Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
MovieTalk มูฟวี่ชวนคุย
•
ติดตาม
19 ก.ย. 2020 เวลา 03:00 • นิยาย เรื่องสั้น
MovieTalk ภูมิใจเสนอ "บางบอกดิก 2" ตอนที่ 3
ยามค่ำงานวัดบางบอกดิก
หมอเวทย์เดินเรื่อยเปื่อยอยู่ในงานวัด ท่ามกลางเสียงแห่งความรื่นเริง บรรยากาศที่แสนครึกครื้น แต่ดูเหมือนมันไม่ได้ช่วยคลายความเศร้าซึมในหัวใจของหมอเวทย์ได้เลย
ชาวบ้านหลายคนที่เดินสวนกับหมอเวทย์ ต่างก็ทักทาย บ้างยกมือไหว้ ด้วยความนับถือชื่นชม
ที่บ้านบางบอกดิก หมอเวทย์คือคุณหมอแสนดี ที่ดูแลคนไข้ทุกคนประดุจญาติมิตร
ของตนเอง
หมอเวทย์
ระหว่างที่เดินชมงานวัด กำนันข้าวเห็นหมอเวทย์ ก็รีบปรี่เข้ามาทักทาย
“อ้าว...คุณหมอ...คืนนี้ไม่ต้องเข้าเวรเหรอครับ?”
“สวัสดีครับกำนัน...วันนี้ผมไม่มีเวรกะกลางคืนครับ เลยขอออกมาเปิดหูเปิดตาเสีย
หน่อย”
“แหม...ดีใจที่เห็นคุณหมอในงานวัดใหญ่เราปีนี้ แล้วคุณหมอมาคนเดียวเหรอครับ?” กำนันข้าวเอ่ยถาม
หมอเวทย์ยิ้มแห้ง ๆ ก่อนจะตอบ “ผมก็มาคนเดียวตลอด กำนันก็รู้นี่ครับ”
กำนันข้าวเห็นหน้าของหมอเวทย์แล้วก็เอ่ยขึ้น
“ถ้าคุณหมอไม่รังเกียจ เดี๋ยวเราไปทานก๋วยเตี๋ยวร้านเฮียหมูกันไหมครับ?”
กำนันข้าว
“อ้าว...เฮียหมูแกมาออกร้านที่วัดด้วยเหรอครับ?” หมอเวทย์รู้สึกประหลาดใจ
“มันชอบของมันครับ” กำนันข้าวตอบ “ขนาดเปิดสาขาในอำเภอเราไปหลายแห่ง
แล้วนะ แต่คนมันเคยทำงาน มันก็เลยต้องทำเองครับ”
“งั้น ผมขอตามไปหม่ำด้วยคนนะครับ”
กำนันข้าวยิ้มหัวเราะชอบใจ แล้วก็เดินไปคุยไปกับหมอเวทย์
....
ที่ท่ารถบางบอกดิก
ท่ารถบางบอกดิก
บรรยากาศยามค่ำยังคงคึกคัก มีรถบขส.วิ่งเข้าออก และบรรดาผู้โดยสารมีทั้งเพิ่งลงจากรถ และกำลังจะขึ้นรถโดยสาร
ข้าง ๆ ท่ารถบางบอกดิก ร้านกาแฟของเฮียหมูที่เวลานี้กลายเป็นตึกแถวสองคูหาไปแล้ว ด้านหนึ่งขายกาแฟ ด้านหนึ่งก๋วยเตี๋ยว
ภายในร้าน บี บางรัก กับ โน่ บางรัก นั่งอยู่ที่โต๊ะตัวหน้าร้าน บนโต๊ะมีโอเลี้ยง กับชาดำเย็น
โน่ บางรัก ดูดชาดำเย็นจนหมดแก้ว เสียงครืด ๆ ของลมดังลั่น บีหันมามองน้องสาวตัวเอง
“เอาอีกแก้วไหมโน่?”
โน่ บางรัก
“ไม่แล้วฮะ...” โน่ตอบ “เก็บไว้ไปทานอย่างอื่นในงานวัดบ้างดีกว่า น่าจะมีของอร่อย
เยอะ ว่าแต่ว่า...ทำไมบ้านพ่อเลี้ยงสอนยังไม่มาสักทีนะ” โน่บ่น
“นั่นสิ...” บีคล้อยตาม
พอดีกับรถปิคอัพสองคันแล่นเข้ามาจอดหน้าร้านเฮียหมู พอประตูรถเปิด
พ่อเลี้ยงสอน กับใบตอง ชนแดน ก็ก้าวลงมาจากรถตรงมาที่ทั้งสอง
บีรีบผุดลุกขึ้นเดินเข้าไปยกมือไหว้พ่อเลี้ยงสอน “สวัสดีครับพ่อเลี้ยง” และหันมายิ้มให้กับใบตอง” “สวัสดีครับตอง”
พ่อเลี้ยงสอน ดอยกาแฟ ยิ้มพลางตบไหล่บีเบา ๆ
“โทษทีนะ มาช้าไปหน่อย พอดีพ่อมีธุระนิดหน่อย กว่าจะกลับมาถึงบ้าน และรับตองมานี่ ก็เลยช้า รอนานเลยสิ”
“ไม่เป็นไรฮะ” โน่ตอบแทนบี “นานแค่ไหน พี่บีก็รอได้ ถ้าได้ไปเที่ยวงานวัดกับน้องตอง”
บีหันมาถลึงตาใส่โน่ ส่วนใบตองหน้าแดงผ่าวรีบทำเป็นมองไปทางอื่นแก้เขิน
“อ้าว...แล้วใจดีไม่มาเหรอครับ พ่อเลี้ยง” บีรีบเปลี่ยนเรื่อง
“พี่ใจดีเปลี่ยนใจ เห็นบอกว่าจะมาคืนพรุ่งนี้ เพราะเนิ้ตออกเวร” ใบตองตอบ
พ่อเลี้ยงสอนตัดบท “ไป ๆ งั้นเราไปเถอะ เดี๋ยวจะดึกเกินไป เขาเชิญพ่อเป็นกรรมการตัดสินประกวดร้องเพลง "เสียงทองบ้านนา" ไว้ด้วย”
พ่อเลี้ยงสอน
"ว้าวววว" โน่อุทาน "สุดยอดเลยฮะพ่อสอน เท่ไม่ใช่น้อยเลย" โน่ปรบมือชอบใจ
ทุกคนหัวเราะขึ้นพร้อมกันและทั้งหมดพากันขึ้นรถจุดหมายคือวัดบางบอกดิก รถปิคอัพทั้งสองเคลื่อนตัวออก และสวนกับรถบขส.ที่ป้ายเขียนว่า กรุงเทพฯ-บางบอกดิก ที่กำลังจะจอดเทียบท่า
เมื่อรถจอดสนิท ผู้โดยสารก็พากันกระวีกระวาดลงจากรถ ชายแปลกหน้าคนหนึ่ง
หน้าตาคมเข้ม สวมแจ็กเก็ตยีนส์สีซีด สะพายแป้เดินลงมาจากรถเป็นคนสุดท้าย
เขาเหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะเห็นมีรถสามล้อคันหนึ่งจอดอยู่ตรงท่ารถ
ชายแปลกหน้าเดินตรงไปที่รถสามล้อคันนั้น คนขับสามล้อที่นั่งอยู่ในที่นั่งผู้โดยสารรีบลงมาต้อนรับ
ชายแปลกหน้า
“ตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้วครับ?” ชายแปลกหน้าเอ่ยถามสามล้อ
“ตอนนี้เลยหลังเวลาเคารพธงชาติแล้วครับ” สามล้อตอบ
ทั้งสองยิ้มให้กัน ไม่พูดอะไรต่อ ชายแปลกหน้าโดดขึ้นรถสามล้อ และบอกจุดหมายปลายทางพอผู้โดยสารนั่งเรียบร้อย คนขับสามล้อก็ถีบรถออกจากท่ารถทันที
....
วัดบางบอกดิก เวทีประกวดร้องเพลง
คืนนี้เป็นคืนแรกที่มีการประกวดร้องเพลง ชาวบ้านหลายคนมานั่งรอฟังเสียงเพลงจากนักร้อง แม่ยกจำนวนหนึ่งเตรียมพวงมาลัยมาคล้องคอให้กับนักร้องหนุ่มเสียงดี
ด้านหน้าเวทีมีโต๊ะกรรมการ ที่นั่งอยู่บนโต๊ะมีคนนั่งอยู่สองคน กับเก้าอี้ว่างอีกหนึ่งตัว
คนแรกที่นั่งอยู่ริมสุด ไม่ใช่ใครที่ไหนก็คือ มหาอิ่มบุญนั่นเอง ส่วนคนที่นั่งตรงกลางก็คือ เสี่ยอู๋ ด้านหลังนั่งไว้ด้วยแบมแบมลูกสาวเสี่ยอู๋ ส่วนที่นั่งข้าง ๆ แบมแบมอีกที ก็คือนายตำรวจหน้าใหม่ ผู้กองต้า พาเพลิน ที่แต่งกายชุดหล่อ หวีผมเรียบแปล้ มานั่งทำคะแนนอยู่ข้าง ๆ แบม
ผู้กองต้า พาเพลิน
ผู้กองต้าเอ่ยถามแบม “คุณแบมชอบร้องเพลงไหมครับ?”
“ก็มีบ้างค่ะ แต่รู้ตัวว่าร้องเพี้ยนมาก ๆ เลยค่ะ” แบมตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม
แค่เห็นรอยยิ้มของแบมก็ทำให้โลกของผู้กองต้าสดใสกว่าที่เคยแล้ว
“แล้วผู้กองล่ะคะ...ชอบร้องเพลงรึเปล่า?”
“ผมร้องเพลงไม่เก่งครับ” ผู้กองต้ายิ้มแห้ง ๆ ให้แบมแทน
แบมมองดูท่าทีของผู้กองต้าแล้วก็อดขบขันในใจไม่ได้
“ร้องเพลงไม่เก่ง แต่จีบสาวไฟแล่บเลยสิคะ?” แบมแอบหยอก ๆ
“อุ๊ย...” ผู้กองต้าสะดุ้งโหยง “คุณแบมก็...ผมจีบสาวไม่เก่ง ต้องใช้ตู้เพลงจีบให้
นะครับ”
“นั่น ๆ ๆ เห็นไหมคะ เจ้าคารมชงเข้าเพลงอีกต่างหาก”
ผู้กองต้าเริ่มหน้าเครียด ไม่แน่ใจว่าเครียดเพราะแบมรู้ทัน หรือ เครียดเพราะตัวเองไม่ได้เป็นแบบนั้นก็สุดจะคาดเดา แต่แบมเห็นผู้กองต้าหน้าเป็นเริ่มหน้าเครียด เลยหัวเราะเสียงใสออกมา
แบมแบม
“แบมแค่หยอก ๆ ค่ะผู้กอง...อย่าซีเรียสมากมายเลยค่ะ”
“โธ่...คุณแบมก็...ทำเอาเค้าตกอกตกใจหมดเลย”
ผู้กองต้าทำน้ำเสียงตัดพ้อแกมออดอ้อน
สายตาของทั้งสองคนสบตากัน สื่อภาษาบางอย่างที่เกิดขึ้นในใจ
บนเวที นักดนตรีเตรียมตัวเซ็ทเครื่องเสียงให้พร้อมสำหรับเล่นดนตรีให้แก่บรรดานักร้องสมัครเล่น
ด้านหลังเวที มีนักร้องที่จะเข้าประกวด บ้างแต่งหน้าทำผม บางคนก็ทำสมาธิ บางคนนั่งฮัมเพลงเพราะกลัวจะลืมเนื้อร้อง ในจำนวนนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่ง ท่าทีตื่นเต้น กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ แต่เหมือนจะไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไรนัก เพราะเธอมักจะคอยหันมามองที่ประตูทางเข้าออกด้านหลังเวทีอยู่ตลอดเวลา
กระทั่งหญิงสาวหันไปและเห็นหญิงสาวสองคนยืนอยู่ตรงหน้าประตู เธอรีบผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ตรงเข้าไปหา เธอโอบกอดหญิงสาว และหญิงวัยกลางคน ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงดีใจ
“แม่...พี่ปิ๊ก...ปามนึกว่าจะไม่มาแล้ว” ปามเอ่ยขึ้น
ปาม
“มาสิ...น้องสาวที่รักประกวดร้องเพลงทั้งคน ยังไงก็ต้องมาเชียร์แน่นอน” ปิ๊กยิ้ม และจับมือให้กำลังใจน้องสาวของเธอ
ข้างฝ่ายแม่ฉัตรเองที่ทั้งประหลาดใจ และระคนกังวลใจ พลางเอ่ยถามลูกสาวคนเล็ก
“ปาม...นี่ลูกจะประกวดร้องเพลงจริง ๆ เหรอ? ทำไมไม่บอกแม่ก่อน?”
“ถ้าบอกแม่ก่อน ปามคงอดมาประกวดแน่” ปามยิ้มแหย ๆ
“ปาม...ลูกก็รู้ว่า พ่อข้าวไม่ชอบให้มาประกวดร้องเพลง เดี๋ยวพ่อก็โมโหควันออกหูแน่
นี่พ่อเขาก็เดินป้วนเปี้ยนอยู่ในงานวัดด้วยสิ”
แม่ฉัตรเอ่ยพลางสีหน้ากังวลใจ
ปิ๊ก
“แม่...ปิ๊กว่า เราควรให้กำลังใจน้องดีกว่านะคะ ยังไง ๆ น้องปามก็อยากทำตามความฝัน นี่เป็นโอกาสที่จะได้พิสูจน์ความสามารถตัวเองด้วย อย่างมากพ่อเขาก็คงงอนไปหลายวัน” ปิ๊กเอ่ย
“แหม...พ่อข้าวจะโกรธ จะงอนอย่างไร ถ้าแม่ฉัตรออกหน้า ยังไงพ่อข้าวก็ใจอ่อน พ่อรักแม่จะตายไป” ปามตอบสีหน้าขี้เล่น
“นั่นสิ...นะแม่นะ...” ปิ๊กคะยั้นคะยออีกแรง
แม่ฉัตร
แม่ฉัตรมองหน้าลูกสาวสองคนพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะหันมายิ้มให้ปาม
“เอาเถอะ..มาถึงขั้นนี้ อีกไม่กี่นาทีจะขึ้นเวทีแล้ว ปามก็ทำให้เต็มที่นะ เดี๋ยวแม่กับปิ๊กจะนั่งเชียร์อยู่หน้าเวทีเลยนะ”
“ขอบคุณค่ะแม่...ขอบคุณค่ะพี่ปิ๊ก” ปามก้มกราบแม่ฉัตร และไหว้พี่ปิ๊ก
"มั่นใจในตัวเอง ปล่อยความสามารถออกมาให้เต็มที่ไปเลย" ปิ๊กยิ้มดึงน้องสาวมากอดแน่น ๆ อีกครั้ง พร้อมกับยกนิ้วโป้งขึ้นเป็นการยืนยัน "สู้ ๆ นะปาม"
หลังจากแม่และปิ๊กออกไปแล้ว ปามก็กลับมานั่งหน้ากระจกแต่งหน้า เธอมองตัวเองในกระจก และบอกกับตัวเองในใจ
“ปาม...เธอต้องทำให้เต็มที่นะ แม่กับพี่ปิ๊กมาเป็นกำลังใจให้แล้ว”
สีหน้าเด็ดเดี่ยวและแววตามุงมั่นของปามสะท้อนอยู่ในกระจกเงา
....
วัดบางบอกดิก
กุฎิเจ้าอาวาสด้านในของวัด
หลวงลุงทับยืนมองออกไปที่งานวัดเสียงแห่งความครึกครื้นดังแว่วมาถึงที่นี่ เด็กวัดสองคนวิ่งขึ้นบันไดมาหาหลวงลุงทับ
หลวงลุงทับ
“หลวงลุงครับ...พวกผมไปเที่ยวงานวัดได้ไหมครับ”
หลวงลุงทับมองเด็กชายสองคนด้วยสายตาอบอุ่น
“ไอ้แม่ว ไอ้ท่อน เอ็งไปแล้วอย่ากลับดึกนะ พรุ่งนี้ถ้าเอ็งสองคนนอนตื่นไม่ทันหลวงลุงบิณฑบาตรล่ะก็ หลวงลุงจะปล่อยให้เอ็งสองคนอดมื้อเช้าเลยนะ” หลวงลุงทับเตือนยิ้ม ๆ แต่ในใจท่านไม่ได้คิดจะทำจริง ๆ
เด็กชายแม่วกับเด็กชายท่อนรับคำหลวงตา ก่อนจะวิ่งลงบันไดกุฎิไปทันที ระหว่างวิ่งไปก็ไล่เตะก้นกันไปตลอดทาง หลวงลุงทับมองความซุกซนของเด็กวัดทั้งสองอย่างเอ็นดู และหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องเพื่อจำวัด
....
หนังกลางแปลงเริ่มฉายแล้ว
หนังกลางแปลง
ภาพรถสองแถวจอดที่ท่ารถ แล้วพระเอกสมบัติ เมทะนีก็ลงจากรถมานั่งร้านกาแฟ ก่อนจะถูกพวกตัวโกงหมั่นไส้ และชกต่อยกัน แน่นอนไอ้ที่พ่ายหมดรูปก็คือบรรดาตัวโกงของพ่อเลี้ยง พอสมบัติก็โดดขึ้นสามล้อถีบ พร้อมกับตัวหนังสือขึ้นชื่อหนัง
“ชุมแพ”
ชาวบ้านที่นั่งดูอยู่หน้าจอพากันเฮลั่น บ้างก็เป่าปากวิ๊ดวิ้วกันยกใหญ่
แว่นกับพิ้งค์นั่งดูหนังกลางแปลงกันอยู่ พิ้งค์ซบลงตรงไหล่ของแว่น มันเป็นช่วงเวลาที่แว่นมีความสุขมากที่สุด ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไม่ห่างกันก็คือคู่ของเหงี่ยมศรีกับพี่ติ แต่สลับกันตรงที่พี่ติที่อิงแอบซบไหล่เหงี่ยมศรี
....
โซนซุ้มอาหาร ณ ซุ้มก๋วยเตี๋ยวเฮียหมู
บนโต๊ะที่กำนันข้าวกับหมอเวทย์นั่งทานร่วมกัน มีชามก๋วยเตี๋ยวซ้อนรวม ๆ กันหกชาม เป็นของหมอเวทย์สามชาม ของกำนันข้าวสามชาม
หลังจากดูดน้ำเก็กฮวยเฮียหมูจนแห้งเหลือแต่น้ำแข็ง กำนันข้าวก็เอ่ยกับหมอเวทย์
“ดูไม่ออกเลยว่าคุณหมอก็ทานเก่งเหมือนกันนะ ซัดไปสามชาม”
หมอเวทย์ยิ้มแหะ ๆ “ก็นิดนึงครับ ก๋วยเตี๋ยวหมูสับเฮียหมูอร่อยอยู่แล้ว สามชามนี่อิ่มยันเช้าเลยครับ”
เฮียหมูที่เพิ่งปล่อยให้ลูกน้องลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวแทน เดินเข้ามาถามไถ่
“รับอะไรเพิ่มไหม กำนันข้าว คุณหมอ?”
“แค่นี้ก็อิ่มจะแย่แล้วครับเฮียหมู” หมอเวทย์หันมาตอบพร้อมกับรอยยิ้ม
“เฮียหมู นี่ขนาดกลายเป็นเถ้าแก่หมูแล้ว รสชาติยังคงเดิมนะ มีสูตรลับล่ะสิ”
กำนันข้าวเอ่ยชม
เฮียหมู บางบอกดิก
“ของแบบนี้มันอยู่ในสายเลือดอยู่แล้ว” เฮียหมูยกนิ้วโป้งขึ้นชี้เข้าหาตัวเองเป็นการการันตี “เตี๋ยวสับเฮียหมู”
กำนันข้าวเอามือล้วงไปในกระเป๋าเสื้อเตรียมจะจ่ายเงิน แต่หมอเวทย์ไวกว่ารีบยัดเงินใส่มือของเฮียหมู
เฮียหมูก็ไวมากพอ ๆ กับลีลาสับหมู ทันทีที่เงินอยู่ในมือ เฮียหมูก็วาดมือปราดเอาแบงค์ในมือยัดกลับเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของหมอเวทย์ทันที พร้อมกับพูดว่า
“ไม่ต้องครับ มื้อนี้อั๊วขอเลี้ยงคุณหมอ กับกำนันข้าวเอง ถือว่ามาประเดิมเอาฤกษ์เอาชัยร้านของอั๊ว”
“จะดีเหรอครับ?” หมอเวทย์ย้อนถาม
“นั่นสิ...เดี๋ยวเขาจะว่า ข้ามาเบ่งกินร้านเฮียหมูนะ” กำนันข้าวเสริม
“ใครว่า...มาเจอกับเฮียหมูปังตอโหดคนนี้เลย” เฮียหมูคุยโวขึ้น
ทุกคนพากันหัวเราะขึ้นพร้อม ๆ กัน ระหว่างที่กำนันข้าวกับหมอเวทย์เดินเล่นอยู่ในงานวัด กำนันข้าวก็เอ่ยขึ้น
“คืนนี้มีประกวดนักร้องเสียงทองบ้านนาด้วยนี่ หมอเวทย์ไปดูด้วยกันนะ บ้านเราปีนี้จะมีหน้าใหม่ ๆ บ้างไหมนะ?”
“ไปสิครับ ผมขอตามไปด้วย” หมอเวทย์ตอบตกลง เพราะเขาเองก็ไม่มีอะไรจะทำ ยังไงก็ดีกว่าเดินเที่ยวงานวัดคนเดียว มีแต่จะยิ่งห่อเหี่ยวหัวใจ
....
ในงานวัดบางบอกดิก
บี บางรัก กับ ใบตองเดินชมงานวัดด้วยกัน มีหลายครั้งที่บีอยากเอื้อมมือของตัวเองไปจับมือใบตอง แต่เขาก็ไม่กล้า บีได้แต่สงสัยตัวเอง ทำไมคนอย่างเขาถึงกลายเป็นคนขี้อายไปได้เมื่ออยู่ต่อหน้าใบตอง
บี บางรัก
ใบตองใจเต้นตึ้ก ๆ ระหว่างที่เดิน นี่เป็นงานวัดแรกที่เธอได้มีโอกาสเดินเที่ยวพร้อมกับบี จะว่าไปตั้งแต่บีและโน่มาช่วยงานพ่อสอนและเสี่ยอู๋ ทุกคนก็ยุ่งกับการสร้างธุรกิจจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนกันเลย นี่จึงไม่ต่างจากนัดครั้งแรกที่เธอกับบีได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพัง
บีเดินมาหยุดหน้าบ้านผีสิง เขาหันมาที่ใบตอง
“ตองครับ...ลองเข้าไปพิสูจน์ความกล้าไหมครับ?
ใบตองมองไปที่หน้าซุ้มบ้านผีสิง เธอลังเล ไม่แน่ใจว่ากลัวผีในบ้านผีสิง หรือกลัวจะตกใจแล้วเผลอตัวไปกระโดดกอดบีกันแน่
“ผมว่าบ้านผีสิงแบบนี้ ไม่น่ากลัวเท่าที่แดนเนรมิตหรอกครับ” บีหัวเราะ
ใบตอง ชนแดน
“งั้น...ไปลองกันเลยค่ะ” ใบตองพยักหน้า
บีกับใบตองเดินตรงไปที่บ้านผีสิง
....
โบสถน์ใหญ่ วัดบางบอกดิก
โน่ บางรัก ขอแยกตัวจากบี โน่เดินไปที่โบสถน์ของวัด ตั้งใจจะไปไหว้พระประธาน “หลวงปู่บอกดิก” เพื่อเป็นสิริมงคลให้แก่ตนเอง
คนส่วนใหญ่อาจมองเห็น โน่ บางรัก เหมือนเด็กสาวทอมบอย กะโปโล แต่จริง ๆ แล้วโน่เป็นหญิงสาวที่ทะมัดทะแมง ชอบไหว้พระทำบุญ ว่าง ๆ ก็นั่งสมาธิ ส่วนหนึ่งอาจมาจากที่โน่ฝึกมวยไทย จึงต้องฝึกสมาธิไปด้วย ทุกครั้งที่มาวัดบางบอกดิก โน่ บางรักก็จะหาโอกาสมานั่งสมาธิในโบสถน์แห่งนี้เสมอ
โน่ บางรัก
ไหว้พระเสร็จเดินออกมาด้านนอก สายตาโน่ก็เหลือบไปเห็นสุนัข 5 ตัวนอนอยู่ที่ลานหน้าโบสถน์ น้องหมาตัวสีขาวหนึ่งเดียวที่นอนอยู่ผงกหัวขึ้นมาเห็นโน่ เลยลุกขึ้นเดินมาหาพลางกระดิกหางไปมา และมานั่งตรงหน้าโน่
โน่มองดูแล้วก็นั่งลงลูบหัว เจ้าหมาสีขาวตัวนั้นทำท่าดีใจ น้องหมาที่เหลือลุกขึ้นและตรงเข้ามาเล่นกับโน่ จนกลายเป็นว่าโน่โดนหมาหมู่เข้ามาเล่นด้วย แล้วโน่เองเป็นคนรักหมามาก ๆ อยู่แล้ว เธอเลยเลิกสนใจงานวัดไปในทันที
....
เวทีประกวด "เสียงทองบ้านนา"
อีกฟากหนึ่งของงานวัด เวทีประกวดร้องเพลงดำเนินไปแล้ว นักร้องชาย-หญิง ต่างพากันทยอยขึ้นครวญเพลงที่คิดว่าดีที่สุดให้กรรมการได้ฟัง
ส่วนกรรมการทั้งมหาอิ่มบุญ, เสี่ยอู๋ และ พ่อเลี้ยงสอนที่ตามมาถึงก่อนเริ่มงานแบบฉิวเฉียด ต่างก็กระซิบถามความเห็นกันและกันระหว่างที่นักร้องกำลังขับขานบทเพลงอยู่บนเวที
เสี่ยอู๋ ตลาดไทย
เสี่ยอู๋เอี้ยวตัวมาด้านหลัง เอ่ยถามลูกสาวว่า
“อ้าว...ผู้กองต้าไปไหนแล้วล่ะ?”
“อ๋อ...เค้าบอกว่าจะซื้อมะพร้าวน้ำหอมมาให้แบมน่ะค่ะ เพิ่งไปเมื่อกี้นี้เอง” แบมตอบยิ้ม ๆ ติดจะเขินนิด ๆ
เสี่ยอู๋ยิ้มให้ลูกสาวแล้วหันกลับไปจดจ่อฟังนักร้องบนเวทีต่อ
พิธีกรเดินกลับขึ้นมาบนเวทีพร้อมกับทำหน้าที่
“ผู้เข้าประกวดลำดับต่อไป...เธอเป็นสาวบ้านนา นัยน์ตาชวนฝัน หลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดีในฐานะลูกสาวคนเล็กของกำนันข้าว เอ่ยเท่านี้ก็ไม่ต้องบอกต่อเพราะรู้กันดี อย่ากระนั้นเลย ขอเชิญทุกท่านสดับรับฟังเพลงจากน้องปาม บ้านนาสาร ได้ ณ บัดนี้นี้นี้....”
สิ้นเสียงพิธีกร เสียงดนตรีก็ดังขึ้นด้วยอินโทรเพลง “บอกรักฝากใจ”
ปามสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อเรียกความมั่นใจ ก่อนจะก้าวขึ้นเวที และเดินไปยืนอยู่หลังไมค์เปล่งเสียงร้องออกมาด้วยความมั่นใจ แม้จะตื่นเต้นแต่เมื่อได้เห็นแววตาของแม่ฉัตร และพี่ปิ๊กที่ส่งมาให้ ในใจปามก็สงบลงและตั้งใจร้องเพลงอย่างสุดความสามารถ
เสียงร้องของปามที่ผ่านทางลำโพงดังแว่วล่องลอยไปตามสายลม กำนันข้าวที่กำลังเดินไปที่เวทีร้องเพลงได้ยินเสียงถึงกับเอ่ยขึ้น
“นักร้องคนนี้เสียงหวานเชียวว่าไหมคุณหมอ?”
“ครับ ร้องเพราะมากเลย” หมอเวทย์ผงกศรีษะเห็นด้วย
กำนันข้าวมีความรู้สึกคุ้น ๆ เสียงของนักร้องคนนี้ ยิ่งฟังยิ่งคุ้นถึงกับหยุดฝีเท้ายืนนิ่งเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ก่อนจะเริ่มหน้าเครียดและสาวเท้าตรงดิ่งไปที่เวทีอย่างรีบร้อน
จนหมอเวทย์อดประหลาดใจแต่ก็รีบสาวเท้าเดินตามกำนันข้าวไปติด ๆ
และเมื่อมาถึงด้านท้ายของแถวเก้าอี้นั่งฟัง กำนันข้าวมองขึ้นไปบนเวทีเห็นชัดเจนเลยว่า หญิงสาวที่ยืนร้องเพลงอยู่บนเวทีคือลูกสาวคนเล็กของตนเอง...ปาม
กำนันข้าวหน้าเครียดขึ้นมาทันที เตรียมจะเดินตรงดิ่งขึ้นไปบนเวที
“ปังงงงงงงงงงงง”
เสียงปืนดังลั่นขึ้น พร้อมกับชายชุดดำ สวมหมวกไหมพรมปิดบังใบหน้าสามคน ในมือถือปืนกราดเข้ามาในเวที
กลุ่มคนชุดดำ
ความโกลาหลอลหม่านเกิดขึ้น เสียงหวีดร้องวุ่นวายดังไปทั่ว คนดูหน้าเวทีพากันลุกพรึ่บวิ่งหนีกันหัวซุกหัวซุน
บนเวทีนักดนตรีพากันโยนเครื่องดนตรีวิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น ส่วนปามตกใจรีบโดดลงจากเวทีวิ่งไปหาแม่ฉัตรกับพี่ปิ๊กทั้งสามโผเข้ากอดกันพลางพยายามหาที่หลบ
เสียงปืนดังติด ๆ กันอีกครั้ง ตามด้วยเสียงร้อง
ชาวบ้านหลายคนถูกยิงและล้มลงกองกับพื้น
หมอเวทย์รีบกระโจนเข้าผลักร่างของกำนันข้าวก่อนที่กระสุนจะกราดมาถึง
“โอ๊ยยยย” เสียงร้องของหมอเวทย์ดังขึ้น ขณะก่อนจะคว่ำหน้าฟุบหมดสติทับอยู่บนร่างของกำนันข้าวที่ขณะนี้ทั้งสองนอนกองอยู่ที่พื้นรวมกับร่างไร้วิญญาณของชาวบ้านหลายคน
เสียงตะโกนดังลอดจากหน้ากากไหมพรมของชายชุดดำ เสียงอู้อี้ฟังไม่ค่อยชัด เหมือนไม่ใช่สำเนียงของคนไทย
“ไอ้เสือมุบ...บุก”
พ่อเลี้ยงสอนรีบคุมสติ และกระชากเสี่ยอู๋และแบมให้คลานต่ำไปหลบหลังแนวตู้ลำโพงโดยมีมหาอิ่มบุญตามไปติด ๆ
มหาอิ่มบุญ
ท่ามกลางความชุลมุนหนีตาย ชายชุดดำสองคนตรงปรี่เข้าไปที่สามแม่ลูกฉัตรปิ๊กปาม พวกมันฉุดกระชากทั้งปิ๊กและปาม ในขณะที่แม่ฉัตรพยายามยื้อยุดไว้
“อย่า...อย่า...อย่าทำอะไรลูกสาวฉันเลย” แม่ฉัตรอ้อนวอนขอและยื้อยุดสุดกำลัง
ชายชุดดำตบแม่ฉัตรจนหน้าคว่ำ ก่อนจะฉุดลาดปิ๊กกับปามออกไปจากตรงนั้น
ด้วยความห่วงลูกสาวทั้งสอง แม่ฉัตรรีบลุกขึ้นโผเข้าหาชายชุดดำสองคนที่เพิ่งฉุดลูกสาวของเธอ ชายชุดดำอีกคนหันกลับมายกปืนขึ้นเล็งไปที่แม่ฉัตร
....
เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับกระสุนที่พุ่งทะลุจอฉายหนัง
ชาวบ้านพากันหัวเราะชอบใจ บ้างก็บอกว่าหนังไทยเรื่องนี้ใช้เทคนิคแบบหนังฝรั่ง ที่ฉากทะลุจอออกมาด้วย
เด็กหนุ่มคนหนึ่งลุกขึ้นยืนปรบมือด้วยความชอบใจ ก่อนจะร้องลั่น มือกุมที่หน้าอก มีเลือดอุ่น ๆ ไหลออกมาตามง่ามนิ้วที่กุมอยู่บนหน้าอก สีหน้าเหมือนไม่เชื่อว่าเป็นความจริง ก่อนจะล้มลง
ทันทีที่เด็กหนุ่มล้มลง ชาวบ้านก็พากันลุกขึ้นด้วยความตกใจ พร้อมกับเสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง หลายคนล้มลง
เสียงคำรามดังลั่น สำเนียงอู้อี้ฟังไม่ชัดไม่คล้ายสำเนียงคนไทย พร้อมกับชายชุดดำสวมหมวกไหมพรมปิดทับใบหน้าสามคนกรูกันออกมาจากด้านหลังของจอหนังกลางแปลง
“ไอ้เสือมุบ...บุกกกก”
จบคำ เสียงปืนก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเสียงร้องครวญครางดังระงมไปทั่วลานหนังกลางแปลง
....
ในลานงานวัด ซุ้มยิงปืน
เด็กชายแม่วกับเด็กชายท่อนกำลังสนุกกับการยิงปืน
แม่วเอาปืนลมประทับและเล็งปลายปืนไปที่เป้า เบื้องหน้าคือตัวตุ๊กตาลิงตีฉาบ
“ข้าว่าเอ็งยิงไม่โดนว่ะ ไอ้แม่ว”
“เอ็งดูถูกข้าเกินไปแล้ว ไอ้ท่อน” แม่วหันมายิ้มเยาะท่อนก่อนจะหันกลับไปเล็งและลั่นไก
กระสุนฝาน้ำปลาพุ่งไปโดนตรงเป้าล้มลง พร้อม ๆ กับตุ๊กตาลิงเริ่มตีฉาบโช้งเช้ง ก่อนที่จะหยุดเสียงเพราะเจ้าของร้านเดินมาดันเป้ายิงตั้งขึ้นอีกครั้ง
แม่วหันมายิ้มเยาะท่อนอีกครั้ง พลางคุยโวข่ม
“เอ็งเห็นรึยัง? รุ่นพี่อย่างข้ายังไงก็เหนือกว่าเอ็ง ยังไง ๆ เอ็งก็ต้องเดินตามรุ่นพี่แบบข้าโว๊ย...ไอ้ท่อน”
“เดี๋ยวข้าจะให้เอ็งเห็น ว่ารุ่นน้องแบบข้า จะลบเหลี่ยมของเอ็งให้ดู ไอ้แม่ว” ท่อนไม่ยอมแพ้ หยิบปืนลมของตัวเองขึ้นมาเล็ง
“ปังงงง”
เสียงปืนรัวขึ้น พร้อมกับเสียงร้อง
เจ้าของร้านยิงปืนล้มลงเป็นคนแรก และใครต่อใครที่อยู่ในบริเวณนั้นก็ล้มลง
“ไอ้เสือมุบ...บุก”
สำเนียงไทยที่ไม่ชัดดังมาจากกลุ่มชายชุดดำสามคคนที่สวมหมวกไหมพรมปิดบังใบหน้า
....
เสียงปืนดังขึ้นลั่นไปทั่วโซนร้านอาหาร
“ไอ้เสือมุบ...บุก” ยังคงเป็นสำเนียงไทยที่ไม่ชัดเจนดังจากกลุ่มคนชุดดำ
หลายคนกำลังนั่งทานผัดไทยล้มลง พ่อค้าขายหมึกบด คนขายลูกชิ้นปิ้ง และอีกหลายคนทั้งคนขายคนซื้อ ต่างพากันล้มลง
กลุ่มชายชุดดำสามคนสวมหมวกไหมพรมเดินไล่ยิงคนที่มาเที่ยวงานวัด คนหนึ่งเดินเข้าไปในร้านเฮียหมู มันเดินอ้อมไปเห็นเฮียหมูซุกตัวอยู่หันหลังอยู่ใต้แผงก๋วยเตี๋ยวตัวสั่นเป็นลูกสุนัข
ชายชุดดำหัวเราะดังลั่น เล็งปืนไปที่เฮียหมู
เสียงปืนดังขึ้นอีกครั้ง
เฮียหมูสะท้านวาบ ร้องโอ๊ยดังลั่น รีบกุมหน้าอกตัวเอง ก่อนจะพบว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เลยหันกลับไปมองที่ด้านหลังตนเอง
ชายชุดดำนั้นถูกยิงกลางแสกหน้า เลือดสีแดงสดไหลซึมผ่านหน้ากากไหมพรมออกมาทางหน้าผากก่อนจะล้มลง
คนที่ยิงปืนคือพ่อค้าขายลูกโป่งสวรรค์ หรือที่แท้จริงคือ ชม ตำนาน
ชม ตำนาน
ทันทีที่ลั่นไกใส่ชายชุดดำ ชม ตำนานก็รีบกระโดดพลิกตัวหลบข้ามโต๊ะ พร้อมกับตวัดปืนเล็งใส่ชายชุดดำอีกคนหนึ่งเมื่อตนเองพลิกตัวหมุนตัวตีลังกา ระหว่างที่ตีลังกาก็เล็งกระบอกปืนไปที่ชายชุดดำอีกคน เสียงปืนดังขึ้นอีกนัด
กระสุนเจาะเข้ากลางหน้าผากของชายชุดดำอีกคน มันล้มลง พร้อมกับที่เท้าของชม ตำนานแตะพื้นพอดี
ชม ตำนานมองดูเห็นชายชุดดำคนสุดท้ายกำลังต่อสู้กับหมูแว่น
หมูแว่นซัดมีดสั้นในมือออกไป ชายชุดดำเบี่ยงตัวหลบอย่างไม่ยากเย็น แต่แล้วมันก็ต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อพบว่ามีดที่หลบไปนั้นย้อนกลับมาปักกลางหลังของมัน
หมูแว่น มิติ
ที่แท้ด้ามมีดของหมูแว่นผูกเอ็นใสเส้นหนึ่งไว้ หมูแว่นปามีดออกไปเพื่อจะหลอกล่อให้ชายชุดดำหลบ ก่อนที่จะกระตุกเส้นเอ็นนั้นบังคับให้วกกลับมาแทงใส่กลางหลังของชายชุดดำ
สำหรับมันเองคงไม่เชื่อว่าจะเจอกับเรื่องแบบนี้
....
ทันทีที่เสียงปืนดังขึ้น อย่างรวดเร็ว อติรีบกระชากร่างของรกรเข้ามาไว้ในอ้อมกอด และรีบล้มตัวลงหมอบราบลงกับพื้น
รกรที่อยู่ในอ้อมแขนของอติทั้งตกใจทั้งอุ่นใจ ใบหน้าของทั้งสองชิดใกล้กันมากจนจมูกแทบจะชนกัน
รกรหน้าแดงร้อนผ่าว ในขณะที่อติหน้าเคร่งเครียดรีบเอ่ยขึ้น
“รกรรีบหาที่หลบก่อน”
พูดจบ อติก็ชักปืนบาแร็ตต้าที่เหน็บอยู่ที่เข็มขัดด้านหลังออกมากระชับไว้ในมือ เขารีบพลิกตัวหาที่กำลังก่อนจะเล็งปืนไปที่ชายชุดดำคนหนึ่ง และลั่นไก
ชายชุดดำคนหนึ่งล้มลง แต่ก็ทำให้ชายชุดดำอีกสองคน รีบหาที่กำบัง และสาดกระสุนไปตรงที่อติกำลังแอบอยู่ด้านหลัง
“เฮ้ยยยยย” เสียงตะโกนดังขึ้น
เจ้าของเสียงคือคนขายขนมสายไหม ผี ตะลุมพุก ที่กำลังพนมมือบริกรรมคาถา
ผี ตะลุมพุก
ชายชุดดำหันกลับมาหนึ่งในนั้นกระหน่ำยิงกระสุนเข้าใส่ผี ตะลุมพุก แต่กระสุนปืนไม่ระคายผิว พวกมันถึงกับตกใจ
ผี ตะลุมพุกพุ่งปราดเข้าใส่ พร้อมกับตวัดไม้ไผ่ยาวที่แทงปราดเข้าใส่ชายชุดดำด้านซ้าย ชายชุดดำเบี่ยงศรีษะหลบ
ผีหมุนไม้ไผ่ในมือใช้มือขวากระชากออก ในไม้ไผ่ซ่อนดาบเล่มหนึ่งไว้
ผีตวัดดาบฟาดกลับไปที่ชายชุดดำที่อยู่ด้านขวาตนเอง
ชายชุดดำไม่ทันหลบ คมดาบฟาดปาดคอหอยขาด เลือดสีแดงสดกระเซ็นไหลออกจากรอยแผลที่คอหอย
ชายชุดดำที่เพิ่งจะหลบปลายไม้ไผ่ เงื้อปืนขึ้นเล็งใส่ผี ตะลุมพุก
แต่กระสุนจากปากกระบอกปืนของอติพุ่งวาบเข้าทะลุกลางอกของชายชุดดำคนนั้น กระสุนตัดขั้วหัวใจพอดิบพอดี
ผี ตะลุมพุกหันมายิ้ม และโค้มศรีษะให้อติเป็นเชิงขอบคุณ ก่อนจะวิ่งปราดไปยังทิศทางอื่น
ส่วนอติรีบวิ่งไปดูบรรดาชาวบ้านที่นอนล้มกองกับพื้น สายตาเข้าเหลือบไปเห็นร่างของเด็กชายสองคนนอนฟุบอยู่ตรงหน้าซุ้มยิงปืน
อติ พบสุข
อติรีบวิ่งเข้าไปจับตัวเด็กชายคนหนึ่งพลิกขึ้นมาในอ้อมกอด เขาถึงกับใจหายวาบ
ในอ้อมกอดของอติคือร่างไร้ลมหายใจของเด็กชายแม่ว
รกรที่ตามมาทรุดลงช้อนร่างของเด็กชายอีกคนขึ้น เด็กชายท่อนในอ้อนแขนของรกรก็ไร้ลมหายใจแล้วเช่นกัน
รกรน้ำตาไหลด้วยความเสียใจ เธอเหลียวมองไปรอบ ๆ
ภาพที่รกรเห็นคือ ชาวบ้านจำนวนนับสิบล้มกองกับพื้นบ้างเจ็บ บ้างตาย
รกรหันมาถามอติ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
รกร
อติหน้าเคร่งเครียด และโกรธแค้นอย่างเห็นได้ชัด
รกรรู้สึกตกใจ เพราะอติที่เธอคุ้นชินคือ อติหน้าเป็น ไม่ใช่ชายที่หน้าตาโกรธแค้นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เธอแบบนี้
อติไม่ได้ตอบอะไร เขาโกรธแค้นมากจริง ๆ คนกลุ่มนี้หัวใจทำด้วยอะไรถึงได้ยิงชาวบ้านตาดำ ๆ กระทั่งเด็กตัวเล็ก ๆ ก็ยังไม่ละเว้น
....
ไม้ไผ่พุ่งวาบเข้าเสียบที่คอหอยของชายชุดดำ
มันพุ่งออกจากฝ่ามือของไอ้หนุ่มตีกลอง บีด บรรเลง ที่ซัดไม้ไผ่ในมือขวาทั้งเร็วและรุนแรงเข้าใส่
บีด บรรเลง
แทบจะพร้อมกัน บีดกลิ้งตัวที่พื้นอย่างรวดเร็วไปถึงตัวชายชุดดำอีกคนหนึ่ง ใช้ไม้ไผ่ในมือซ้ายปักฉึกลงที่เท้าของชายชุดดำ พร้อมกับตวัดตัว ใช้เท้าทั้งสองข้างล็อกคอของชายชุดดำคน และยันร่างช่วงบนของตัวเองลอยขึ้นมา ในมือของบีดมีเส้นลวดแหลมคมของซี่ล้อจักรยานเสียบเข้าที่รูหูทั้งสองข้างของชายชุดดำ
เสียงปืนลูกซองดังขึ้นไล่หลังของบีด
บีดรีบดีดตีลังกากลับมา ก่อนจะเห็นว่า ตัวเองเผยข่องโหว่ด้านหลังให้ชายชุดดำที่เหลืออีกหนึ่งคนมีโอกาสยิง
แต่ชายชุดดำยืนนิ่ง ก่อนจะทรุดล้มลง เบิ้องหลังชายชุดดำยืนไว้ด้วยชายหน้าเข้มร่างกำยำคนหนึ่ง
บีดเป่าปากอย่างโล่งใจ “ขอบคุณครับพี่หนัง”
หนัง มิติ
“เอ็งประมาทเกินไปแล้วนะ ไอ้บีด” หนัง มิติเสียงแข็งเตือนบีด
ทั้งสองเดินสำรวจบรรดาคนที่ถูกยิงที่นอนเจ็บตายอยู่ที่ลานหนังกลางแปลง
หนัง มิติ กับ บีด บรรเลง แยกกันสำรวจความเสียหาย และตรวจดูชาวบ้านที่นอนระเนระนาดอยู่หน้าจอหนังกลางแปลง
เสียงร่ำไห้ดังขึ้น บางคอนกอดศพคนที่มาด้วยกัน เด็กจำนวนหนึ่งร้องไห้ดังลั่น
“พิ้งค์...พี้งค์...” แว่นที่เลือดไหลจากหน้าผากเพราะกระสุนปืนถากเขาไป แต่กระสุนปืนอีกนัดเจาะเข้าที่หน้าอกของพิ้งค์ แว่นพยายามเขย่าร่างของพิ้งค์ เขาเอามือมารองใต้จมูก ไม่มีลมหายใจ แว่นรีบตะโกน
“ช่วยด้วยครับ...ช่วยด้วย..”
หนัง มิติ ได้ยินเสียงรีบปราดเข้าไปตรงที่แว่นกอดพิ้งค์อยู่ เขาจับชีพจรพบว่าเต้นอ่อนจนแทบไม่มีจังหวะเลย หนัง มิติรีบทำการปั๊มหัวใจแต่ร่างก็พิ้งค์ยังนิ่งสงบไม่ไหวติง หลังจากพยายามอยู่พักหนึ่ง หนัง มิติหันมาเอ่ยกับแว่น
“เสียใจด้วยครับ...”
“ไม่มมมมมมม.....” เสียงแว่นตะโกนจนแหบแห้ง “ไม่จริงใช่ไหมครับพี่...เมียผมยังไม่ตายใช่ไหม?”
หนัง มิติเงียบ บางครั้งการเงียบก็แทนคำยืนยัน
แว่นกอดศพของพิ้งค์ไว้แน่น เขาร้องห่มร้องไห้ปานจะขาดใจ หนัง มิติยื่นมือเข้ามาเพื่อจะตรวจรอยแผลถูกยิงที่หน้าผากของแว่น แต่แว่นปัดมือเขาออก
“ผมไม่เป็นไร...ผมไม่เป็นไร...ขอผมอยู่คนเดียวเถอะ....”
แว่น เลี้ยงยาย
หนัง มิติมองอย่างหดหู่ใจ เขาถอนหายใจก่อนจะหันมาดูรอบ ๆ เห็นชายหญิงอีกคู่หนึ่งนอนกอดกันอยู่ใกล้ ๆ ข้าง ๆ ร่างไร้วิญญาณของพิ้งค์
บีด บรรเลงตามมาสมทบ เขาตรวจชีพจรแล้ว และส่ายหน้า หนัง มิติก็รู้คำตอบคืออะไร
แว่นที่อยู่ข้าง ๆ ชำเลืองมองมาที่ชายทั้งสอง เขาเห็นศพชายหญิงที่นอนกอดกัน ก็รู้ทันทีว่าทั้งเหงี่ยมศรีและพี่ติก็เสียชีวิตแล้วเช่นกัน
แว่นมองไปรอบ ๆ เขาเห็นชาวบ้านหลายคนต้องจบชีวิตอยู่หน้าจอหนังกลางแปลงที่ถูกเจาะพรุนไปทั่วด้วยกระสุนปืน M16 ในสมองของแว่นมีแต่คำถาม
“เกิดอะไรขึ้น?....ทำไมต้องฆ่าแกงกันมากขนาดนี้?...”
แว่นพยายามทบทวน หลังเสียงปืนดังขึ้น เขาได้ยินกลุ่มชายชุดดำตะโกนว่า
“ไอ้เสือมุบ...บุก”
เสือมุบ...ต้องเป็นเสือมุบแห่งป่าพยนต์แน่ ๆ
พอคิดถึงตรงนี้ เพลิงโทสะของแว่นก็เดือดขึ้น เขาวางร่างไร้วิญญาณของพิ้งค์ลง แล้วผุดลุกขึ้นก่อนจะรู้สึกวิงเวียนศีรษะหน้ามืด และทุกอย่างตรงเบื้องหน้าแว่นก็กลายเป็นความมืดมิด
ร่างของแว่นล้มฟุบลงใกล้กับที่พิ้งค์ บีดรีบเข้ามาดูอาการแว่น
“เขาคงรีบลุกเกินไปจนหมดสติ ตัวเองก็เสียเลือดไปไม่น้อย”
หนัง มิติมองการสังหารหมู่ที่เกิดขึ้น หน้าตาเขาเคร่งเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด
....
ภาพที่กำนันข้าวเห็นในชั่วเสี้ยววินาที มันอาจจะชั่วแวบเดียว แต่สำหรับตนเองมันไม่ต่างกับภาพสโลว์โมชั่นที่เดินไปทีละเฟรม
กำนันข้าวเห็นภาพชายชุดดำสองคนฉุดกระชากปิ้กกับปาม และแม่ฉัตรลุกขึ้นพยายามจะช่วยลูก ชายชุดดำคนนั้นหันกลับมาเล็งปืนไปที่แม่ฉัตร
กำนันข้าวเองก็พยายามดันร่างของหมอเวทย์ที่ทับอยู่ข้างบน และชาวบ้านอีกสองสามคนที่ถูกยิงและล้มทับตัวเขาและหมอเวทย์ไว้
“อย่า......” กำนันข้าวร้องห้าม พยายามดันร่างที่หมดสติของหมอเวทย์ออกไปเพื่อจะไปช่วยภรรยาของตนเอง
แต่กำนันข้าวช้าเกินไป....
"เปรี้ยงงงงงงง"
เสียงกระสุนปืนดังกึกก้องสะท้อนไปทั่ว...
โปรดติดตามตอนต่อไป
หลังกอง "บางบอกดิก 2 ตอนที่ 3"
ตามที่ผมได้บอกไปแล้ว ว่าเมื่อเรื่องดำเนินไป "บางบอกดิก 2" จะเริ่มดาร์คขึ้นกว่าเดิม
ผมอยากสื่อสารผ่านนิยายให้เห็นว่า เมื่อสถานที่แห่งหนึ่งเป็นแค่ตำบลเล็ก ๆ ที่แทบไม่มีคนรู้จัก วันหนึ่งเมื่อความเจริญมาถึง สิ่งที่ตามมาพร้อมกับความเจริญก็คือความวุ่นวาย และความเสื่อมโทรมในใจของคนเรา
มันไม่มีใครจะควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้ ไม่ว่าจะมีกฎหมาย กฎระเบียบ ควบคุม สุดท้ายสถานที่แห่งนั้นก็ไม่อาจต้านทานกระแสความเปลี่ยนแปลงได้
ผู้คนที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้นก็มีแต่จะต้องเลือก เลือกที่จะอยู่ เลือกที่จะไป เลือกที่จะปรับสภาพ
เราเห็นชาวบ้านทั่วไป เราเห็นคนกลุ่มน้อยที่เป็นกบฎ เราเห็นคนอีกกลุ่มที่มุ่งร้ายเพื่อตนเอง มันมีอยู่ในแทบทุกที่ทุกแห่ง
ความรุนแรงนำมาซึ่งความสูญเสีย และการเปลี่ยนแปลงเสมอ
ไม่มีอะไรที่ดี ถ้าเรานำความรุนแรงมาสู่สังคมของเรา
ทุกตัวละครกำลังจะเจอพายุลูกใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขา
และทำให้เขาตระหนักว่า สิ่งที่เขาเคยเป็น จุดยืนที่เขาเคยคิด มันอาจจะสั่นคลอนได้
เมื่อเขาไปยืนอยู่อีกสถานะหนึ่ง อีกฝั่งที่เขาเคยเกลียดมันมาก
ชายแปลกหน้า
ในตอนที่ 3 มีตัวละครใหม่ปรากฎขึ้น ชายแปลกหน้าที่ท่ารถบางบอกดิก เขาคือใคร? และเป็นร่างอวตารของนักเขียนคนไหน? อันนี้เป็นปมที่วางไว้ให้ตามลุ้นกันต่อไปนะครับ
หวังว่าจะติดตามกันต่อไปนะครับ
มูฟวี่
บันทึก
46
108
13
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
บางบอกดิก 2
46
108
13
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย