6 พ.ย. 2020 เวลา 03:00 • หนังสือ
☺️สร้างปัญญาเป็นทีม ตามฉบับของพระสารีบุตร พระอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เลิศด้วยปัญญา
***พระสารีบุตรเป็นต้นแบบในการเผยแพร่พระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองตั้งแต่สมัยพุทธกาล แม้ปัจจุบันก็สามารถนำมาใช้ได้เป็นอย่างดี
✨วิชาครูของพระสารีบุตร
ในเรื่องการเผยแผ่พระพุทธศาสนานั้น พระสารีบุตรและพระอสีติมหาสาวกทุกรูปล้วนมีหัวใจดวงเดียวกัน นั่นคือ การช่วยพระพุทธองค์รื้อขนสรรพสัตว์แหกคุกคือวัฏสงสารไปให้ได้มากที่สุด ก่อนที่อายุสังขารของท่านจะหมดลงอันเป็นเหตุให้ถึงวาระปรินิพพาน
ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาที่ต้องแข่งเวลากับอายุสังขารทั้งของตัวเองและพระบรมศาสดาเช่นนี้ ผู้ที่เป็นกำลังสำคัญในการผลักดันงานเผยแผ่ให้ขยายออกไปอย่างรวดเร็วที่สุดก็คือ พระสารีบุตร
ทั้งนี้เพราะว่า "วิชาครู" ของพระมหาสาวกทุกรูปนั้น วิชาครูของพระสารีบุตรอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับพระพุทธองค์มากที่สุด ทำให้การถ่ายทอดคุณธรรม ความรู้ความสมารถ ไปสู่ลูกศิษย์ของท่าน จึงทำได้เต็มศักยภาพกว่าพระมหาสาวกรูปอื่น ๆ
จนกระทั่งได้รับการรับรองจากพระบรมศาสดาว่า "สารีบุตร เธอไปในทิศใด ทิศนั้นไม่ว่างเปล่าจากพุทธบริษัท โอวาทของเธอเช่นเดียวกับโอวาทของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย"
สาเหตุที่พระสารีบุตรมีวิชาครูมากกว่าพระสาวกรูปอื่น ๆ ก็เพราะว่าการสร้างบารมีเพื่อเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา ผู้เลิศด้วยปัญญา จะต้องใช้เวลาสั่งสมวิชาครูประมาณ ๑ อสงไขย กับ ๑ แสนมหากัป ส่วนการสร้างบารมีเพื่อเป็นมหาสาวกเอตทัคคะด้านใดด้านหนึ่ง ใช้เวลาสั่งสมวิชาครูประมาณ ๑ แสนมหากัป
ขณะที่พระบรมศาสดาใช้เวลาสั่งสมวิชาครูประมาณ ๔ อสงไขย กับ ๑ แสนมหากัป เมื่อนำมาเทียบเคียงกันแล้ว ก็จะพบว่าพระอัครสาวกใช้เวลาสั่งสมวิชาครูมากกว่าพระมหาสาวกที่เป็นเอตทัคคะประมาณ ๑ อสงไขย แต่ยังน้อยกว่าพระบรมศาสดาอยู่ประมาณ ๓ อสงไขย
✍️กิจวัตรของพระสารีบุตร
ในยามเช้าของทุกวัน หลังจากพระภิกษุส่วนใหญ่ออกจากวัดไปบิณฑบาตแล้ว พระสารีบุตรมีกิจวัตรประจำวันใน "การเดินตรวจวัด" อยู่ ๘ ประการ คือ
๑. กวาดสถานที่ที่ยังไม่ได้กวาด
๒.ทิ้งขยะที่ยังไม่ได้ทิ้ง
๓.เติมน้ำในหม้อที่ไม่มีน้ำ
๔.เก็บงำเตียง ตั่ง เครื่องไม้ และเครื่องดินที่เก็บไว้ไม่ดีให้เรียบร้อย
๕.ไปตรวจดูภิกษุป่วยไข้ ปลอบใจ ให้กำลังใจ และถามถึงสิ่งที่ต้องการ
๖.ไปหาภิกษุใหม่ที่อยู่ในอารามเพื่อให้กำลังใจ และให้โอวาทว่า "อาวุโสทั้งหลาย ขอท่านจงยินดีเถิด จงอย่าเบื่อหน่ายในพระศาสนาอันมีสาระในการปฏิบัติเลย"
๗.ออกบิณบาตาไปยังสกุลอุปัฏฐากเพื่อแสวงหายาแก้ไข หรือสิ่งที่ภิกษุไข้ต้องการ แล้วฝากให้ภิกษุหรือสามเณรที่ติดตามมานำกลับไปที่วัด จากนั้นท่านจึงไปบิณฑบาตหรือไปยังสกุลอุปัฏฐากอื่นต่อไป
๘.ในคราวที่พระบรมศาสดาเสด็จจาริกเผยแผ่ในชนบท ท่านจะเดินตามอยู่ท้ายขบวน คอยจัดหาน้ำมันทาเท้าให้ภิกษุแก่หรือภิกษุหนุ่มที่เจ็บเท้า และให้ภิกษุหรือสามเณรที่เท้าไม่เจ็บช่วยถือบาตรจีวร
พระสารีบุตรปฏิบัติกิจวัตรเช่นนี้สม่ำเสมอไม่ขาดแม้แต่วันเดียวจวบจนกระทั่งในเวลาที่จะปรินิพพาน ท่านก็ยังเก็บกวาดทำความสะอาดเสนาสนะเป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นจึงกราบทูลลาปรินิพพาน ท่านจึงเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวาที่ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยไม่มีข้อบกพร่องแม้แต่วันเดียว
☺️การสร้างปัญญาผ่านกิจวัตรประจำวัน
จากกิจวัตรประจำวันของพระสารีบุตรนี้ แสดงให้เห็นว่า ปัญญาที่พระสารีบุตรมีนั้น มิใช่ปัญญาแค่เอาตัวรอด แต่เป็น "ปัญญาสร้างสันติสุข" ให้แก่คนทั้งโลก​ ทั้งนี้เพราะว่า
๑.วิธีการฝึกคนให้มีปัญญาได้เร็วที่สุด ก็คือ ฝึกผ่านการทำงาน เพราะในขณะที่ทำงานจะต้องมีการควบคุมคุณภาพ ควบคุมเวลา ควบคุมงบประมาณ ควบคุมความปลอดภัย และสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน และนั่นคือ ชั่วโมงสำคัญในการบ่มเพาะปัญญาในภาคปฏิบัติ
๒.เหตุที่จะทำให้คนเราเกิดแรงบันดาลใจในการฝึกตน ก็คือต้องมีต้นแบบที่ดีปฏิบัตินำเป็นแบบอย่างที่ดีให้ดู เพราะคนเราถ้านั่งๆ นอนๆ อยู่เฉยๆ คงดีขึ้นมาเองไม่ได้ จะดีได้ก็ต้องมีครูดีคอยแนะนำสั่งสอนอบรม ให้ทั้งความรู้ ความสามารถ นิสัยใจคอ และคุณธรรมความดี เขาจึงจะมีปัญญาที่ดับทุกข์ให้ตนองและดับทุกข์ให้ชาวโลกได้
๓.ในทางตรงข้าม ถึงแม้คนๆ นั้นจะเก่งแค่ไหน ฉลาดแค่ไหน แต่ถ้าไม่ได้ครูดีก็ยากจะมีนิสัยที่ดี ยากที่จะรู้ถูก-ผิด-ดี-ชั่ว เมื่อตัดสินถูกผิดดีชั่วไม่ได้ ความรู้ที่ได้ไปก็กลายเป็นดาบสองคมที่ตกอยู่ในมือคนพาล คมหนึ่งมีไว้สร้างความวิบัติเสียหายให้ตนเอง อีกคมหนึ่งมีไว้สร้างความพินาศล่มจมให้ทรัพย์สินและชื่อเสียงของครอบครัว วงศ์ตระกูลและสังคม
๔.ครูที่ดีจะตัดสินถูกผิดดีชั่วได้ต้องมีธรรมะอยู่ในใจ คนที่มีธรรมะอยู่ในใจจะแยกแยะดีชั่วขั้นพื้นฐานของการดำเนินชีวิตประจำวันได้ว่า สิ่งใดคือความจำเป็น สิ่งใดคือความต้องการ สิ่งใดคือความสุรุ่ยสุร่ายเกินจำเป็น
เพราะ​นี่คือวิธีลดความทุกข์ในชีวิตและวิธีฝึกควบคุมกิเลสในจิตใจ อันเป็นต้นทางแห่งความเจริญงอกงามของธรรมะภาคปฏิบัติทั้งหมดในพระพุทธศาสนา
ดังนั้นการที่ใครได้ครูบาอาจารย์ดีๆ แบบพระสารีบุตร จึงเป็นมหาโชคมหาลาภของการเกิดมาเป็นมนุษย์
๕.ธรรมะทั้งหมดในพระพุทธศาสนาจะออกฤทธิ์ได้เต็มประสิทธิภาพ ก็ต่อเมื่อคนๆนั้นนำธรรมะที่ได้ศึกษาเล่าเรียนในภาคทฤษฎีมาฝึกปฏิบัติอย่างจริงจังผ่านกิจวัตรประจำวัน ผ่านกิจกรรม และผ่านการงานจนกลายเป็นนิสัยดีๆ เป็นศีลธรรมประจำใจ และเป็นคุณธรรมเบื้องสูง​ เพื่อการกำจัดทุกข์ได้ในที่สุด
๖.กิจวัตรประจำวันที่ทำให้ผลลัพธ์ของการปฏิบัติมรรคมืองค์ ๘ ให้เป็นนิสัยจนเกิดเป็นคนเจ้าปัญญาได้นั้น ต้องฝึกฝนกิจวัตรประจำวันแบบเดียวกับพระสารีบุตรเท่านั้น ผิดจากนี้นิสัยเจ้าปัญญาไม่เกิด ทั้งนี้เพราะว่า
๖.๑ กิจวัตรข้อที่ ๑ - ๔ คือ การทำความสะอาดสถานที่ และการจัดระเบียบสิ่งของเครื่องใช้ ย่อมอำนวยผลให้เกิดปัญญาดูแลสมบัติพระศาสนาเป็น
๖.๒) กิจวัตรข้อ ๕, ๖, ๘ คือ การดูแลสมาชิกที่ปวยไข้ และสมาชิกใหม่ขององค์กรย่อมอำนวยผลให้เกิดปัญญาดูแลสมาชิกกองทัพธรรมเป็น
๖.๓) กิจวัตรข้อ ๗ คื คารดูแลสุขทุกข์ของประชาชน และการอนุเคราะห์เกื้อกูลชาวโลก ย่อมอำนวยผลให้เกิดปัญญาดูแล กองเสบียงเลี้ยงพระพุทธศาสนาเป็น
กิจวัตรประจำวันเหล่านี้ ไม่ได้เกิดจากรับสั่งของพระบรมศาสดาที่สั่งให้ท่านทำ ไม่ได้เกิดจากมนุษย์มาวิงวอนขอร้อง ไม่ได้เกิดจากเทวดามาดลอกดลใจ แต่เกิดจากความรับผิดชอบที่มีต่อพระพุทธศาสนา ความกตัญญกตเวทีที่มีต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความอนุเคราะห์เกื้อกูลที่มีต่อสรรพสัตว์ และความเป็นมิตรแท้ที่มีต่อเพื่อนสหธรรมิก ซึ่งมีอยู่อย่างเปี่ยมล้นใจของท่าน
สมดังพระดำรัสที่พระบรมศาสดาตรัสไว้นใน อุมมัคคสูตร ว่า
"บุคคลผู้เป็นบัณฑิตมีปัญญามากในธรรมวินัยนี้ย่อมไม่คิดเพื่อเบียดเบียนตน ย่อมไม่คิดเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น ย่อมไม่คิดเพื่อเบียดเบียนตนและผู้อื่น"
"เมื่อคิด ย่อมคิดเพื่อเกื้อกูลแก่ตน เกื้อกูลแก่ผู้อื่น เกื้อกูลแก่ตนและผู้อื่น และเกื้อกูลแก่โลกทั้งหลายทีเดียว บุคคลเป็นบัณฑิตมีปัญญามากอย่างนี้แล"
ต้นแบบวิชาครูของพระสารีบุตร
จากหนังสือ สร้างปัญญาเป็นทีม
พระราชภาวนาจารย์ วิ.(เผด็จ ทตฺตชีโว)
สร้างปัญญา​เป็นทีม​ ตามแบบพระสารีบุตร

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา