เริ่มด้วย S.M.A.R.T Goal
คำย่อนี้เป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี ค.ศ. 1981 ในนิตยสาร Management Review ก็เกือบจะ 40 ปีแล้วค่ะ แต่คำนี้ไม่เคยตกยุคตกสมัย เพราะในปัจจุบันก็ยังเห็นมีการนำเอาหลักการของ S.M.A.R.T มาใช้ในการตั้งเป้าหมายหรือกำหนดวัตถุประสงค์ในการบริหารโครงการ หรือ ในการวางแผนธุรกิจ
เรามาดูความหมายของ S.M.A.R.T กันค่ะ คำนี้ย่อมาจาก
S = Specific เจาะจง
M = Measurable วัดผลได้
A = Achievable บรรลุผลได้
R = Realistic สอดคล้องกับความเป็นจริง
T = Timely อยู่ในขอบเขตเวลา
S.M.A.R.T Goal
Specific เป้าหมายต้องจำเพาะเจาะจง ให้ตั้งคำถามว่า
Why โครงการนี้สำคัญอย่างไร ทำไมต้องทำ
What ต้องทำอะไรบ้างจึงจะทำให้โครงการสำเร็จ
Where โครงการตั้งอยู่ที่ไหน
Who ใครบ้างที่เกี่ยวข้องกับโครงการ
Which ต้องใช้ทรัพยากรเท่าไร อย่างไร
เมื่อตอบคำถามข้างต้นได้ ภาพของเป้าหมายจะชัดเจนมากขึ้นค่ะ
Measurable เป้าหมายต้องวัดได้ เพื่อนำผลมาประเมิน ติดตามความคืบหน้า เพราะหากวัดผลงานแล้วไม่ได้ตามเป้า เราจะได้รีบเข้าไปปรับปรุงแก้ไขได้ทันเวลา
ให้ตั้งคำถามว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าผลงานเป็นไปตามที่คาดหวัง ?
เพื่อหาวิธีการวัดผล อาจจะใช้วิธีวัดเชิงปริมาณ(เท่าไร? ตัวเลข / เปอร์เซ็น)
หรือ เชิงความถี่(อย่างไร? รายสัปดาห์ / รายเดือน)
หรือเทียบกับมาตรฐานอื่นๆ (ควรเลือกมาตรฐานที่ใช้วัดกับเป้าหมายของเราได้)
Achievable เป้าหมายต้องสามารถทำได้ ไม่ควรสูงเกินไปจนเกินเอื้อม แต่ก็ไม่ควรง่ายหรือต่ำเกินไปจนไม่สร้างความท้าทายใดๆ
เป้าหมายควรอยู่ใกล้ "แค่เอื้อม" เพื่อให้มองเห็นและสร้างแรงจูงใจ ผลักดันทีมให้พัฒนาตัวเอง ใช้ความคิดสร้างสรรค์ สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ดึงความสามารถสูงสุดของพวกเขา เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
ให้ตั้งคำถามว่า
เราต้องทำอะไรถึงจะทำให้เป้าหมายบรรลุผลได้?
เป้าหมายนี้มีความเป็นไปได้มากแค่ไหน ?
โดยพิจารณาข้อจำกัดทางการเงินและทรัพยากรต่างๆ ประกอบด้วยค่ะ
Realistic เป้าหมายควรตั้งอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ถึงจะมีคำกล่าวว่า ความสามารถของคนเราไม่มีขีดจำกัด แต่การตั้งเป้าหมายก็ควรมีเหตุผลรองรับ เมื่อตั้งแล้วก็ต้องทำได้จริง วิธีการเช็คว่าเป้าหมายของเรา Realistic หรือเปล่า ให้มองย้อนกลับไปในอดีตว่าเคยมีโครงการใดที่บรรลุเป้าหมายที่ใกล้เคียงกับของเราหรือไม่ ? ถ้ามี แสดงว่าเป้าหมายของเราก็มีโอกาสสูงที่จะทำได้สำเร็จหรืออาจจะทำได้ดีกว่าอดีตที่ผ่านมาด้วยซ้ำ
** ข้อนี้ I am pm มองว่าถ้าเป้าหมายที่ตั้งมันดูเกินจริง (เช่น ไปอาศัยอยู่บนดาวอังคารกับอีลอน มัสก์ ) ก็ให้เรานำเป้าหมายใหญ่นั้นมาซอยเป็นเป้าย่อยๆ (ภายในเป้าหมายเดิม) แล้วทำแต่ละเป้าย่อยนั้นให้สำเร็จ อย่างนี้ น่าจะทำให้เห็นหนทางความเป็นไปได้มากขึ้นค่ะ
Timely เป้าหมายต้องมีกำหนดเวลาของมัน เพราะโลกนี้หมุนเร็วค่ะ หากไม่มีการกำหนดเวลาหรือ Timeline ก็อาจต้องเจอคำว่า "พรุ่งนี้ก็สายเกินไป"
แน่นอนที่ไม่มีใครชอบการถูกตีกรอบเวลา แต่ "เวลา" นั้นสำคัญ และหมดไปเรื่อยๆ
ให้ตั้งคำถามว่า จะเสร็จเมื่อไร? เพื่อลดปัญหาการผลัดวันประกันพรุ่งจนทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง
ตัวอย่างการตั้งเป้าหมายอย่าง SMART
Not SMART => เพิ่มยอดขาย 100%
SMART => เพิ่มยอดขาย 1 ล้านบาทต่อปี โดยแบ่งเป็น 4 ไตรมาส
ไตรมาสที่ 1 ยอดขาย 2 แสนบาท
ไตรมาสที่ 2 ยอดขาย 2 แสนบาท
ไตรมาสที่ 3 ยอดขาย 3 แสนบาท
ไตรมาสที่ 4 ยอดขาย 3 แสนบาท
Not SMART => พัฒนาทักษะการสื่อสารของพนักงานด้วยการจัดอบรม
SMART => พัฒนาทักษะการสื่อสารในด้านการพูดและเขียนให้กับพนักงาน 60% โดยจัดอบรมทุกไตรมาส ไตรมาสละ 1 ครั้ง ตลอดปี ค.ศ. 2020
Not SMART => ชำระหนี้ให้หมดภายในสิ้นปี
SMART => ชำระหนี้จำนวน 1 แสนบาท ให้หมดภายใน 24 เดือน
ปัจจุบันมีการนำหลักการนี้มาปรับใช้ในหลายๆ ด้าน หรือบางทีก็เพิ่มคำเข้ามาเช่น เพิ่ม E(evaluate ประเมินผล) R(review นำมาปรับปรุง) กลายเป็นคำว่า SMARTER
โครงการหรือธุรกิจใดก็ตาม หากไม่มีการตั้งเป้าหมายไว้ เมื่อลงมือทำไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็จะหาปลายทางไม่เจอ หรือไม่ก็หลงทางออกป่าออกทะเลไปได้ ทำให้เสียเวลา เสียทรัพยากรไปเปล่าๆ จึงขอแนะนำให้ใช้หลัก S.M.A.R.T Goal (การตั้งเป้าหมายอย่าง S.M.A.R.T) ก่อนจะเริ่มต้นทำโครงการ ทั้งนี้เพื่อให้ทีมงานและผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการเห็นแนวทาง ความเป็นไปได้ วิธีการ ในการทำโครงการให้บรรลุผลสำเร็จร่วมกันค่ะ
ขอเชิญรีวิวบทความหรือแสดงความคิดเห็น เพื่อเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนทัศนะและความรู้ร่วมกันนะคะ ^^
#บริหารจัดการ #Project Management #พัฒนาตัวเอง #management
เรียบเรียง เล่าเรื่องโดย I am pm
- 1
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
