7 ก.ย. 2020 เวลา 00:00 • ธุรกิจ
หากมองดูรูปลักษณ์ภายนอกของพี่ท๊อป จิรายุส ซีอีโอแห่ง Bitkub สตาร์ทอัพ ทางด้านการเงินชื่อดัง หลายๆ คนคงจะเห็นภาพของเด็กเนิร์ดนั่งหน้าชั้นเรียนคนหนึ่ง ทว่าความจริงแล้วกลับตรงกันข้าม
วันนี้ Career Fact ขอนำเสนอเรื่องราวของซีอีโอหนุ่มรายนี้ ว่าจากเด็กธรรมดาๆ คนหนึ่ง เขาก้าวขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของการศึกษาได้อย่างไร เหตุการณ์ที่ทำให้เขาได้รู้จักกับ Bitcoin และเส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ กว่าจะมาเป็น CEO ฟินเทคที่กำลังจะเดินหน้าเข้าสู่การเป็น Unicorn ตัวแรกของเมืองไทยต้องผ่านอะไรมาบ้าง
#รู้จักพี่ ท๊อป จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา - Topp Jirayut Srupsrisopa
พี่ท๊อป หรือ นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา เล่าว่า สมัยยังเรียนอยู่ตอนประถม เป็นเด็กเกเรที่ชกต่อยกับเพื่อนๆ พ่อแม่จึงตัดสินใจส่งให้ไปเรียนไกลถึงประเทศนิวซีแลนด์ ประเทศแถวหน้าด้านการศึกษา ซึ่งฝันแรกในวัยเด็กของเขาครั้งศึกษาอยู่ที่นิวซีแลนด์คือการเป็นนักกีฬา เขาจึงไม่ได้โฟกัสเรื่องการเรียนซักเท่าไหร่
พอเรียนจบ ผลการเรียนก็ไม่สามารถยื่นเข้ามหาลัยดีๆ ที่ไทยได้เลย ตัดสินใจยื่นไปเรียนต่อต่างประเทศ และได้รับเข้าเรียนที่ The University of Manchester ประเทศอังกฤษในที่สุด ศึกษาต่อในด้านเศรษฐศาสตร์ เหตุผลที่เลือกเรียนเศรษฐศาสตร์ เป็นเพราะว่าเศรษฐศาสตร์เป็นวิชาที่เขาพอถูไถได้มากที่สุดในช่วงมัธยม (ที่นิวซีแลนด์จะมีวิชาเฉพาะทางแบบนี้สอนในระดับมัธยม)
เขาเล่าว่า จริงๆ เขาอยากจะยื่นเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยอันดับต้นๆของโลก อย่าง Cambridge หรือ Oxford แต่เพราะผลการเรียนไม่ดีนักจึงทำให้ได้แค่มองอยู่ห่างๆ ซึ่งก็ทำให้เกิดปมติดตัวเขาตั้งแต่วันนั้น เขาสัญญากับตัวเองว่าจะเริ่มต้นใหม่ที่ Manchester จะขยันอ่านหนังสือมากขึ้น และจะต้องจบด้วยผลการเรียนที่สามารถยื่นเข้ามหาวิทยาลัยระดับท็อปให้ได้ตอนปริญญาโท
ในขณะที่เด็กมหาลัยคนอื่นใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเป็นเด็กวัยรุ่น เขากลับใช้เวลาทั้งหมดอ่านหนังสือค้นคว้าเพิ่มเติม แม้กระทั่งในช่วงวันหยุดยาวหน้าหนาว 3 เดือน ที่เพื่อนๆ คนไทยส่วนใหญ่จะซื้อตั๋วกลับบ้านมาเยี่ยมครอบครัว เขากลับใช้เวลาไปห้องสมุด ซึ่งทำอย่างนั้นเป็นประจำตลอด 3 ปีของการเรียนปริญญาตรี จนสามารถจบออกมา ไม่ใช่แค่คะแนนดีที่สุดของรุ่น แต่ดีที่สุดของคณะ ทำให้เขาได้รับรางวัลที่เรียกว่า “เหรียญทองของเหรียญทอง” และมหาลัยยังมอบเงินรางวัลคืนค่าเรียนให้อีกจำนวนหนึ่งด้วย
3
#เป้าหมายแรกคือการคลายปมในใจ
ด้วยผลการเรียนปริญญาตรีที่ดีเด่นมาก พี่ท๊อปได้รับข้อเสนอจากมหาวิทยาลัยระดับท็อปมากมาย ไม่ว่าจะเป็นจาก Cambridge Oxford หรือ UCL ที่เสนอทุนเรียนฟรีให้เขาอีกด้วย พี่ท๊อปเล่าว่า วันที่มหาวิทยาลัยประกาศผล เขารู้สึกภูมิใจมากๆ เพราะเหมือนได้คลายปมในใจ จากเมื่อก่อนไม่กล้ายื่น ตอนนี้เขาเป็นฝ่ายที่ได้เลือกเอง
“ชีวิตที่ Oxford เป้าหมายคือทำยังไงให้เรียนจบพอ”
แต่ชีวิตที่ Oxford ไม่ได้สวยหรูอย่างที่เขาวาดไว้ เพราะนอกจากจะเป็นนักเรียนที่เด็กทีสุดในห้องเรียนที่มีนักเรียน 50 คนแล้ว ยังมีการแข่งขันที่สูงมากๆ เพื่อนร่วมห้องเขาบางคนจบปริญญามาแล้วหลายใบ บางคนทำงานมาแล้วหลายปี ผู้คนต่างโฟกัสในเป้าหมายของตัวเอง ไม่มีใครช่วยกันได้ ทำให้มีสภาพแวดล้อมที่กดดันมากๆ ยิ่งไปกว่านั้น ที่ Oxford จะต้องเรียนถึง 2 ปี จากปกติปริญญาโทที่อังกฤษจะเรียนกันแค่ปีเดียวเท่านั้น
“ในห้องมีทั้งหมด 50 คน บางคนเรียนเฉพาะทางมา บางคนเคยแข่งขันวิชาเคมีระดับโอลิมปิก เจอเด็กอังกฤษไอคิวสูงกว่าปกติ ที่ออกทีวีมาแต่เด็ก มันเป็นสภาพแวดล้อมที่หนักมากๆ”
พี่ท๊อปเล่าต่อว่า ข้อสอบที่นี่ไม่เหมือนที่อื่น เป็นคำถามปลายเปิด และคำถามนั้นจะเปลี่ยนทุกๆ ปี 20 ปีที่ผ่านมา ไม่มีข้อสอบเหมือนกันสักชุด ซึ่งพี่ท๊อปเองก็ไม่นิ่งนอนใจ ขยันอ่านหนังสือเต็มที่เหมือนเดิม แต่ก็ต้องถึงกับช็อคเมื่อเปิดข้อสอบมา เพราะว่าไม่สามารถตอบได้เลยสักข้อ เวลาในห้องสอบดำเนินไป ในขณะที่พี่ท๊อปยังคงครุ่นคริดอยู่กับการหาคำตอบให้กับคำถามที่เขาตอบไม่ได้ เขามองไปทั้งซ้ายและขวา คนข้างๆแสดงความกังวลออกมาหมด ได้ยินเสียงคนรอบๆ ถอนหายใจ แต่พอตั้งสติได้ ก็เกือบจะสายไป เพราะเหลือเวลาเพียง 30 นาที เขาตัดสินใจขีดฆ่าคำถามในข้อสอบทิ้ง และเขียนคำถามขึ้นมาใหม่เอง และเขียนความรู้ที่เขาศึกษามาตลอดหลายเดือนลงไปในสมุดคำตอบ ความยาว 6 เล่ม อย่างไรก็ตาม ก็สามารถเรียนจบออกมาได้ และเมื่อเล่าให้รุ่นพี่มหาวิทยาลัยฟัง ทุกคนยังคงหัวเราะถึงวันนี้
4
#จบมาไม่รู้จะทำอะไรดี
หลังเรียนจบ พี่ท๊อปรู้สึกหลงทางพอสมควร เพราะไม่เคยมีเป้าหมายหลังจากนี้ เป้าหมายตอนเรียนป.โทคือเรียนให้จบพอ จึงไม่รู้ว่าอยากจะเดินทางไปสายอาชีพไหน สำหรับมหาบัณฑิตคนอื่นๆที่จบด้านนี้ ส่วนใหญ่สมัครงานกับ Corporate ไม่ว่าจะเป็น Investment Banking หรือ Consulting เป็นต้น พี่ท๊อปเองก็เดินตามเส้นทางนั้นเช่นกัน ตัดสินใจสมัครงานไปไกลถึงประเทศจีน ที่เซี่ยงไฮ้ พี่ท๊อปเล่าว่า ในขณะนั้นประเทศจีนกำลังมาแรงมากๆ มีโอกาสได้ร่วมงานกับบริษัท Evotech Capital บริษัทสัญชาติจีนที่ตอนนั้นได้มีส่วนร่วมในการนำพาบริษัทเข้าไปขายในตลาดหลักทรัพย์ประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
2
“ช่วงชีวิตการทำงานหลังเรียนจบใหม่ เป็นช่วงของการค้นหาตัวเองว่าชอบอะไรไม่ชอบอะไร”
#พบรักครั้งแรกกับBitcoin
หลังจากทำงานมาได้หนึ่งเดือน ระหว่างที่พี่ท๊อปทำงานอยู่บนคอมพิวเตอร์ ก็ได้ไปพบกับสิ่งที่เรียกว่า Bitcoin ตอนนั้นไม่รู้ว่ามันคืออะไร รู้แต่ว่ามูลค่ามันเติบโตแบบก้าวกระโดดมากๆ จาก 11 ดอลลาร์ ไปเป็น 1,150 ดอลลาร์ ด้วยความตื่นเต้น เขารีบหันไปถามเพื่อนข้างๆ ว่ามันคืออะไร แต่เพื่อนก็ไม่ทราบ และไม่มีทีท่าว่าจะสนใจไปมากกว่านี้ เขาจึงค้นหาข้อมูลเพิ่มเติ่ม จนได้ไปพบเข้ากับบทความที่เขียนโดย Marc Andreessen ในหัวข้อ Why Bitcoin Matters?
1
บทความพูดถึงอิทธิพลของ Bitcoin ที่จะมาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับโลก ด้วยคุณสมบัติของการเป็น Invisibility Property สิ่งนี้จะทำให้คนที่ไม่มีบัญชีธนาคาร สามารถเข้าถึงธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศได้ทันที ตอนนั้นเองเขารู้สึกเชื่อมั่นในสิ่งที่อ่าน และเริ่มศึกษามันให้ลึกลงไปอีก
2
#เมื่อเริ่มเบื่องานCorporate
หลังจากทำงานที่ประเทศจีนได้เพียง 3 เดือน เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุขกับงานออฟฟิศเลย แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ด่วนสรุปความรู้สึกนั้น และให้โอกาสตัวเองค้นหาความสุขในสายอาชีพนี้อีกครั้ง โดยการสมัครงานที่บริษัทใน Silicon Valley เมือง San Francisco หวังจะได้เจอแรงบันดาลใจดีๆ จากเหล่าหัวกะทิของโลก อุตสาหกรรมที่เขาสนใจตอนนั้นคือเทคโนโลยี ยิ่งไปเจอเข้ากับ Bitcoin ทำให้เขาสนใจมันยิ่งขึ้น
1
อย่างไรก็ตาม ชีวิตก็ต้องพบเข้ากับความผิดหวังเมื่อเขาถูกปฏิเสธงานจากบริษัทเทคชื่อดังทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็น Google หรือ Facebook ซึ่งเขามองว่าเหตุผลที่ไม่ได้รับเลือกน่าจะเป็นเพราะประวัติการศึกษาและการทำงานที่ไม่ตรงต่อความต้องการในอุตสาหกรรม ข้อเสนองานที่ดีที่สุดในตอนนั้นก็คือตำแหน่ง Financial Consultant หรือที่ปรึกษาด้านการเงิน ซึ่งตรงกับด้านที่เขาเรียนมามากกว่า แม้ว่าจะไม่ใช่ตัวเลือกแรก แต่ก็ตกลงเข้าทำงาน
1
เขาจะใช้เวลาทุกเสาร์-อาทิตย์ ขับรถไปย่าน Silicon Valley เพื่อไปพบปะเพื่อนฝูงในสายเทคโนโลยี ในขณะที่ยังค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับ Bitcoin อยู่อย่างต่อเนื่อง จนมีอยู่วันหนึ่ง เพื่อนของเขาก็ได้ถามเขาว่าอยากจะพบกับ Dan Schatt ผู้บริหารระดับสูงของ Paypal ไหม?
#TheDots #Paypal #Entrepreneurship
ในวันเสาร์วันหนึ่ง ณ ร้านขายแพนเค้กในเมือง San Francisco เขาได้เข้าพบกับ Dan Schatt ตามที่เพื่อนเขาได้นัดไว้ให้ คำถามแรกที่เขายิงไปที่ผู้บริหารหนุ่มก็คือ คุณคิดอย่างไรกับ Bitcoin Dan ตอบกับเขาว่า Bitcoin จะมาเปลี่ยนแปลงโลก พร้อมถามพี่ท๊อปกลับว่ารู้เป้าหมายแรกของ Paypal ไหม เขาพูดต่อก่อนที่พี่ท๊อปจะตอบคำถามได้ Dan บอกว่าเป้าหมายแรกของ Paypal คือการสร้าง Digital Dollar ซึ่งในยุคนั้นอินเทอร์เน็ตยังไม่เป็นที่แพร่หลาย ไม่มีเทคโนโลยีรองรับระบบ Blockchain รวมถึงทุกคนยังไม่สามารถเข้าถึงมือถือได้ แต่ยุคของคนรุ่นใหม่อย่างพี่ท๊อปคือโอกาสทองมากๆ ในการพัฒนาโลกการเงินอนาคต
“การพบกับคุณแดนนับเป็นประสบการณ์ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ และผมเก็บเหตุการณ์นั้นไว้ในใจเสมอมา” พี่ท๊อปกล่าว
2
แต่ก่อนเป้าหมายเส้นทางอาชีพของพี่ท๊อปไม่กว้างเท่าไหร่ เพราะอยู่กับเพื่อนๆ ที่ทำงานในสายใกล้เคียงกัน พี่ท๊อปมองว่า สภาพแวดล้อมที่เราอยู่จะส่งผลต่อความคิดของเรา เขามักจะไปเที่ยวผับบาร์ต่างๆ ใน San Francisco เพื่อพบปะนักธุรกิจหน้าใหม่ ผู้คนมักจะถามถึงอาชีพว่าใครทำอะไรอยู่ที่ไหน ทุกคนก็จะตอบว่าเป็นเจ้าของธุรกิจและเล่าให้คนในวงฟังด้วยความตื่นเต้น ถึงแรงบันดาลใจในการทำธุรกิจของพวกเขา ว่าพวกเขาจะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกกับธุรกิจของพวกเขาได้อย่างไรบ้าง ซึ่งทำทำให้พี่ท๊อปพบกับเป้าหมายใหม่ นั้นคือการทำสตาร์ทอัพของตัวเอง
1
#Bitcoin: coins.co.th
ในปี 2014 พี่ท๊อปลาออกจากงานที่อเมริกาและกลับมาประเทศไทยเพื่อทำความฝันใหม่ของเขา เขาอยากจะสร้างสตาร์ทอัพกับสิ่งที่เขาสนใจอยู่ ในตอนนั้นเขาสนใจสองอย่าง นั้นก็คือการเงินและเทคโนโลยี บวกกับความหลงใหลในเงินดิจิทัล เขาจึงมุ่งมั่นที่จะสร้างสตาร์ทอัพที่จะมาดูแลเรื่องการซื้อขาย Bitcoin ในขณะนั้นพ่อแม่ของพี่ท๊อปก็เริ่มแสดงความกังวลต่ออนาคตการงานของลูกชาย เพราะนอกจากจะทำงานแต่ละที่ได้เพียงไม่กี่เดือนแล้ว ยังไม่เข้าใจเรื่องของ Bitcoin อีก ซึ่งพี่ท๊อปเองก็เข้าใจหากพ่อแม่จะไม่สบายใจ เพราะในช่วงนั้น “สตาร์ทอัพก็พึ่งเกิด Bitcoin ไม่ต้องพูดถึง”
2
ครอบครัวของพี่ท๊อปประกอบธุรกิจค้า-ขายเสื้อผ้าอยู่ที่ประตูน้ำ พี่ท๊อปใช้พื้นที่บนชั้นลอยของอาคารพาณิชย์ ตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีป้ายโลโก้บริษัทติดอยู่บนผนังกำแพงพร้อมกับโต๊ะเก่าๆ อีกหนึ่งตัว เปิดเป็นออฟฟิศของบริษัทเขา โดยตอนนั้นมีเขาเพียงคนเดียว ศึกษาทุกอย่างและค่อยๆ พาบริษัทเติบโตจากจุดเริ่มต้นนั้น ลูกค้าที่จะเข้ามาซื้อขาย Bitcoin ก็สามารถเข้ามาที่หน้าเว็บไซต์ได้ พี่ท๊อปบอกว่าตอนนั้นทุกอย่าง Manual ทั้งหมด เว็บเป็นเพียงหน้ากากให้คนซื้อ-ขาย ไม่มีกระเป๋าสตางค์จริงๆ หากมีออเดอร์เข้ามา เขาจะต้องรีบไปกดซื้อ-ขาย Bitcoin จากเว็บไซต์อื่นของต่างประเทศ และทำกำไรจากส่วนต่างของราคาเอา
นอกจากนั้น เขายังต้อง Multitask ตามอรรถรสของสตาร์ทอัพ ต้องทำเองทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการตลาด ปฏิบัติการ หรือ ลูกค้าสัมพันธ์ ไม่มีวันหยุดและขอบเขตงาน เพราะมีเพียงแค่เขาคนเดียวในบริษัท เขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องให้เงินเดือนตัวเอง ซึ่งเป็นอย่างนั้นประมาณหนึ่งปี อย่างไรก็ตาม เขาเก็บเงินสะสมเข้าบริษัทไว้เรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถเก็บได้จำนวนหนึ่ง จึงเริ่มวางแผนที่จะขยายทีมงาน ประกาศรับสมัครพนักงาน แต่ก็พบว่าไม่มีใครอยากมาทำงานกับเขาเลย...
#คนอื่นยังไม่เปิดใจ
1
มีหลายคนเข้ามาสัมภาษณ์งาน แต่ก็ต้องตกใจเมื่อเข้ามาเห็นสภาพบริษัทด้านการเงินที่ตั้งอยู่ในร้านขายเสื้อผ้าในประตูน้ำ ทุกคนจะแสดงท่าทีออกมาว่าไม่น่าไว้ใจ บางคนถึงกับถามว่าฟอกเงินหรือเปล่า จนสุดท้ายต้องขอให้ญาติสองคนที่ในตอนนั้นยังไม่มีงานทำเข้ามาช่วยเป็นลูกทีม เพราะตอนน้ันงานที่เข้ามาก็เริ่มใหญ่ขึ้น หากมีทีมใหญ่ขึ้น งานก็จะเดินได้เร็วยิ่งขึ้น
2
มีอยู่วันหนึ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้ส่งจดหมายออกไปยังทุกธนาคาร เตือนให้ประชาชนระวัง Bitcoin เพราะอาจจะเป็นแชร์ลูกโซ่ และมูลค่าจะเป็นศูนย์ พี่ท๊อปเองจำจดหมายฉบับนี้ได้แม่นมากๆ เพราะคนที่รับจดหมายไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นคุณพ่อของเขา พี่ท๊อปถามพวกเราว่า “คุณคิดว่าคุณพ่อจะเลือกเชื่อลูกชายที่หนีกลับประเทศมาเปิดบริษัทในประตูน้ำ หรือ ธนาคารแห่งประเทศไทย?" คุณพ่อขอร้องพี่ท๊อปให้เลิกธุรกิจและไปหางานอื่น ส่วนคุณแม่ก็กลุ้มใจหนัก เพราะพี่ท๊อปในตอนนั้นไม่มีเพื่อนเลย วันๆ จะหมกอยู่แต่ในร้าน ทำงานกับคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว
#คุณพ่อเริ่มเข้าใจ #บริษัทเริ่มใหญ่ขึ้น
อย่างไรก็ตาม คนในครอบครัวก็เริ่มจะเข้าใจมากขึ้น เมื่อมีอยู่วันนึงที่ครอบครัวจะต้องโอนเงินให้กับน้องสาวที่ศึกษาต่ออยู่ที่ประเทศอังกฤษ ในวันนั้นพี่ท๊อปอาสาเป็นคนโอน เพราะอยากจะแสดงให้พ่อเห็นว่าสิ่งที่เขาทำจับต้องได้ เขาเลือกที่จะโอนเงินให้น้องสาวโดยผ่านการใช้ Bitcoin ซึ่งผ่านไปไม่กี่นาที น้องสาวก็รีบโทรมาถามด้วยเสียงตกใจว่า "ทำไมถึงโอนเงินมาเกิน?" โดยปกติทางบ้านจะต้องโอนค่าใช้จ่ายจำนวน 2 แสนบาทให้กับน้อง แต่จะถูกหักราว 5% ระหว่างทางการโอนเงิน ซึ่งมาจากค่าใช้จ่ายที่จะต้องเสียให้กับธนาคาร อาทิ ค่าโอน และค่าดำเนินการ แต่สำหรับครั้งนี้ที่พี่ท๊อปโอนผ่าน Bitcoin เขากลับได้กำไรถึง 5% เหตุการณ์ครั้งนี้ก็ทำให้พ่อของเขาเริ่มเข้าใจมากขึ้น เห็นเทคโนโลยีและผลลัพธ์ที่จับต้องได้ รวมถึงประโยชน์ของมัน
5
จากนั้นบริษัทโตขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้พนักงานคนที่ 4 เข้ามาร่วมทีม ซึ่งเป็นคนรู้จักอีกเช่นเคย เขาจึงตัดสินใจย้ายออกจากร้านเสื้อผ้าของพ่อแม่ไปที่ Co-working space ย่านเอกมัย และแม้ว่าจะเป็นเพียงห้องเล็กๆ ที่จุได้แค่ 6 คน เขากลับรู้สึกภาคภูมิใจกับมันเหลือเกิน พี่ท๊อปเล่าว่า วันนั้นเป็นวันที่มีความสุขมาก เพราะเขามีออฟฟิศของตัวเองแล้ว แต่….
2
“ผมส่งคุณไปเรียนถึงมหาลัยอันดับ 1 ของโลก คุณจะมาเปิดบริษัทฟอกเงินหรอ”
คำพูดของคุณพ่อพี่ท๊อปหลังจากที่ได้อ่านจดหมายจาก สำนักงานปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ที่ต้องการเรียกตัวพี่ท๊อปให้เข้าไปอธิบายถึงสิ่งที่เขากำลังทำอยู่ ในตอนนั้นเอง พี่ท๊อปพยายามติดต่อบริษัทกฎหมายต่างๆ ทว่าก็ไม่มีใครยอมรับทำเคสนี้เลยเนื่องจากเป็นเรื่องที่ใหม่มากๆ สำหรับสังคมไทย ด้วยเหตุนี้ เขาก็ค่อยๆ เรียนรู้ ศึกษากฎหมาย ใช้เวลาถึงตี 2 ของทุกๆ วันในการหาความรู้ด้านกฏหมายเพื่อที่จะนำไปเสนอแก่ ปปง. ซึ่งในที่สุดเขาก็สามารถหาทางออกร่วมกันกับปปง. จนได้ นับเป็นเหตุการณ์ที่พี่ท๊อปรู้สึกเครียดที่สุดในชีวิต
“ตอนนั้นคิดว่าเรียน Oxford ยากแล้ว แต่เปิดบริษัทในสิ่งที่คนอื่นไม่เข้าใจยากกว่า เราเครียดมากขนาดขับไปดอนเมืองทุกวันศุกร์ ไปจิ้มเลือกไฟลท์เอาเลยให้โชคชะตากำหนดว่าจะไปไหน ไปอยู่คนเดียว แล้วค่อยกลับมาวันอาทิตย์ วนลูปอย่างนี้อยู่ 7 อาทิตย์”
แม้เหตุการณ์นั้นจะผ่านไปได้ด้วยดี ทว่าหลังจากนั้น เขาก็ยังได้รับจดหมายจากหน่วยงานรัฐอีกหลายหน ไม่ว่าจะเป็น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ต้องการทราบถึง Business Model ของบริษัท หรือกรมสรรพากรที่ต้องการทราบถึงรายละเอียดการจ่ายภาษี โดยช่วงนั้นกรมสรรพากรได้ส่งเจ้าหน้าที่มาตามดูที่ออฟฟิศถึง 3 เดือนเต็มๆ อย่างไรก็ตาม พี่ท๊อปก็ใช้แรงกายแรงใจในการฝ่าฟันวิกฤติมาได้ทั้งหมด ทว่าสิ่งหนึ่งที่ต้องแลกก็คือ “ทีม” เพราะเมื่อไรที่มีปัญหา คนในทีมบางคนก็เกิดอาการกลัวจนลาออกไป ทำให้พี่ท๊อปต้องคอยหาทีมใหม่อยู่ตลอด
“ทุกๆ Crisis จะมีพนักงานที่กลัว เขาไม่เชื่อเรา ลาออกไป เสียคนไปก็ต้องหาคนเข้ามาใหม่ เราสร้างทีมใหม่กันบ่อยมากๆ แต่โชคดีที่มันยังคงเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จากทีมงานแค่ 7 คน เติบโตเป็น 30 คน จนต้องย้ายบริษัทไปแถวชิดลม”
#เสียสละมามาก #ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
ย้อนกลับไปตอนที่เปิดบริษัทใหม่ๆ พี่ท๊อปใช้เวลา 12-14 ชั่วโมงต่อวันในการทำงาน เขาทำงานตลอด 7 วันโดยไม่มีวันหยุด ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาต่อสู้เพื่อบริษัทของเขามาโดยตลอด พี่ท๊อปยอมรับว่า สาเหตุหนึ่งที่เขาอยู่ตรงนี้ได้ เพราะเขาเป็นคนไม่ชอบความพ่ายแพ้ เขาเคยพิสูจน์ตัวเองแล้วสมัยที่เป็นเด็กไม่ตั้งใจเรียน ทุกวันนี้เขายังต้องเสียสละอีกหลายๆ เรื่อง เขาไม่มีเวลาส่วนตัวเลย แถมเวลาออกงานสังคม เขายังเจอคำถามมากมายจากคนรอบตัวว่าทำงานอะไร Bitcoin คืออะไร ฟอกเงินหรือไม่ เรียกได้ว่า เขาเข้าสังคมไม่ได้ เพื่อนๆ ครอบครัวของเขา หน่วยงานรัฐต่างไม่มีใครเข้าใจถึงสิ่งที่เขาทำอยู่เลย
5
“เราไม่ยอมแพ้ อาจจะเป็นเพราะเราไม่ชอบการแพ้ เพราะว่าหลังจากที่เราพิสูจน์ตัวเอง สมัยเป็นเด็กเกเรไม่ตั้งใจเรียน พอตั้งใจเรียน ทำให้รู้จักคำว่าเสียสละ คนอื่นเลือกไปปาร์ตี้ มีชีวิตวัยรุ่น เลือกบินกลับบ้านไปเจอครอบครัว แต่ผมเลือกที่จะเสียสละตรงนั้น เพื่อได้เป้าหมายในสิ่งที่ต้องการ สอบให้ได้เกรด 4 ได้เข้ามหาลัยดีๆ”
1
สุดท้ายก็ได้ Exit ออกมาต้อนต้นปี 2017
#จุดเปลี่ยน
ในวันที่ 1 เมษายน 2017 รัฐบาลญี่ปุ่นมีประกาศให้ Bitcoin ถูกต้องตามกฎหมาย ให้ประชาชนสามารถใช้แทนเงินสกุลเยนได้เลย ซึ่งในตอนนั้นทุกคนที่รู้จักเขาส่งข้อความเข้ามาหาเขาเยอะมาก พร้อมแสดงความยินดีกับเขา และชื่นชมในความอดทนของเขา พี่ท๊อปถูกรับเชิญให้ไปบรรยายกว่า 300 แห่ง ในระยะเวลา 1 ปี ไม่ว่าจะเป็นสถานศึกษา สถาบันการเงิน หรือหน่วยงานรัฐต่างๆ อีกทั้งยังเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังการตั้งกฎกติกา ข้อกฎหมายของการซื้อขาย Bitcoin และ Blockchain อีกด้วย
“ผมต้องไปเสนอให้กับบอร์ด กลต ฟังชั้นบนสุด แต่เพราะเคยไปพรีเซ้นท์หลายรอบแล้ว และครั้งนี้เขาเปิดใจ จึงสามารถดำเนินการสร้างความเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็ว ภายในไม่กี่เดือน เราพูดคุยกันว่าเราจะ Regulate วงการนี้อย่างไร แล้วทำไมเราถึงต้อง Regulate”
เมื่อรู้ว่ากฎหมายกำลังจะผ่าน เขาจึงรีบเตรียมตัวเปิดบริษัทใหม่ ภายใต้คอนเซปต์ Private Chain หรือการสร้างตลาดหลักทรัพย์ 2.0 ซึ่งตอนนั้นเขาเปิดบริษัทภายใต้ชื่อ Bitkub และได้ไประดมทุนกับนักลงทุนด้วยสไลด์อย่างเดียว ซึ่งนักลงทุนประเมินให้มูลค่าของ Bitkub สูงกว่า 525 ล้านบาท เพื่อแลกกับสัดส่วนหุ้น 16%
1
สำหรับการลงทุน 2 ปีแรกใช้เงินไป 87 ล้านบาท ขณะที่รายได้ก้าวกระโดดขึ้นจาก 3 ล้านบาท จนในปีที่ 3 เป็น 240 ล้านบาท พร้อมกับยังมีกำไรถึง 120 ล้านบาท เรียกว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีที่สามารถโตได้ด้วยกำไรของตัวเอง โดยไม่ใช้เงินนักลงทุน
“เราเป็นสตาร์ทอัพ ที่ไม่ Burn เงิน เรียกได้ว่าคืนทุนเร็ว หรือจะบอกว่าไม่ได้ใช้เงินของนักลงทุนเลยก็ได้ เรา Run Business on Profit ตลอด”
ปัจจุบัน Bitlkub มีบริษัทในเครือทั้งหมด 4 บริษัท ได้แก่ Bitkub Exchange, Bitkub Blockchain Technology, Bitkub Academy และ Bitkub Blockchain Security มีพนักงานรวมกว่า 152 คน และคาดว่าจะรับสมัครเพิ่มเป็น 200 ตำแหน่งภายในปลายปีนี้ นับเป็นสตาร์ทอัพด้านการเงิน ที่โตเร็วที่สุดในไทย
#เป้าหมายต่อไป
สำหรับก้าวต่อไปของพี่ท๊อปนั้น เจ้าตัวบอกว่า เขาอยากจะพา Bitkub ไปเป็นยูนิคอร์นสัญชาติไทยแท้แห่งแรกของประเทศให้ได้ นอกจากนั้น เขายังอยากเอาบริษัทของเขาเข้าตลาดหลักทรัพย์ให้ได้เนื่องจากเชื่อว่า มันควรจะเป็นของสาธารณะที่ให้ทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน ซึ่งการจะทำได้นั้น เขาเชื่อว่าไม่จำเป็นต้องระดมทุมเพิ่มด้วย เนื่องจาก Burn Rate ปัจจุบันอยู่ที่ 1 ใน 3 ของ Run Rate ของบริษัทเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากจะระดมทุน เขาจะตามหา Strategic Investor เท่านั้น เพราะเขาต้องการคนที่สามารถเข้ามาช่วยวางกลยุทธ์การเติบโตบริษัทได้ในวงกว้าง
ขณะเดียวกัน พี่ท๊อปเองก็มีแผนที่จะตีตลาดต่างประเทศเช่นกัน ทว่าอาจจะยังไม่ใช่ในอนาคตอันใกล้นี้ เนื่องจากเขาเชื่อว่า การจะไปเติบโตในต่างประเทศได้นั้น เขาต้องทำให้รากฐานในประเทศไทยเข้มแข็งให้ได้ก่อน เพราะความจริงแล้ว ครั้งหนึ่งเขาก็เคยพยายามจะไปตีตลาดที่ประเทศฟิลิปปินส์ ทว่าก็เจอกับปัญหามากมาย ทั้งการแย่ง Resource กัน แถมที่ฟิลิปปินส์และที่ไทยก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจกลับมาตั้งหลักและทำให้สำนักงานใหญ่ในประเทศไทยแข็งแรงเสียก่อน
“ในอนาคต เราขอเป็นตัวแทนคนไทย เป็นเจ้าของ Platform ไปบุกประเทศอื่นบ้าง เราจะไม่เป็นแค่ผู้ใช้อีกต่อไป”
1
#ฝากข้อคิดให้น้องๆคนรุ่นใหม่
“คุณควรจะทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำ สิ่งที่พวกเขาไม่เห็นแต่คุณเห็นมัน เราเรียกมันว่า Important Truth”
1
พี่ท๊อปบอกว่า ถ้าเราทำในสิ่งที่คุณอื่นไม่ทำ โอกาสของเราจะเยอะขึ้นมหาศาล หากคนอื่นบอกว่าไอเดียเราดี ผลักดันให้ทำมัน เราต้องไม่ทำตาม เพราะจะมีคนอีกเยอะมากที่คิดแบบนั้น
“คุณอย่าให้ Outer Voice มาเปลี่ยนแปลง Vision คุณ”
ทุกคนมีประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกัน ซึ่งมันคนละเส้นทางกับเรา อย่าให้คนอื่นทำให้เราเปลี่ยนความเชื่อของตัวเอง
1
“ถ้าอ่านข่าวหรือเรื่องราวเกี่ยวกับคนที่ประสบความสำเร็จ คุณจะเจอแต่เรื่องราวด้านดีๆ เพราะไม่มีใครมานำเสนอเรื่องแย่ๆ ของเขาหรอก”
การจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ เราต้องรับความเจ็บปวดได้ดี เพราะมันจะต้องมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราท้อใจ เราต้องรับให้ได้มากกว่าคนอื่น และกล้าที่จะเสียสละ
นี่คือ 3 สิ่งที่พี่ท๊อป CEO หนุ่มไฟแรงฝากไว้ให้กับคนรุ่นใหม่
#careerfact
…………………………
สามารถติดตามเรื่องราวดีๆ ต่อได้ที่ Career Fact เพราะทุกอาชีพ... มีเรื่องราว (อย่าลืมกด See First เพื่อไม่ให้พลาดคอนเท้นท์ดีๆ)
1
โฆษณา