรอีนในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ครั้งหนึ่งที่กานต์มีโอกาสพบกับเต้ เบียร์วุ้นในโชโกะเลาจ์ ตอนนั้นเต้กำลังคลุกวงในกับเด็ก ๆ ของมาดามโชโกะสองคนอย่างเมามันในห้องเลาจ์ส่วนตัว
กานต์ทรุดนั่งลงข้าง ๆ จนเต้ตกใจ
“ไอ้กานต์ เอ็งมาทำอะไรที่นี่วะ”
เต้ เบียร์วุ้น
“ผมมาหาพี่เต้โดยเฉพาะครับ” กานต์ตอบ
เต้รู้สึกคลางแคลงใจ พลางใช้แววตามองอย่างระแวดระวัง กานต์เองก็อ่านสายตาของเต้ออกจึงพูดขึ้น
“ผมมาดี...พี่เต้ไม่ต้องกังวล...ผมมีข้อเสนอที่พี่เต้น่าจะรับไว้พิจารณานะ”
“อะไรของเอ็งวะ” เต้คล้ายไม่สนใจก้มหน้าก้มตาฟอนฟัดเด็กสาวสองคนแบบซ้ายทีขวาที
กานต์ปรายตามอง ก่อนจะเอ่ยเสียงราบเรียบ “ถ้าผมทำให้พี่เต้กลายเป็นพ่อเลี้ยงเต้ได้ พี่เต้สนใจไหม?”
ได้ผล...เต้หยุดฟัดสาว ๆ ทันที พร้อมกับหยิบแก้วเบียร์วุ้นขึ้นมาซดเฮือกใหญ่ ก่อนจะย้อนถาม “ไหนพูดอีกทีซิ ในนี้เพลงมันดังไม่ค่อยได้ยิน”
“ผมบอกว่า...ถ้าผมทำให้พี่เต้กลายเป็น...พ่อ...เลี้ยง...เต้..ได้ พี่เต้สนใจไหมครับ?”
กานต์เน้นทีละคำตรง "พ่อเลี้ยงเต้"
เต้หูผึ่ง เผลอยิ้ม ตาเป็นประกาย ในใจกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่ทำทีเป็นวางท่าเรียบเฉย
ส่วนกานต์ประเมินด้วยสายตาก็รู้ว่า ข้อเสนอของตนทำให้เต้หวั่นไหวไม่น้อย
และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้เต้เริ่มคิดคดทรยศต่อพ่อเลี้ยงก้อม งานส่งของผิดกฎหมายก็เป็นเต้ที่บอกกับกานต์ และกานต์ก็ให้ซันเจิ้นกับเจ.ที.ไปปล้นมาอีกต่อหนึ่ง โดยโยนความผิดให้เป็นพวกว้าแดงบ้าง กระเหรี่ยงบ้าง ผกค.บ้าง หนัก ๆ เข้าทำให้เข้าใจว่าเป็นฝีมือของไอ้ขุนโจรป่าพยนต์
แต่ของที่ปล้นมาได้กานต์ก็หาลูกค้าติดต่อขายให้ และหักไว้เอง 40% กับให้เต้ 60% ส่วนเต้ก็หักไว้เอง 50% และแบ่งให้ลูกสมุน 10% รายได้เต้ก็เริ่มมากขึ้น ๆ
ด้านพ่อเลี้ยงก้อมโดนปล้นของบ่อยเข้า ก็ไม่มีใครกล้าทำธุรกิจด้วย รายได้ที่เคยมีก็หดหายร่อยหรอ ลูกน้องก็เริ่มแตกแถว และเริ่มเชื่อฟังเต้มากกว่าพ่อเลี้ยงก้อม เต้เห็นสบโอกาสก็ในที่ประชุมต่อหน้าพ่อเลี้ยงก้อม
“นายครับ ทุกวันนี้พวกเราก็แทบจะไม่มีอะไรกินแล้ว เพราะไม่มีงานเข้ามาเลย ไม่มีใครกล้าทำธุรกิจกับนาย แต่พวกผมต้องกินต้องใช้นะครับ”
พ่อเลี้ยงก้อมรู้สึกหน้าตึงขึ้นมา อันที่จริงระยะหลังพ่อเลี้ยงก้อมพบว่า เต้ไม่ค่อยจะให้ความเคารพตนเอง
เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป
“เอ็งจะพูดอะไรกันแน่?” พ่อเลี้ยงถามขึ้น
“อย่าว่าผมเนรคุณเลยนะครับ...ผมอยู่กับพ่อเลี้ยงต่อไปก็คงอดตาย ผมขอไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า”
แมน เมืองชล ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ตวาดขึ้น
“ไอ้เต้...ทำไมเอ็งพูดแบบนี้วะ พ่อเลี้ยงมีบุญคุณกับพวกเรานะ ท่านชุบเลี้ยงเรามา
ให้งานเราทำนะ แบบนี้เท่ากับกินบนเรือนขี้รดบนหลังคาสิวะ”
แมน เมืองชล
“ไอ้แมน...เอ็งก็พูดเกินไป ไม่ใช่แค่ข้าเท่านั้นที่จะอดตาย ไอ้ภพ ไอ้ศักดิ์ ไอ้กฤษณะ ไอ้ยักษ์ มันก็รู้สึกไม่ต่างกัน หรือพวกเอ็งว่าไง?”
“จริงจ้ะ” พิภพรับเสียงอ่อย ๆ พลางลูบหัวล้าน
“ผมว่าเรามาโหวดดีกว่าครับ” เต้เสนอ
“ใครอยากอยู่กับพ่อเลี้ยงต่อก็ยกมือขึ้น”
แมนกับแว่นรีบยกมือทันที ส่วนที่เหลือไม่มีใครยกมือเลย
พ่อเลี้ยงก้อมถึงกับใจสะท้าน ตัวชาไปทั้งร่าง
เต้พูดต่อ “ใครจะไปเสี่ยงดวงข้างหน้ากับข้า ยกมือขึ้น”
คนที่เหลือทั้งหมดต่างยกมือกันพรึ่บ พ่อเลี้ยงก้อมหน้าเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ พวกผมก็ขอลาพ่อเลี้ยงก้อมตรงนี้เลยครับ”
เต้พูดจบก็ยกมือไหว้พ่อเลี้ยงก้อมแบบทิ่มพรวดก่อนจะเดินนำหน้าพาทุกคนออกไป
คฤหาสน์พ่อเลี้ยงก้อมตกอยู่ในความเงียบงัน
พ่อเลี้ยงหันมาสบตาแมนกับแว่นแว่บหนึ่ง ในสายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย
ทุกอย่างตกในความเงียบสงัด พ่อเลี้ยงก้อมนั่งเงียบอยู่พักใหญ่ จนในที่สุดก็เอ่ยขึ้น
“ไอ้แมนกับไอ้แว่น พวกเอ็งกลับไปก่อน ข้าอยู่อยู่เงียบ ๆ คนเดียว”
“ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนพ่อเลี้ยงไหมครับ” แว่นเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
“อย่าเลย...นี่ก็จะค่ำแล้ว เอ็งกลับไปดูแลยายเอ็งเถอะ” พ่อเลี้ยงตัดบท พูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องประชุม
แว่นทำท่าจะลุกขึ้นเดินตาม แต่แมนฉุดไว้
“แว่น เอ็งให้พ่อเลี้ยงอยู่คนเดียวเถอะ”
“แต่...”
“เอ็งไม่เข้าใจหรอก เพราะเอ็งไม่เคยอยู่ในสถานะแบบพ่อเลี้ยงมาก่อน ข้าว่าเขาไม่อยากให้เราเห็นความรู้สึกใด ๆ หรอก”
พูดจบแมนก็ลุกขึ้น เดินออกจากบ้าน ตรงไปที่มอเตอร์ไซต์คู่ชีพ เขากวาดตามองรอบ ๆ บ้าน ทุกอย่างที่เคยครึกครื้น เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของบรรดาสมุนคู่ใจ เสียงหัวเราะของสาว ๆ ที่พ่อเลี้ยงเหมามาให้แต่ละคน แต่ตอนนี้รอบ ๆ มีเพียงความว่างเปล่า กับเสียงการ้องเป็นพัก ๆ ยิ่งฟังยิ่งวังเวง
แมนมองกลับไปที่ในบ้านอีกครั้งด้วยสายตาห่วงใยพ่อเลี้ยงก้อม ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจสตาร์ทเครื่องยนต์ แว่นวิ่งตามออกมา
“พี่แมน ผมขอติดรถไปลงที่ตลาดด้วยคนครับ จะแวะร้านเฮียหมูด้วย”
แมนพยักหน้า แว่นกระโดดขึ้นซ้อนท้าย มอเตอร์ไซต์ค่อย ๆ พาชายทั้งสองออกจากบ้านไป
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ชื่อของ เต้ เบียร์วุ้น ก็เริ่มทะยานขึ้นแทนที่พ่อเลี้ยงก้อม นับวันอิทธิพล ลิ่วล้อ ของเต้ เบียร์วุ้นก็มากขึ้นจน ถูกเรียกขานเป็น "พ่อเลี้ยงเต้"
คฤหาสถน์พ่อเลี้ยงก้อม
พ่อเลี้ยงก้อมนั่งเงียบ ๆ อยู่ในห้องทำงานของตัวเอง เวลานี้ใกล้ค่ำแล้ว หลังจากแว่นขับรถกลับมาส่ง
แว่น เลี้ยงยาย
“พ่อเลี้ยงครับ...ผมอยากขอลากลับเร็วหน่อยได้ไหมครับ?”
“เอ็งมีธุระอะไรเหรอ...หรือยายไม่สบาย” พ่อเลี้ยงถามด้วยความเป็นห่วง
“เปล่าครับ...เอ่อ...คืองานวัดบอกดิกเริ่มคืนนี้คืนแรก ผมเลยอยากพาพิ้งค์ไปเที่ยวครับ นัดกันไว้แล้ว”
พ่อเลี้ยงก้อมยิ้ม “เอาสิ...นาน ๆ เอ็งจะได้มีความสุขเสียที ไปเถอะ ข้าอนุญาต”
“แล้วพ่อเลี้ยงจะไปงานวัดตอนค่ำไหมครับ?” แว่นถาม
“ไม่ไปดีกว่า ข้าไม่อยากเจอหน้าไอ้กำนันข้าวกับมหาอิ่ม” พ่อเลี้ยงก้อมตอบ ในใจนึกอายกับเหตุการณ์ที่มหาอิ่มฉีกหน้าตนเองเมื่อช่วงบ่าย “เอ็งไปได้เลย ข้าอยู่ได้
เดี๋ยวว่าจะนอนเร็วหน่อย” พูดจบก็เดินขึ้นบันไดทันที
แว่นลังเลชั่วครู่ แล้วก็เดินตรวจตรา ล็อคประตูบ้านเสร็จแล้วจึงเดินออกไป
พ่อเลี้ยงก้อม
พ่อเลี้ยงก้อมที่ยืนมองอยู่บนชั้นสองใช้สายตาส่งแว่นจนเดินหายลับไป ก่อนจะเดินมานั่งลงข้างเตียง ดึงลิ้นชักตรงหัวเตียงออกมา เป็นจดหมายและโปสการ์ดปึกหนึ่งที่ส่งมาจากต่างประเทศ
มันเป็นจดหมายจากพิม
พ่อเลี้ยงยังจำได้ว่า วันนั้นพิมเดินตากฝนกลับมาพร้อมกับร้องไห้ และขังตัวในห้อง มันเกิดขึ้นหลังจากที่พิมกลับมาจากโรงพยาบาลบางบอกดิก
พ่อเลี้ยงก้อมสงสัย ก็เลยถามจากพิภพได้ความว่า
พิมไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมไอ้หนุ่มต่างถิ่นที่ชื่อบี ที่นอนเจ็บรักษาตัวจากการต่อสู้กับชายชาวจีนที่ชื่อ ซันเจิ้น คนของกานต์ บัญชี
แต่แล้วพิมก็ไปเห็นมีผู้หญิงสาวอีกคน ใบตอง ลูกสาวของพ่อเลี้ยงสอน คอยเฝ้าดูอาการอยู่ข้าง ๆ เตียง
พิมร้องไห้ และก็เดินกลับออกมาทันที
รุ่งขึ้นพ่อเลี้ยงก้อมตื่นนอนเดินลงมาเห็นบนโต๊ะกินข้าวมีจดหมายฉบับหนึ่งหน้าซอง
เป็นลายมือของพิม จึงรีบฉีกออกอ่าน
“พ่อคะ
พิมกราบขออภัยพ่อที่แอบหนีออกจากบ้านไป
ตอนที่พ่ออ่านจดหมายฉบับนี้ พิมคงเดินทางถึงสนามบินดอนเมืองแล้ว
พิมขอออกเดินทางท่องเที่ยวไปต่างประเทศสักพัก
พิมตั้งใจจะไปเรียนต่อที่เมืองนอกตามที่เคยคิดและวางแผนไว้
พ่อไม่ต้องห่วง เพราะพลอยเพื่อนสนิทของพิมไปเรียนต่อเป็นเพื่อน
เราดูแลกันได้
แล้วพิมจะส่งโปสการ์ดมาให้พ่อนะคะ
รักพ่อก้อมคนเดียวที่สุดในโลก
พิม”
จดหมายที่มีข้อความไม่มาก แต่เสียดแทงใจพ่อเลี้ยงก้อมอย่างแสนสาหัส
ตั้งแต่พิมเกิดจนถึงบัดนี้ ไม่เคยมีวันไหนที่พิมห่างจากพ่อเลี้ยงก้อมเลย
พ่อเลี้ยงก้อมนั่งร้องไห้ และทุกครั้งที่พ่อเลี้ยงดูจดหมาย-โปสการ์ด พ่อเลี้ยงก้อมก็ร้องไห้เสมอ คราบน้ำตายังมีติดอยู่บนจดหมายลาของพิม
พอแว่นมาลากลับบ้าน คฤหาสน์ทั้งหลังก็เป็นแค่บ้านหลังใหญ่ ที่มีพ่อเลี้ยงก้อมเพียงคนเดียว เขานึกถึงคำเทศนาของหลวงลุงทับที่เคยถามเขาเมื่อครั้งไปถวายสังฆทานในวันเกิดของพิม
“โยมก้อม...โยมเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมไหม?”
หลวงลุงทับ
“เชื่อสิครับ” ในตอนนั้นก้อมก็แค่ตอบตามคำถามนำของหลวงลุงทับ
“แต่อาตมารู้ว่าลึก ๆ โยมก้อมไม่เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรมหรอก แต่เชื่อเถอะกรรมดีย่อมพาเราไปพบเจอสิ่งดี ๆ และเช่นเดียวกันหากเราทำกรรมใดไว้ ผลแห่งกรรมนั้นจะย้อนมาคืนเราไม่ช้าก็เร็ว”
ตอนนั้นพ่อเลี้ยงก้อมก็ไม่ได้ใส่กับคำเทศนาใด ๆ เลย กระทั่งวันที่พิมจากไป เต้หักหลังตนเอง แมนก็ลาไปดูแลเมียกับลูก พ่อเลี้ยงถึงเข้าใจในสิ่งที่หลวงลุงทับเคยเทศนาสอนสั่ง
บางทีมันคงเป็นกรรมเก่า เพราะสมัยหนุ่ม ๆ ก็เป็นตนเองที่เนรคุณนายแม่ ให้ร้ายเพื่อนรักทั้งสองจนติดคุก กรรมชั่วทั้งหลายก็ตามมาสนองตอบตนเองเข้าจริง ๆ
พ่อเลี้ยงน้ำตาไหลจากดวงตา หยดลงบนรูปถ่ายของพิม เป็นรูปที่เธอกับพลอยถ่ายด้วยกันโดยมีฉากหลังเป็นหอไอเฟล
ชายกลางคนที่ไร้ทุกอย่างในช่วงบั้นปลายชีวิต แทบไม่มีอะไรเหลือแม้กระทั่งความหวัง
การก้าวขึ้นสู่ความเป็นพ่อเลี้ยงก้อมมาถึงวันนี้ต้องแลกด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสจริง ๆ
อ๊อด พากินที่เพิ่งให้ข้าวคลุกปลาทูกับน้องเย็นและเจ้าปิ๊ดเสร็จเดินออกมาจากครัวหลังบ้าน ก็เห็นว่ากานต์กำลังนั่งจิบไวน์อยู่ตรงสระว่ายน้ำ จึงเดินเข้าไปหา
“นายหัวกานต์ จะไปงานวัดรึยังครับ?”
กานต์เงยหน้าขึ้นมา “ผมไม่ไปแล้วนะพี่อ๊อด”
“อ้าว...ไหงงั้นล่ะ?” อ๊อดขมวดคิ้ว
กานต์พูดน้ำเสียงราบเรียบ มุมปากมีรอยยิ้มเล็ก ๆ
“ผมสังหรณ์ใจว่า งานวัดคืนนี้มันอาจมีเหตุอาเพศได้นะ”
“อาเพศ!” อ๊อดทวนคำ “ผมไม่รู้มาก่อนว่านายหัวกานต์มีความรู้ด้านหมอดูพยากรณ์ด้วย?”
กานต์มองหน้าอ๊อดด้วยความเหนื่อยใจ บ่อยครั้งที่กานต์อดสงสัยไม่ได้ว่า อ๊อดรู้อะไรในโลกนี้บ้าง นอกเหนือจากแมว
“ผม...เปรียบเปรยน่ะพี่ เอาเป็นว่า ผมไม่ไปดีกว่า และก็ขอแนะนำว่าพี่อ๊อดอย่าไปเลย”
“แหม...งานมันครึกครื้นนะ ปีนี้งานใหญ่ด้วยสิ” อ๊อดบ่น
“คืนอื่นค่อยไปก็ได้ ถ้ามันยังมีนะ...” กานต์พูดเป็นเลศนัย
“อ้าว...เขามีตั้งเจ็ดวัดเจ็ดคืนนะ ต้องมีสิ” อ๊อดเถียง
กานต์ถอนหายใจ สีหน้าเหนื่อยหน่าย จึงตัดบท
“พี่อ๊อดไปเล่นกับลูกสาวลูกเขยพี่อ๊อดดีกว่ามั้ง เดี๋ยวมันเหงานะ”
“เออ...นั่นสินะ...ไม่ไปก็ดี น้องเย็นกะเจ้าปิ๊ดจะได้มีเพื่อน” พูดจบอ๊อดก็เดินกลับเข้าไปหลังครัวเพื่อเล่นกับแมวตัวโปรด
กานต์ยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ พลางมองออกไปด้านนอก ตะวันใกล้ลาลับแล้ว เงามืดทะมึนของยามค่ำกำลังเริ่มต้น
....
ในคฤหาสน์หลังใหญ่ที่มีกำแพงสูงล้อมรอบ ชาวบางบอกดิกรู้ดีว่านี่คือบ้านพักตากอากาศของเฮียส่งแห่งกลุ่มทุนสุดขอบฟ้า
ภายในห้องทำงานของเฮียส่ง มีชายชาวจีนนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม และยืนอยู่ด้านหลังด้วยชายชาวอเมริกันร่างกำยำ
เฮียส่งหยิบกาน้ำชาเทลงในจอก เป่าเบา ๆ แล้วซดดื่ม ก่อนจะเอ่ยถามชายชาวจีน
“ผมไม่เข้าใจเลย ทำไมมิสเตอร์ท็อปต้องสนับสนุนไอ้กานต์ด้วย นับวันมันยิ่งผยองมากขึ้นเรื่อย ๆ”
เฮียส่ง สุดขอบฟ้า
หลังจากยกกาแฟดำขึ้นมาดื่มแล้ว มิสเตอร์ท็อปยิ้ม และตอบเฮียส่ง
“เฮียส่งเลี้ยงหมา เวลาเราเอากระดูกให้มันจะดีใจเป็นพิเศษใช่ไหม?”
เฮียส่งผงกศรีษะ
“คนก็ไม่ต่างกัน...คนทะเยอทะยานแบบนายกานต์ มันพร้อมจะถีบหัวทุกคนขึ้นเป็นใหญ่ ในเมื่อนายเก่ามันยังทรยศได้ แล้วไม่คิดเหรอว่าสักวันมันก็ทำแบบนั้นกับพวกเรา”
“จริง ๆ “ เฮียส่งพยักหน้า “แล้วจะเอาไงกับมัน?”
มิสเตอร์ท็อป เหลียง
“ตอนนี้มันยังมีประโยชน์มาก มันช่วยรวบฐานอำนาจจากพ่อเลี้ยงก้อมมารวมกับนายหัวเฉื่อยได้เป็นผลสำเร็จ ในทางอ้อมก็คือเราได้ลูกค้าทั้งหมดมาอยู่ในมือเรา...”
มิสเตอร์ท็อปหยุดจิบกาแฟดำอีกรอบก่อนจะพูดต่อ
“ในเมื่อมันอยากเป็นใหญ่ ก็ให้มันออกหน้าไป มันก็จะกลายเป็นเป้าที่ทางการหมายหัว ไม่ใช่พวกเรา ถึงเวลาเฮียส่งก็รู้นี่ว่าเราจะทำอย่างไร?”
มิสเตอร์ท็อปมองมาที่เฮียส่ง เฮียส่งหัวเราะเสียงดังลั่น
มิสเตอร์ท็อปก็พลอยหัวเราะตาม
งานวัดประจำปี วัดบางบอกดิก เริ่มขึ้นแล้ว!
เสียงแห่งความครึกครื้นดังขึ้น ร้านรวงมากมายต่างให้คนของตัวเองออกมาเชื้อเชิญคนที่มาเที่ยวงาน
“สายไหม...สายไหม” ผี ตะลุมพุก ตะโกนร้องขายสายไหม เขาเดินแบกไม้ไผ่ที่เสียบสายไหมไว้จนแทบจะทั่วงานวัด แต่สายตาของเขาคอยเฝ้าระวังความผิดปกติถ้าจะมีเกิดขึ้นในงาน
ผี ตะลุมพุก
กริ๊ง...กริ๊ง...เสียงระฆังจากรถเข็นไอศครีมตัด ที่คนขายก็คือ หมูแว่น มิติ เด็ก ๆ พากันห้อมล้อม หมูแว่นหยิบไอศครีมรสต่าง ๆ ขึ้นมาตัดเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมเสียบไม้ส่งให้เด็ก ๆ สายตาของเขาสอดส่องไปรอบ ๆ งานเป็นพัก ๆ
หมูแว่น มิติ
พื้นที่เล็ก ๆ มุมหนึ่งของถนน มีชายหนุ่มกำลังเอาไม้ไผ่มาเคาะสิ่งของไม่ว่าจะเป็นถังน้ำ กระป๋อง ขวดแก้วหลายใบที่ใส่น้ำในปริมาณที่แตกต่างกัน น่าแปลกที่สิ่งของเหล่านี้เมื่อถูกเคาะรวม ๆ กันมันกลายเป็นตัวโน๊ต เป็นจังหวะเพลง เรียกความสนใจจากชาวบ้านที่มาเที่ยวชม ทั้งหมดมันเป็นความสามารถเฉพาะตัวของ บีด บรรเลง
บีด บรรเลง
เช่นเดียวกับเพื่อน ๆ ชม ตำนาน ปลอมตัวเป็นคนขายลูกโป่งสวรรค์ เที่เดินถือลูกโป่งสวรรค์เดินไปรอบ ๆ งานวัด
ชม ตำนาน
ทั้งหมดผ่านการปลอมแปลงโฉมจากฝีมือของ แมวป่า
ส่วนเอก อวดของ ยืนอยู่ในร้านขายของสะสม มีคนมามุงดูไม่กี่คน แต่ไม่ได้ซื้อ
เอก อวดของ
จนกระทั่งรกรมาถึง เธอจึงออกมาทำหน้าที่เชิญชวนคนที่ผ่านไปมา ขณะนั้นเองก็มีคนมายืนข้าง ๆ พลางถามขึ้น
“มีอะไรน่าสนใจบ้างครับ?”
รกรได้ยินเสียงคุ้น ๆ แบบนี้ แทบจะไม่ต้องหันมากลับไปดู ก็ต้องทายถูก
หมวดอติ พบสุข นั่นเอง!
รกร
รกรแอบอมยิ้มชั่วครู่ ก่อนจะหันกลับมาปั้นหน้ายักษ์ใส่เหมือนเคย
“มาก่อกวนอีกแล้วนะ นายอติ”
“แหม...ก่อกวนหัวใจคุณกรจะมีความผิดไหมครับ?”
อติยังคงยิ้มเหมือนเช่นทุกครั้ง
หลังจากที่อติและเพื่อนชาวฮ่องกงย้ายมาทำงานในบางบอกดิก อติก็มักจะแวะเวียนมาที่ร้านอวดของเสมอ และทุกครั้งที่เขาได้พบเจอกับรกร นอกจากรอยยิ้มแล้วก็เห็นจะเป็นการก่อกวนหัวใจรกรอยู่เสมอ ๆ
ก็คงเหมือนเพลงที่บอกว่า “น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินมันยังกร่อน...” ใจของรกรเองก็เริ่มอ่อนลงจากความพยายามของอติเช่นเดียวกัน
ความสดใส มองโลกในแง่ดีด้วยรอยยิ้มกับทุก ๆ ปัญหาที่เจอ มันทำให้มุมมองชีวิตของรกรเองก็เปลี่ยนไปด้วย อติมีหลายอย่างที่แตกต่างเหมือนฟ้ากับเหวเมื่อเทียบกับเสือมุบ
เสือมุบชอบอยู่คนเดียว และอยู่กับอดีต ปล่อยให้อดีตทำร้ายชีวิตตัวเอง จนแทบจะเดินต่อไปไม่ได้ ชีวิตของเขาถ้าไม่อยู่เพื่อล้างแค้นก็อยู่เพื่อรักเก่าที่ไม่เคยลืม จนอาจจะไม่มีใครมาเติมเต็มแทนที่หัวใจที่ด้านชาของเสือมุบได้
แต่อติไม่ใช่แบบนั้น ไม่ว่ารกรจะชักสีหน้า มีท่าทีปั้นปึ่ง อติก็ยังคงยิ้มให้กับสิ่งที่รกรทำ เขาชอบที่จะต่อปากต่อคำและกวนโมโหรกร แต่ในขณะเดียวกันรกรก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกห่วงใย การเป็นคนที่นึกถึงคนอื่นก่อนของอติ อติสามารถทำให้รกรยิ้มทั้ง ๆ ที่โดนยั่วโทสะได้เสมอ
“นายมาก็ดีแล้ว มาช่วยเรียกคนเข้าร้านเลย...”
“เอ่อ...ผมไม่ใช่นักขายนะครับ” อติยิ้มแหย ๆ “แต่เพื่อคุณกร...ติทำได้...”
อติ พบสุข
อติรีบทำหน้าที่เชื้อเชิญคนเข้าร้านทันที
รกรยืนดูและก็พบว่า อติมีเสน่ห์บางอย่างที่สามารถเรียกคนเข้ามาที่ร้านของพี่เอกได้ จนเธอรู้สึกประหลาดใจ นี่อาจจะเป็นความสามารถเฉพาะตัวของอติก็เป็นได้
กลุ่มของเต้ เบียร์วุ้น ที่เดินส่ายอาด ๆ ไปทั่วงานวัด โดยมีบรรดาลูกสมุน ไม่ว่าจะเป็น พิภพ หัวล้าน, ยักษ์ ปักเลน, เหลี่ยม กฤษณะ, ศักดิ์ หยักศก เรียกว่าเป็นขบวนคนทรชน เดินไปทางไหนชาวบ้านก็พากันหลบ ที่หลบไม่ทันเจอจัง ๆ ก็รีบยกมือไหว้เต้ เบียร์วุ้นกันประหลก ๆ จะด้วยความหวาดกลัว หรือไม่อยากมีปัญหาก็สุดจะคาดเดา
เต้หัวเราะหึ ๆ ในใจด้วยความรู้สึกมากบารมี เหมือนสมัยก่อนที่ในงานวัด พ่อเลี้ยงก้อมเดินนำหน้าอยู่ตรงกลาง ชาวบ้านต่างก็ต้องเข้ามากราบไหว้ด้วยความเคารพยำเกรง เต้อดคิดในใจไม่ได้
“ไอ้เต้เอ๊ย...เอ็งคิดไม่ผิดจริง ๆ ที่หักหลังพ่อเลี้ยงก้อมมาอยู่กับนายหัวกานต์ จนมีวันนี้ที่บารมีไม่ต่างจากพ่อเลี้ยงก้อม”
พิภพ
พิภพลูบหัวล้าน พลางเข้ามาประจบ “พี่เต้...เอ๊ย...พ่อเลี้ยงเต้ครับ ผมคิดไปเองรึเปล่าที่ว่าราศีพ่อเลี้ยงจับไปทั่วร่างของพ่อเลี้ยงเต้”
“อุบ๊ะ...” เต้อุทาน “ไอ้ภพพูดจาถูกใจข้าเหลือเกิน” เต้หัวเราะชอบใจ
“ผมก็เห็นด้วย เหมือนร่างของพ่อเลี้ยงเต้เปล่งรัศมีออกมาได้” ศักดิ์ หยักศกรีบประจบตาม
“สงสัยวันนี้ข้าต้องพาเอ็งไปโชโกะเลาจ์เสียแล้วมั้ง” เต้เปรยขึ้น
“แหม...” เหลี่ยม กฤษณะเลียริมฝีปาก “ถ้าพ่อเลี้ยงจะกรุณา พวกฉันจะไม่ลืมพระคุณเลย”
พิภพรีบถูหัวล้านเป็นการใหญ่ “เจ้านายครับ น้องนางแต่ละคน ทรงเครื่องเหลือเกิน จนผมอยากจะยัดเยียดความเป็นสามีให้เลย พูดแล้ว...” พิภพมีท่าทางกระเหี้ยนกระหือมากเป็นพิเศษ
“นายครับ...ผมขอเบิ้ลสองเลยได้ไหม” ยักษ์ ปักเลนที่เงียบอยู่นานเอ่ยขอ
“ไอ้สันดานนี่...โลภจริงนะเอ็ง” เต้ด่าแบบยิ้ม ๆ “งั้นจะรออะไรวะ ข้าเองก็หิวเบียร์วุ้นแล้วเหมือนกัน”
ศักดิ์ หยักศกรีบอาสา “งั้นผมไปสตาร์ทรถรอพ่อเลี้ยงเลยนะครับ”
ศักดิ์ หยักศก
เหมือนรู้หน้าที่ ศักดิ์รีบวิ่งปราดไปที่รถทันที โดยมีเต้และบรรดาสมุนเดินตามเป็นพรวน ไม่ต่างจากแม่สุนัขที่มีลูกสุนัขเดินตามเพราะความหิวนม โดยที่ทั้งหมดหารู้ไม่ว่าวันนี้โชโกะเลาจ์ปิด!
อีกมุมหนึ่งของงาน
แว่นกับพิ้งค์กำลังนั่งทานผัดไทยอย่างเอร็ดอร่อย
พิ้งค์เอ่ยขึ้น “แว่นรู้ใจพิ้งค์นะ มางานวัดต้องทานผัดไทยก่อนเดินเที่ยว”
“ก็พิ้งค์เป็นทุกอย่างในชีวิตแว่นนี่” แว่นตอบพร้อมรอยยิ้ม
พิ้งค์
พิ้งค์เอื้อมมือไปกุมมือแว่น ทั้งสองมองแววตากัน
“นั่งด้วยจะขัดจังหวะไหม?” เสียงใส ๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งดังจากด้านหลัง
พิ้งค์กับแว่นหันกลับไปดู เจ้าของเสียงที่ยืนอยู่คือ เหงี่ยมศรี มณีปัทม์กับพี่ติ สวรรค์เลาจ์นั่นเอง
พิ้งค์รีบลุกขึ้นไปจับมือเหงี่ยมศรีพร้อมกับชักชวนมานั่งร่วมโต๊ะ
“คืนนี้ไม่ต้องร้องเพลงเหรอพี่ปัทม์?”
“ไม่ต้องหรอก คืนนี้ที่โชโกะเลาจน์ มาดามให้ทุกคนได้หยุดหนึ่งวัน ใครอยากมางานวัดก็มา ใครอยากนอนพักผ่อนก็ได้” เหงี่ยมศรีตอบ “ว่าแต่ว่า...พิ้งค์สบายดีไหม? ตั้งแต่พิ้งค์ลาออกไปก็ไม่ค่อยได้เจอกันเลย เป็นปีแล้วนะ”
“สบายดีค่ะพี่ ตอนนี้พิ้งค์มีความสุขดีค่ะ แว่นก็ดูแลพิ้งค์อย่างดีเลย ตามใจตลอดจนพิ้งค์จะเสียคนอยู่แล้ว” พิ้งค์หัวเราะ
เหงี่ยมศรี มณีปัทม์
“แหม...น่าอิจฉา” เหงี่ยมศรียิ้มพลางหันมาทำค้อนใส่ติ สวรรค์เลาจ์ “ไม่เหมือนบางคน ชอบให้คอยเอาใจ”
ติที่กำลังทานหอยทอดอย่างเอร็ดอร่อยถึงกับต้องหยุดทาน
“อ้าวเฮ้ย...น้องเหงี่ยม พี่นั่งแดกหอยอยู่ดี ๆ ไหงมาลงที่พี่ล่ะจ้ะ”
“ไม่รู้ล่ะ...ก็พี่ติไม่น่ารักเหมือนแว่นของพิ้งค์นี่”
“เฮ้ย...มันคนละคนกันนะ เห็นแว่นมันดีอย่างนั้นอย่างนี้ ถามหน่อย มันทนมือทน...ตี...เท้าเอ็งแบบพี่ได้ไหม บ้าจี้ขึ้นมาแต่ละทีเอ็งฟันศอกใส่พี่จนแผลแตก แอนตาซิลไม่จ่ายก็หลายหนแล้วนะ” ติบ่น
ทั้งสี่คนบนโต๊ะหัวเราะชอบใจ และต่างก็มีความสุข
พิ้งค์ทบทวนความหลังเมื่อวันที่ตนเองเดินไปขอกับมาดามโชโกะ
“มาดามคะ พิ้งค์มีเรื่องอยากปรึกษาค่ะ”
มาดามโชโกะมองหน้าพิ้งค์ คล้ายรอว่าจะพูดอะไรต่อ พิ้งค์เห็นมาดามจ้องเขม็งจึงรวบรวมความกล้า
“พิ้งค์อยากจะขอลาออกค่ะ...”
มาดามโชโกะ
“ลาออก!” โชโกะอุทานด้วยความตกใจ “ทำไมล่ะ?”
“เอ่อ...คือ...พิ้งค์อยากเลิกอาชีพนี้ค่ะ พิ้งค์อยากสร้างครอบครัว” พิ้งค์ตอบทั้ง ๆ ที่ก้มหน้าอยู่ เพราะไม่กล้าสบตามาดามของเธอ
มาดามโชโกะนั่งนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง มองดูพิ้งค์ที่นั่งอีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะทำงาน เห็นพิ้งค์นั่งก้มหน้าคงด้วยความกลัวเกรง
โชโกะลุกขึ้นแล้วเดินอ้อมมายืนด้านหลังพิ้งค์ แล้วเธอก็วางมือลงบนไหล่ทั้งสองข้างของพิ้งค์ พิ้งค์สะดุ้งนิดหนึ่ง แต่ก็ผ่อนคลายลงเมื่อได้ยินเสียงอันอบอุ่นจากมาดามของเธอ
“พี่เข้าใจ...อาชีพแบบเราไม่มีผู้ชายคนไหนมันอยากจริงจังด้วยหรอก พิ้งค์โชคดีมากที่แว่นไม่รังเกียจพิ้งค์ เอาเถอะ...พี่อนุญาตให้เธอลาออก”
พิ้งค์ลุกขึ้นกอดมาดามโชโกะด้วยความดีใจ น้ำตารื้นที่ดวงตาของเธอ
“ขอบคุณค่ะมาดาม พิ้งค์จะไม่ลืมพระคุณมาดามเลย”
มาดามกอดพิ้งค์เบา ๆ เธอเห็นพิ้งค์เหมือนลูกสาวคนหนึ่ง เมื่อมีอนาคตที่ดีกว่า เธอก็ยินดีที่จะให้พิ้งค์ไปเริ่มต้นขีวิตใหม่
หลังจากนั้นพิ้งค์ก็ออกมาใช้ชีวิตร่วมกับแว่น และดูแลยายของแว่น
แว่นเอ่ยกระซิบกับติ ระหว่างติกำลังละเลงหอยทอดใส่ปาก
“พี่ติ..พี่ติ...ผมกำลังจะเป็นพ่อคนแล้วนะพี่”
“เฮ้ย..จริงเหรอ?...ดีใจด้วยนะแว่น” ติหัวเราะชอบใจ “อย่างนี้ต้องฉลอง”
ติ สวรรค์เลาจ์
“จริงเหรอ? เป็นข่าวดีมาก ๆ เลยนะพิ้งค์” เหงี่ยมศรีหันมาถามพิ้งค์ พร้อมน้ำเสียงดีใจ
พิ้งค์ทำท่าอาย ๆ ก่อนตอบ “ค่ะพี่เหงี่ยม...หมอบอกว่าพิ้งค์เพิ่งท้องอ่อน ๆ ได้สองเดือนแล้ว”
“ขอแสดงความยินดีกับว่าที่คุณพ่อคุณแม่คนใหม่” ทั้งติและเหงี่ยมกล่าว
ทุก ๆ คนต่างมีสีหน้าแห่งความสุข ท่ามกลางงานรื่นเริงประจำปีเช่นนี้
...
รถบรรทุกคันใหญ่แล่นเข้ามาจอดอยู่ห่างไกลออกไปจากตัววัด โดยจอดนิ่งสงบอยู่ใต้เงาของต้นไม้ใหญ่
ในรถมีชายชุดดำจำนวน 12 คน ค่อย ๆ นั่งนิ่งเงียบ ไม่มีใครพูดคุยกัน ดูไปคล้ายเหมือนหุ่นนั่งอยู่ในรถมากกว่า
ทั้งหมดใส่หมวกไหมพรมคลุมปิดบังใบหน้าไว้ โผล่มาแค่ดวงตา ที่น่ากลัวคือชายชุดดำทุกคนเต็มไปด้วยอาวุธสงคราม
ซันเจิ้น
ส่วนซันเจิ้นนั่งข้างคนขับอยู่ด้านหน้าของรถบรรทุก สายตามองออกไปที่ลานงานวัด เสียงเพลงดังมาแต่ไกล
จนถึงบัดนี้ซันเจิ้นก็ยังนั่งนิ่งเงียบคล้ายรอคอยเวลา
....
โปรดติดตามตอนต่อไป
คุยกันท้ายนิยาย
ด้วยความที่ผมไม่อยากให้ทุกคนต้องรอคอยนานเกินไป เลยรีบลงตอนที่ 2 ให้อ่านกัน จะพยายามลงให้อ่านกันให้ได้สัปดาห์ละ 1 ตอนนะครับ ยังไม่รับปากว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน เพราะไม่ใช่แค่งานเขียนนิยายที่ต้องใช้เวลาในการเขียนเรื่อง ยังรวมไปถึงรายละเอียดปลีกย่อย และภาพประกอบที่ต้องนำมาใช้ด้วย
ถ้าใครยังพอจำได้ตอนท้ายของตอนที่ 14 ได้เปิดตัวละครใหม่ เฮียส่งแห่งกลุ่มทุนสุดขอบฟ้า ถ้าจะเปรียบเขาก็คือหัวหน้าหน่วยประจำประเทศไทยขององค์การร้าย ที่มีมิสเตอร์ท็อป เหลียง เป็นแกนนำใหญ่
การที่นิยายกลับมาพร้อมกับเรื่องราวผ่านไปจากตอนจบของภาคแรก ทำให้คนอ่านได้เห็นตัวละครในภาคแรกทั้งหมดมีพัฒนาการที่แตกต่างไปจากเดิม หนึ่งในนั้นคือตัวละคร แว่น เลี้ยงยาย ที่ใครหลายคนรัก
ในภาคแรกแว่นแทบจะไม่ต่างจากตัวประกอบ ดูแหย ๆ แต่ในภาคนี้ คนอ่านจะได้เห็นเขาเติบโตขึ้น เป็นหัวหน้าครอบครัว และกำลังจะกลายเป็นพ่อคนอีกด้วย
 
เช่นเดียวกับตัวละครอีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น พ่อเลี้ยงก้อม ที่หลายคนเกลียดมาก ๆ มาดูกันว่า ภาคนี้เขาจะทำให้คนอ่านเห็นใจได้หรือไม่
ที่พอจะบอกได้คือจะมีอีกหลายตัวละครที่เราจะเห็นเขาต่างไปจากเดิม และตัวละครใหม่ ๆ ที่เป็นร่างอวตารของนักเขียนรุ่นใหม่ที่จะปรากฎตัวทั้งในฐานะตัวละครประจำ และรับเชิญ ตามความเหมาะสมของเส้นเรื่อง
ขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่ยังติดตาม และให้การต้อนรับนิยาย “บางบอกดิก 2” กันเป็นอย่างดี ผมถือว่าเป็นกำลังใจสำหรับผมเป็นอย่างยิ่งครับ
จนกว่าจะพบกันในตอนที่ 3

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา