15 ก.ย. 2020 เวลา 09:29 • ประวัติศาสตร์
“บ้านนรสิงห์” ญี่ปุ่นไม่เคยขอเช่า เจ้าของไม่ได้อยากขาย แต่รัฐบาลอยากจะได้เอาไว้เอง?
"ตึกไกรสร" ภายในบ้านนรสิงห์ ภาพถ่ายเมื่อคราวฉลองพระนคร 150 ปี พ.ศ. 2475 ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "ตึกไทยคู่ฟ้า"
บ้านนรสิงห์ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของทำเนียบรัฐบาลนั้น ครั้งหนึ่งเคยเป็นทรัพย์สินของเจ้าพระยารามราฆพ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) ซึ่งได้รับพระราชทานที่ดินแปลงดังกล่าวจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ โดยพระองค์ได้มีพระราชหัตถเลขายืนยันการพระราชทานที่ดินแปลงนี้ไว้ มีความดังนี้
“ที่ดินซึ่งได้ทำเปนสวนเพาะปลูกพรรณไม้ต่างๆ อันอยู่หลังโรงทหารราบที่ ๑ (มหาดเล็กรักษาพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ตำบลสวนดุสิตแปลงหนึ่งนี้เปนที่ของพระคลังข้างที่ มีจำนวนกว้างยาวคือ ทิศเหนือยาวไปตามถนนคอเสื้อ ๔ เส้น ๑๕ วา ๒ ศอกคืบ ทิศใต้ยาวไปตามถนนลูกหลวง ๔ เส้น ๑๑ วา ทิศตวันออกยาวไปตามถนนฮก ๖ เส้น ๗ วา ๒ ศอกคืบ ทิศตวันตกจดคลองแลยาวไปตามคลอง ๖ เส้น ๓ วาศอก…
ข้าพเจ้าเห็นว่าพระยาประสิทธิศุภการ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) เปนผู้ที่ได้รับใช้ใกล้ชิดกราดกรำมาด้วยความจงรักภักดีอันมั่นคงต่อข้าพเจ้ามาช้านาน บัดนี้สมควรจะให้ที่บ้านอยู่เพื่อความศุขสำราญจะได้เปนกำลังที่จะรับราชการสืบไป จึงทำหนังสือสำคัญฉบับนี้ยกที่ดินอันกล่าวมาแล้วข้างต้นให้เปนสิทธิเปนทรัพย์แก่พระยาประสิทธิศุภการ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) สืบไป พระยาประสิทธิศุภการ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) จะปลูกสร้างเปลี่ยนแปลงในที่รายนี้ ฤๅจะซื้อขายให้ปันแก่ผู้หนึ่งผู้ใดก็ตามแต่ใจพระยาประสิทธิศุภการ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) ทุกประการ แต่ข้าพเจ้าขอคงอำนาจไว้ว่า ถ้าข้าพเจ้าเห็นว่า พระยาประสิทธิศุภการ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) ประพฤติตนไม่สมควรจะปกปักรักษาที่นี้ได้เมื่อใด ฤๅข้าพเจ้าเห็นสมควรจะแลกเปลี่ยนอย่างหนึ่งอย่างใด ข้าพเจ้ามีอำนาจจะเรียกคืนที่รายนี้ฤๅแลกเปลี่ยนได้ทุกเมื่อทุกเวลา เว้นแต่ผู้หนึ่งผู้ใดจะมาถือเอาอำนาจอันนี้ เพื่อคืนฤๅแลกเปลี่ยนเอาที่รายนี้จากพระยาประสิทธิศุภการ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) ฤๅจากผู้หนึ่งผู้ใดที่จะได้รับทรัพย์มรฎกของพระยาประสิทธิศุภการ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) ไม่ได้เปนอันขาด ถ้าพระเจ้าแผ่นดินฤๅผู้ใดผู้หนึ่งที่มีอำนาจจะต้องประสงค์ที่รายนี้ด้วยเหตุหนึ่งเหตุใด ก็ขอให้พระยาประสิทธิศุภการ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) ได้รับพระราชทานราคาตามสมควรแก่ที่นี้เถิด
หนังสือสำคัญฉบับนี้ ได้ลงชื่อแลประทับพระราชลัญจกรสำหรับแผ่นดินแลสำหรับตัวข้าพเจ้ามอบให้ พระยาประสิทธิศุภการ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) รักษาไว้ แลได้คัดสำเนาความต้องกันมอบให้เจ้าพนักงานกรมพระคลังข้างที่รักษาไว้เปนพยานด้วยฉบับหนึ่ง”
ภายหลังที่ดินดังกล่าวได้ตกมาเป็นของรัฐบาลไทย โดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอ้างว่า เมื่อครั้งที่เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา พ.ศ. ๒๔๘๔ ญี่ปุ่นได้มาขอเช่าบ้านหลังนี้ก่อน ต่อมาในเดือนมีนาคม “ปีเดียวกัน” เจ้าพระยารามราฆพจึงได้มีหนังสือไปถึงรัฐมนตรีกระทรวงการคลัง ซึ่งเอกสารของสำนักเลาขาธิการคณะรัฐมนตรีระบุว่าเป็น “ปรีดี พนมยงค์” แสดงความจำนงที่จะขายที่ผืนนี้ให้กับรัฐบาลเนื่องจากเห็นว่าบ้านใหญ่โตเกินฐานะ ค่าบำรุงรักษาสูง แต่กระทรวงการคลังปฏิเสธ ครั้นถึงเดือนกันยายน “ปีเดียวกัน” จอมพล ป. พิบูลสงคราม เห็นว่าควรซื้อที่ผืนนี้ไว้เพื่อทำเป็นสถานที่รับรองแขกเมือง
แต่ในบทความ “พลิกตำนานบ้านนรสิงห์ และบ้านบรรทมสินธุ์” โดย วรชาติ มีชูบท (นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับตุลาคม ๒๕๕๘) ชี้ว่า ข้อมูลของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนั้น “ขัดแย้งกันเอง” โดยตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องญี่ปุ่นขอเช่าบ้านนรสิงห์เป็นสถานทูตนั้นน่าจะไม่ได้เกิดขึ้นจริง คล้ายกับกรณีที่กระทรวงการคลังประสงค์จะซื้อที่ดินสถานทูตอังกฤษ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๔ ก็มีการอ้างว่า ต้องรีบซื้อเพราะ “ญี่ปุ่น” สนใจอยู่ ซึ่งเมื่อพระยาอนิรุทธเทวา (หม่อมหลวงฟื้น พึ่งบุญ) ไปสืบความตามรับสั่งของรัชกาลที่ ๖ กลับไม่พบหลักฐานว่า ญี่ปุ่นมีความสนใจที่จะซื้อที่ดินดังกล่าวจริง
และเงื่อนเวลาก็เป็นปัญหา เพราะสงครามมหาเอเชียบูรพา เริ่มขึ้นเมื่อญี่ปุ่นบุกถล่มเพิร์ลฮาร์เบอร์ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๔๘๔ (เวลาท้องถิ่น) และได้ยกพลขึ้นบกที่ไทยเมื่อเช้ามืดวันที่ ๘ ธันวาคม ถัดมาอีกแปดวัน สภาผู้แทนราษฎรก็มีมติตั้งให้ ปรีดี พนมยงค์ เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
ด้วยเหตุนี้ การที่สำนักเลขาธิการฯ อ้างว่า เจ้าพระยารามราฆพทำหนังสือเสนอขายที่แปลงดังกล่าวเมื่อเดือนมีนาคมปี ๒๔๘๔ ต่อ ปรีดี พนมยงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง หลังเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพาจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะเมื่อเดือนมีนาคม ยังมิได้เกิดสงครามแต่อย่างใด หรือหากข้อความดังกล่าวเกิดจากการระบุปีผิด ที่ถูกควรเป็น มีนาคม “๒๔๘๕” ถึงอย่างนั้น ปรีดี ก็มิได้อยู่ในฐานรัฐมนตรีฯ แล้ว แต่เป็นผู้สำเร็จราชการฯ
เรื่อง “ราคา” ก็เป็นอีกประเด็นที่ วรชาติ เห็นว่าผิดสังเกต เนื่องจาก สำนักเลขาธิการฯ ระบุว่า รัฐบาลได้ซื้อบ้านนรสิงห์ และบ้านบรรทมสินธุ์ (ปัจจุบันคือบ้านพิษณุโลก เดิมรัชกาลที่ ๖ พระราชทานให้ พระยาอนิรุทธเทวา [หม่อมหลวงฟื้น พึ่งบุญ]) มาจากเจ้าของเดิมในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ รวมที่ดิน ๒ แปลงเป็นเนื้อที่กว่า ๕๐ ไร่ พร้อมตึกใหญ่โอ่อ่าถึงสองหลัง และอาคารบริวารอีกจำนวนมากด้วยราคาเพียง ๑.๕ ล้านบาทเท่านั้น แต่เมื่อสงครามโลกสิ้นสุดลงไม่นาน พระยาอนิรุทธเทวาสามารถขายที่ดินส่วนที่เหลือในบริเวณบ้านบรรทมสินธุ์ซึ่งเป็น “ที่เปล่า” ราว ๒๕ ไร่ กับเรือนหลังเล็กอีกไม่กี่หลังให้แก่นายแพทย์ชาวตะวันตกเพื่อใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างโรงพยาบาลมิชชั่นในราคา “หลายล้านบาท”
นอกจากนี้ วรชาติ ยังสันนิษฐานว่า “การซื้อขายบ้านนรสิงห์และบ้านบรรทมสินธุ์ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐบาลนั้นคงจะมิได้เกิดขึ้นจริง” แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในเวลานั้นคงจะใช้อำนาจเรียกคืนบ้านทั้งสองหลังคืน ด้วยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. ๒๔๗๙ โดยอ้างสิทธิ์ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสงวนไว้ในพระราชหัตถเลขาพระราชทานที่ดินที่ว่า “ข้าพเจ้าขอคงอำนาจไว้ว่า ถ้าข้าพเจ้าเห็นว่า พระยาประสิทธิศุภการ (หม่อมหลวงเฟื้อ พึ่งบุญ) ประพฤติตนไม่สมควรจะปกปักรักษาที่นี้ได้เมื่อใด ฤๅข้าพเจ้าเห็นสมควรจะแลกเปลี่ยนอย่างหนึ่งอย่างใด ข้าพเจ้ามีอำนาจจะเรียกคืนที่รายนี้ฤๅแลกเปลี่ยนได้ทุกเมื่อทุกเวลา”
วรชาติ สันนิษฐานว่า การเรียกคืนในครั้งนั้น “คงจะไม่มี ‘การพระราชทานราคาตามสมควรแก่ที่นี้’ ให้แก่เจ้าพระยารามราฆพ ดังที่ระบุไว้ ในพระราชหัตถเลขาพระราชทานที่ดินดังกล่าว เจ้าพระยารามราฆพจึงคงจะไปร้องขอให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ในฐานะผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. ๒๔๗๙ อีกคนหนึ่ง เข้าซื้อบ้านนรสิงห์และบ้านบรรทมสินธุ์ไว้เป็นสมบัติของรัฐบาล
เมื่อเป็นที่ตกลงกันแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม จึงได้ขอให้คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มีบัญชาให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จ่ายเงินให้แก่เจ้าพระยารามราฆพและพระยาอนิรุทธเทวา เป็นจำนวน ๑ ล้านบาท และ ๕๐๐,๐๐๐ บาท ตามลำดับ”
ด้วยเหตุนี้ หากข้อเท็จจริงเป็นไปดังข้อสันนิษฐานของวรชาติแล้ว การ “ขาย” ที่ดินของเจ้าพระยารามราฆพ และพระยาอนิรุทธเทวา จึงอาจมิได้เกิดขึ้นด้วยความสมัครใจ หากแต่ด้วยทั้งคู่ตกอยู่ภายใต้สภาพจำยอม จึงต้องยอมรับเงินจากรัฐอันมีลักษณะคล้ายกับค่าชดเชยที่ดินที่ถูกเวนคืน ซึ่งมีมูลค่าต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงเป็นอย่างมาก
อ้างอิง: วรชาติ มีชูบท. “พลิกตำนานบ้านนรสิงห์ และบ้านบรรทมสินธุ์” ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๓๖ ฉบับที่ ๑๒ (ตุลาคม ๒๕๕๘)

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา