Blockdit Logo (Mobile)
Healthy Hub
•
1 ต.ค. 2020 เวลา 11:56 • สุขภาพ
อย่าเข้าใจผิดคิดว่า " น้ำเกลือ" เป็นยาบำรุง
1
มีหลายๆคนยังเข้าใจผิดตรงนี้อยู่นะคะ ว่าน้ำเกลือที่คุณหมอให้ตามโรงพยาบาลนั้น สามารถช่วยให้คนไข้แข็งแรงขึ้นและบำรุงร่างกาย บางคนอ่อนเพลีย มาโรงพยาบาล ต้องการ  Admit นอนโรงพยาบาลเพื่อให้คุณหมอ ให้น้ำเกลือจะได้มีแรง  หรือขอผงเกลือแร่กลับนำไปชงดื่มที่บ้านเวลาที่รู้สึกป่วยและอ่อนเพลีย ใครที่กำลังคิดแบบนี้ คิดผิดอยู่นะคะ !
1
ผู้ป่วยบางรายยังเข้าใจผิดคิดว่าน้ำเกลือหรือน้ำเกลือแร่ (ทั้งแบบให้ทางหลอดเลือดดำ และแบบผงชงดื่ม) มีไว้สำหรับแก้อ่อนเพลีย ช่วยบำรุงกำลัง ทำให้ร่างกายสดชื่นแข็งแรง ซึ่งมันอาจจะถูกต้องอยู่แค่บางส่วนนะคะ
1
🚑🚑🚑🚑🚑🚑🚑🚑🚑🚑🚑🚑🚑🚑🚑🚑🚑🚑
ฟางจะบอกว่า . . .
น้ำเกลือจำเป็นเมื่อ . .
ในกรณีที่ร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่เป็นจำนวนมาก เช่น เมื่อท้องเสียรุนแรง อาเจียนมาก อยู่ในภาวะที่กินอาหารไม่ได้ ถูกไฟไหม้ น้ำร้อนลวกทั้งตัว หรือเสียเลือดเสียเหงื่อมาก การให้น้ำเกลือก็เป็นสิ่งจำเป็นค่ะ แต่การให้น้ำเกลือต้องมีความระมัดระวังเป็นอย่างมาก และอยู่ในภายใต้การดูแลของแพทย์ ให้สุ่มสี่สุ่มห้าไม่ระมัดระวัง ก็อาจเกิดโทษได้ โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยโรคตับ โรคไต หรือโรคหัวใจ แบบนี้เป็นต้น
2
🏥🏥🏥🏥🏥🏥🏥🏥🏥🏥🏥🏥🏥🏥🏥🏥🏥🏥
2
🌟 ยกตัวอย่าง 🌟
1
Ex. มีผู้ป่วยรายหนึ่งมาหาหมอด้วยอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ไม่มีแรง ตัวผู้ป่วยคิดว่ามาหาหมอเพื่อให้หมอให้น้ำเกลือแล้วอาการจะดีขึ้น  แต่เมื่อหมอมาตรวจดูร่างกายของคนไข้แล้วพบว่า
2
ผู้ป่วยค่อนข้างซูบซีด เหนื่อยง่าย ผิวแห้ง ความดันโลหิตสูงกว่าปกติ ปอดชื้น หัวใจเต้นเร็วและแรง บ่งถึงภาวะหัวใจล้มเหลว ประกอบกับมีผิวแห้ง ลักษณะซีดโลหิตจาง ทำให้นึกถึงภาวะไตวายเรื้อรัง หากหมอเติมน้ำเกลือให้ตามที่ผู้ป่วยร้องขอก็จะยุ่งกันไปใหญ่ หัวใจจะทำงานหนักและล้มเหลวมากขึ้นจนอาจเสียชีวิตภายในเวลาอันรวดเร็วได้ค่ะ
3
💉💉💉💉💉💉💉💉💉💉💉💉💉💉💉💉💉💉
สมดุลของน้ำในร่างกาย
https://pin.it/4h43iw1
คราวนี้เรามาดูกันว่า ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำประมาณร้อยละ 70 ในเลือดมีน้ำเป็นองค์ประกอบประมาณร้อยละ 92 ในสมองมีน้ำเป็นองค์ประกอบประมาณร้อยละ 73 ถ้าพิจารณาแล้วในร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำประมาณร้อยละ 60 ของน้ำหนักตัว ซึ่งมีอยู่ในทุกส่วนของเซลล์ (ทั้งภายในและภายนอกเซลล์) และในเนื้อเยื่อทุกชนิดของร่างกาย อีก 40% ที่เหลือเป็นเนื้อเยื่อที่เป็นของแข็ง
แต่ไม่ใช่น้ำเปล่าๆ นะคะ  เป็นน้ำเกลือแร่ ที่มีความเข้มข้นพอเหมาะ 😏
ในร่างกายส่วนที่เป็นน้ำหรือของเหลว จะมีเกลือแร่ ในรูปแบบของอีเล็กโทรไลท์(Electrolyte) ที่ช่วยคงสมดุลของ/ของเหลว/น้ำและเกลือแร่ในร่างกาย (สมดุลของน้ำและเกลือแร่ /Water electrolyte balance หรือ สมดุลของของเหลวและเกลือแร่/ Fluid electrolyte balance) คงความเป็นกรด-ด่าง ที่ช่วยให้การทำงานของอวัยวะต่างๆเป็นไปอย่างปกติ โดยเฉพาะ สมอง หัวใจ กล้ามเนื้อ และไต โดยเกลือแร่ที่สำคัญที่สุด มี 3 ตัว คือ โซเดียม (Sodium ย่อว่า N หรือ Na) โพแทสเซียม/โปแตสเซียม (Potassium ย่อว่า K) และ แคลเซียม (Calcium ย่อว่า Ca)
1
เมื่อเราเสียน้ำเกลือแร่ออกจากร่างกายไปมากๆ เช่น ท้องเสียรุนแรง อาเจียนมาก ก็จำเป็นต้องใช้น้ำเกลือแร่มาชดเชยส่วนที่เสียไป ถ้าดื่มไม่ได้ก็ต้องเติมเข้าทางหลอดเลือดดำ หรือสวนเข้าทางทวารหนัก ซึ่งปริมาณและความเข้มข้นของเกลือแร่ที่ใช้ก็ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการป่วย
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐
โดยมีข้อแนะนำดังนี้
- ถ้าเล่นกีฬากลางแจ้งแล้วเหงื่อออกมาก ใช้ผงเกลือแร่ 1 ซองต่อน้ำ 1 ลิตร ดื่มเมื่อกระหาย
1
- ถ้าอาเจียนมาก กินไม่ได้ ใช้น้ำเกลือแบบหยดเข้าหลอดเลือดดำ หรือใช้ผงเกลือแร่ 2 ซองต่อน้ำ 1 ลิตร สวนเข้าทางทวารหนัก
- ถ้าท้องเสียมาก ต้องใช้แบบเข้มข้น ถ้าดื่มได้ก็ใช้ผงเกลือแร่ 3-4 ซองต่อน้ำ 1 ลิตร แต่ถ้าดื่มไม่ได้ก็ให้ใช้แบบหยดเข้าหลอดเลือดดำแทนค่ะ
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐
อ้อ ! ส่วนใครอยากทราบว่าในแต่ละวันเราควรดื่มน้ำวันละกี่แก้วหรือกี่ลิตร ฟางเอามาบอกด้วยนะคะ ^^
วิธีคำนวณว่า คุณควรดื่มน้ำเท่าไร ให้นำน้ำหนัก x 2.2 x 30/2 = ปริมาณน้ำ(มล.) เช่น น้ำหนักตัว 55 x 2.2 x 30/2 = 1,815 มล. นี่คือปริมาณที่ควรดื่มต่อวันค่ะ ^^
1
และอุณหภูมิน้ำดื่มที่ดีที่สุด คือ น้ำในอุณหภูมิห้อง เพื่อที่ร่างกายจะได้ไม่ต้องปรับสมดุลด้านอุณหภูมิ และคุณไม่ควรดื่มน้ำก่อนกินอาหาร 15 นาที และหลังกินอาหาร 45 นาที เพื่อจะได้ไม่ไปรบกวนระบบย่อยอาหารนะคะ 😊
⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐⭐
ทั้งนี้สิ่งที่ทุกคนต้องจำไว้นะคะ  คือ น้ำเกลือแร่นั้นไม่ใช่ยาวิเศษหรือยาบำรุงกำลัง ดังนั้นหากมีอาการอ่อนเพลียจากสาเหตุอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้นให้ระมัดระวัง โดยเฉพาะหากไม่รู้สึกกระหายน้ำเลย หรือมีอาการบวม เหนื่อยหอบ เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณของโรคหัวใจหรือโรคไต ได้นะคะ ซึ่งหากเผลอให้น้ำเกลือแล้วอาจเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ค่ะ เพราะฉะนั้น หากมีอาการก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการตรวจและวินิจฉัยให้ถูกต้องเพื่อที่จะรักษาให้ถูกต้องกับโรคที่เราเป็นและรักษาได้ทันท่วงทีค่ะ
1
🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃
อ้างอิง
🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃🍃

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา