Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Career Fact
•
ติดตาม
2 ก.ย. 2020 เวลา 01:00 • ธุรกิจ
คุณจะยอมแพ้ไหม? ถ้าคุณทำธุรกิจแล้วเจ๊งถึงสองครั้ง คุณจะลุกขึ้นมาได้อย่างไร? ในวันที่บริษัทกำลังจะไปไม่รอด และคุณต้องทุ่มเงินส่วนตัวเกือบทั้งหมดมาใช้ประคองบริษัทให้ไปต่อ นี่คือเรื่องราวของการล้มลุกคลุกคลานของสตาร์ทอัพไทย Globish โกลบิช ภาษาอังกฤษสำหรับวัยทำงาน สถาบันสอนภาษาอังกฤษที่เริ่มต้นจากอุดมการณ์ในการมอบการศึกษาที่ดีและราคาจับต้องได้ให้เบ่งบานในประเทศไทย
#จุดเริ่มต้น
Globish คือสถาบันสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ ซึ่งใช้ Business Model ที่ประสบความสำเร็จมาจากประเทศญี่ปุ่น โมเดลที่ว่าคือการเรียนภาษาอังกฤษกับครูชาวฟิลิปปินส์ผ่านวิดีโอคอลไร้สาย โดย “คุณทรอย” เพื่อนจากค่าย Asian Leadership Academy และ CEO คนปัจจุบันของ Globish ได้ชักชวนคุณจุ๊ยให้มาร่วมงานกัน ในตอนนั้นคุณจุ๊ยกำลังรอผลสมัครงานที่ UNIQLO รู้สึกถูกชะตากับคุณทรอย บวกกับกำลังว่างงาน เมื่อถูกชวนให้มาร่วมงานจึงตัดสินใจเข้าร่วมทันที แม้จะไม่ได้มี Passion ด้านการศึกษาก็ตาม Globish กำเนิดจากไอเดียของนายทุนญี่ปุ่นท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ให้เงินลงทุนแรกเริ่ม หรือ Pre-Seed Investment จำนวน 1 ล้านบาทกับคุณทรอย โดยในช่วงเริ่มต้น Globish แบ่งบริษัทอยู่สองประเทศ ทางฝั่งฟิลิปปินส์จะดูแลการสมัครคุณครู ส่วนทางประเทศไทยจะเน้นไปที่การหานักเรียน
#UNIQLOorGlobish?
ในระหว่างที่ปั้น Globish ให้เติบโตนั้นคุณจุ๊ยก็ยังทำ UNIQLO ไปด้วย ด้วยการทำงานเป็นกะเวลาจึงสามารถจัดตารางชีวิตได้ง่าย ช่วงนอกเวลางานและวันหยุดเธอจะมอบให้กับ Globish ทำอยู่อย่างนั้นถึง 4 เดือนเต็มจึงตัดสินใจลาออกและมาทุ่มให้ Globish เต็มตัว เธอเก็บเงินจากโปรแกรม Manager Candidate ได้ค่อนข้างเยอะ ในขณะที่นายทุนญี่ปุ่น (ที่ขณะนั้นถือหุ้น Globish 100%) ก็ยังให้เงินเดือนเธอด้วย ทำให้เก็บเงินได้หลายแสน จนกระทั่ง Globish ขาดสภาพคล่องและนายญี่ปุ่นหยุดให้เงินลงทุน คุณจุ๊ยตัดสินใจไม่รับเงินเดือนนานถึง 6 เดือน และถอนเงินเก็บในบัญชีออกมาช่วย Globish จนเหลือเงินในบัญชีเพียงหลักร้อย ตอนนั้นเธอเชื่อมากๆ ว่าธุรกิจจะเติบโตขึ้นได้อีก
#สุดท้ายGlobishก็เจ๊ง!
แม้ว่าทางฟิลิปปินส์จะสามารถหาคุณครูมาสอนได้กว่า 400 คน แต่ทางฝั่งไทยใช้เงินสนับสนุนจากญี่ปุ่นไปกว่า 1 ล้านบาท แต่ก็ยังไม่สามารถหาคนมาเรียนได้เลย เมื่อไม่เห็นความคืบหน้า ทางฝั่งนายทุนญี่ปุ่นจึงหยุดการให้เงินทุน ทั้งคู่จึงต้องหาหนทางว่าจะทำยังไงให้ได้เงินทุนเพิ่ม ทางรอดของทั้งสองคนในตอนนั้นคือการพา Globish ไปสู่สายตานักลงทุนและไปร่วมงานสัมนาเพื่อเจรจาธุรกิจ การเข้าร่วมงานสัมนาในครั้งนั้นคือจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของ Globish
#จุดเปลี่ยน
ที่นั่นพวกเขาได้พบเข้ากับ คุณพจน์และคุณออม และหลังจากนั้นก็ติดต่อกันเป็นประจำ และมักนัดเจอกันตามบาร์ยามค่ำคืน รุ่นพี่ทั้งสองได้สอนความรู้เกี่ยวกับสตาร์ทอัพมากมาย และชวนทั้งคู่ไปออดิชั่นรายการ “เสือติดปีก” รายการที่นักธุรกิจสตาร์ทอัพมาร่วม Pitch ธุรกิจต่อหน้าคณะกรรมการ โดยผู้ชนะจะได้รับเงินทุนไปสานต่อธุรกิจ เมื่อได้รับคำแนะนำจากรุ่นพี่ทั้งคู่เลยมีไฟที่จะปั้น Globish ให้ไปต่อ ก่อนที่จะเข้าร่วมรายการเสือติดปีก คุณจุ๊ยและคุณทรอยได้ตัดสินใจเจรจากับนายทุนญี่ปุ่นว่าจะขอปรับสัดส่วนการถือหุ้น จากนายทุนถือ 100% ปรับเป็น 10% และทั้งสองจะถือหุ้นในสัดส่วน 90% เพื่อไประดมทุนกับนักลงทุนต่อไป ซึ่งคำตอบที่ได้รับก็เกินความคาดหมายมากๆ เพราะนายทุนตอบตกลงกลับมา
“นายทุนญี่ปุ่นคือผู้ก่อตั้ง Globish เป็นผู้เริ่ม Passion ที่แท้จริง และนำเงินส่วนตัวมาลงทุน บินไปกลับญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์อยู่บ่อยๆ สุดท้ายก็ยอมรับข้อเสนอเพราะมีอุดมการณ์อยากช่วยประเทศที่กำลังพัฒนา ให้เยาวชนในประเทศนั้นๆ ได้รับการศึกษาที่ดีขึ้น” พี่จุ๊ยกล่าว
#เงินทุนและการเติบโตของเพจGlobishอังกฤษแนวใหม่ใครๆก็พูดได้
ในขณะที่ธุรกิจกำลังล้มลุกคลุกคลาน คุณจุ๊ยและคุณทรอยก็พยายามประคองบริษัทไว้หลายวิธี ทั้งทดลองทำคอร์สสำหรับคนพิการ ไปจนถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญคือการคือการรับผลิต OEM สื่อการสอนให้กับ “คุณชัย ชัยพนธ์ ชวาลวณิชชัย” เจ้าของสถาบันสอนภาษาอังกฤษ Mind English ในขณะนั้นและเจ้าของเพจ ENG Me Please โดยมีคุณชัยเป็นผู้หาลูกค้า และทั้งสองจัดทำสื่อการสอนและหาคุณครู ทำให้แม้ทั้งคู่จะไม่มีความรู้ทางด้าน Digital Marketing เลย แต่ก็สามารถทำเงินได้กว่า 500,000 บาท และใช้งบการตลาดเพียงศูนย์บาทเท่านั้น
ทั้งคู่ยกเหตุการณ์นี้ขึ้นมาเล่าเป็นไม้ตายและถามนักลงทุนเหล่านั้นว่า ด้วยงบศูนย์บาทยังทำกำไรได้มากขนาดนั้น หาก Globish มีงบประมาณการตลาด Globish จะสามารถเติบโตได้ขนาดไหน ทั้งคู่คว้าชัยชนะจากรายการเสือติดปีกในท้ายที่สุด ได้รับเงินจากนักลงทุนกว่า 4 ล้านบาท จากนั้นตัดสินใจขอซื้อเพจ ENG Me Please จากคุณชัยซึ่งในขณะนั้นมียอดไลค์กว่าแสนไลค์แลกกับหุ้น Globish และขอบริหารเพจต่อเอง โดยเปลี่ยนชื่อจาก ENG Me Please เป็น Globish อังกฤษแนวใหม่ใครๆ ก็พูดได้ และเป็น Globish โกลบิช ภาษาอังกฤษสำหรับวัยทำงาน ในปัจจุบัน
#ผิดจากที่วางแผนไว้
ทั้งคู่บอกในรายการว่าคอร์สเรียนของ Globish ราคาเพียง 80 บาทเท่านั้น จึงคาดหวังว่าหลังจากเสือติดปีกออกอากาศ คนจะต้องซื้อคอร์สถล่มทลาย แต่ในความเป็นจริงยอดขายกลับไม่ได้พุ่งขึ้นตามที่คิดไว้ อย่างไรก็ตามทั้งคู่พบพฤติกรรมที่น่าสนใจของลูกค้านั่นคือ การโทรเข้ามาสอบถามก่อนตัดสินใจ ผนวกกับในตอนนั้นมีเด็กแลกเปลี่ยนชาวต่างชาติจากโครงการ AIESEC เข้ามาฝึกงานที่บริษัทและอาสาวัดระดับภาษาของลูกค้าให้ คุณจุ๊ยจึงสร้างกลยุทธ์ใหม่โดยเริ่ม Customer Journey จากการให้ผู้สนใจได้วัดระดับภาษาจากชาวต่างชาติจริงๆ มาผสานกับงานขายและการให้คำปรึกษา วิธีนี้ทำให้ยอดการเติบโตพุ่งสูงมาก
“ทุกอย่างเกิดขึ้นจากความบังเอิญและการไม่มองข้ามทุกโอกาสที่เข้ามา การจัดทีม Sales + Consultant ขึ้นมาเป็นหมากที่สำคัญมากๆ เพราะตามหลักการตลาดแล้ว มันคือการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึก หรือ Consumer Insight ได้ดีมากๆ” คุณจุ๊ยกล่าว และนี่ยังเป็นกลยุทธ์ที่สร้างลูกค้าให้ Globish มาจนถึงปัจจุบัน
#ทำไมถึงยังอยากทำในเมื่อจะเจ๊งหลายรอบ?
คุณจุ๊ยเชื่อใน Pain Point มากๆ เพราะตนเองพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ ทุกวันนี้ก็ยังพูดให้เหมือนเจ้าของภาษาไม่ได้สักที จึงมี Pain Point จากชีวิตส่วนตัวในสมัยเด็กที่อยากเรียนภาษาอังกฤษมาก แต่คอร์สมีราคาสูง และเคยมีประสบการณ์ไม่ดีจากสถาบันราคาถูกมาก่อน
“มันต้องมีคนแบบเรา ที่อยากเรียนภาษาอังกฤษ แต่หาที่เรียนไม่ได้”
“ที่ถูกๆ ก็ไม่ดี ที่แพงๆ ก็จ่ายไม่ไหว”
คุณจุ๊ยเคยไปนั่งอยู่หน้าสถาบันสอนภาษาในสยาม เพราะอยากทำ Consumer Interview สัมภาษณ์ไปกว่าร้อยคนจนได้ข้อสรุปมาว่า คนไม่ได้อยากเรียนภาษาอังกฤษเพราะอยากพูดได้ แต่อยากเรียนเพราะอยากเลื่อนขั้น อยากช่วยคนอื่น หรืออยากไปเที่ยวต่างประเทศ การทำ Market Research เชิง Qualitative แบบนี้ทำให้มีข้อมูลมากกว่าสถาบันสอนภาษาอังกฤษอื่นๆ
#เจอคู่แข่ง #จะเลิกหรือไปต่อ?
คนส่วนใหญ่ที่ทำธุรกิจแล้วเจ๊ง มักติดกับดักชุดความคิดที่ว่าต้อง “สมบูรณ์แบบ” ซึ่งการทำบางอย่างให้ออกมาสมบูรณ์ไร้ที่ติมักจะใช้เงินเยอะและใช้เวลานาน ไม่ตอบโจทย์การเป็นสตาร์ทอัพที่ต้องเคลื่อนตัวให้ไว อีกทั้งยังต้องเปิดรับสิ่งใหม่ๆ และลองทำอะไรที่แหวกจากความกลัวบ้าง เช่น หลายคนไม่รู้ว่า CTO ของบริษัท 4 ปีที่แล้วคือนักศึกษาคณะวิศวะกรรมศาสตร์ชั้นปีที่สอง หรือตอนที่ Globish เคยมีระบบการจองเวลาที่ยังไม่ดีนัก คุณจุ๊ยก็ลอกไอเดียที่คิดว่าเวิร์คมาจากคู่แข่งเอาดื้อๆ เลย
“การปรับตัวเป็นสิ่งสำคัญมาก เราต้องเป็นนักปรับตัวแห่งชาติ ต้องสังเกตดูคู่แข่งและปรับใช้สิ่งที่ดี” คุณจุ๊ยกล่าว
ครั้งหนึ่ง Globish เคยไปขายงานกับนักลงทุน แต่กลับต้องตะลึงจนกลับมาประชุมด่วนที่บริษัท เพราะเจอคู่แข่งที่ขายคอร์สราคาถูกกว่าครึ่งหนึ่ง เย็นนั้นคุณจุ๊ยและคุณทรอยถามทุกคนในห้องประชุมว่า จะเลิกหรือไปต่อ? ทุกคนก็ตกตะกอนทางความคิดจนเจอจุดแตกต่างของ Globish “เป้าหมายของนักเรียนแตกต่างกัน เราไม่ได้อยากทำของที่ถูกที่สุด แต่เราจะทำของที่ดีที่สุดและแตกต่าง” คุณจุ๊ยกล่าว
ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่มี Passion ในด้านการศึกษา แต่เมื่อได้เข้ามาลงมือทำ ได้สัมผัส และพบเจอเรื่องราวความสำเร็จของนักเรียน เธอจึงได้พบว่า นั่นแหละคือความสำเร็จที่แท้จริงของ Globish
#careerfact
…………………………
สามารถติดตามเรื่องราวดีๆ ต่อได้ที่ Career Fact เพราะทุกอาชีพ... มีเรื่องราว (อย่าลืมกด See First เพื่อไม่ให้พลาดคอนเท้นท์ดีๆ)
Subscribe Career Fact -
https://bit.ly/CareerFactYT
Facebook -
https://bit.ly/CareerFactFB
Blockdit -
https://bit.ly/CareerFactBD
5 บันทึก
11
7
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
Explained Article | บทความเจาะลึกแนวคิดผู้นำ
5
11
7
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย