3 ธ.ค. 2020 เวลา 07:00 • กีฬา
NBA 104 - ประวัติย่อของทีม NBA ตอนที่ 4 - Charlotte Hornets
ฝั่งที่สังกัด - ฝั่งตะวันออก Southeast Division
ปีที่ก่อตั้ง - 1988
ชื่อเดิม -
Charlotte Hornets (1988-2002 และ 2014-ปัจจุบัน)
Charlotte Bobcats (2004-2014)
สถานที่ตั้ง - เมือง Charlotte รัฐ North Carolina
ชื่อสนามเหย้า - Spectrum Center
เจ้าของทีม - Michael Jordan
CEO - Mitch Kupchak
GM (General Manager) - Mitch Kupchak
HC (Head Coach) - James Borrego
ทีมสังกัดใน G-League - Greensboro Swarm
จำนวนครั้งที่ได้แชมป์ลีก - 0
จำนวนครั้งที่ได้แชมป์ฝั่งทวีป - 0
จำนวนครั้งที่ได้แชมป์ Division - 0
จำนวนเบอร์เสื้อที่ทำการ Retired - 1 (13)
ประวัติทีมโดยสังเขป
ทีมได้ก่อตั้งขึ้นในปี 1988 จากการที่ทางลีกมีมติเห็นชอบให้ขยายจำนวนทีมในสังกัดให้มากขึ้น และทีมก็ได้เข้าสู่ลีกพร้อมกับ Heat ในปีนั้น
Hornets 1989 Logo
ในฤดูกาลเปิดตัวที่ 1988/89 ทีมได้นำทัพโดยอดีตผู้เล่นของ Pistons อย่าง Kelly Tripucka ที่ทำสถิติแต้มเฉลี่ยสูงสุดของทีมในช่วงสองฤดูกาลแรกอีกด้วย
Kelly Tripucka (Cr. gettyimages)
อย่างไรก็ตาม ฤดูกาลแรกทีมทำสถิติได้เพียง 20-62 เท่านั้น แถมปีถัดมาก็ยังได้แค่ 19-63 นับว่าห่างไกลจากความสำเร็จเหลือเกิน
ในปี 1990 ทีมได้เลือกดาวรุ่งอย่าง Kendall Gill เข้าสู่ทีม ซึ่งเจ้าตัวถือว่าโชว์ฟอร์มได้ดี และมีส่วนให้ฤดูกาล 1990/91 ทีมมีสถิติที่ดีขึ้นเป็น 26-56 แต่ก็ถือว่ายังห่างไกลความสำเร็จอยู่ดี พอจบฤดูกาลทีมจึงตัดสินใจเลือก GM คนใหม่เป็น Allan Bristow ให้มาทำหน้าที่แทน
ในปี 1991 ทีมได้เลือกดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง Larry Johnson เข้าทีมมาอีกคน และเขาก็ไม่ทำให้ทีมผิดหวัง
Larry Johnson
เจ้าตัวคว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีไปได้ และ Gill กลายเป็นผู้นำด้านการทำแต้มของทีม ทำให้สถิติดีขึ้นมาอีก กลายเป็น 31-51 เรียกว่าค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาแล้วนั่นเอง
ยุคของ Johnson และ Mourning
ในปี 1992 ทีมได้สิทธิ์ Draft เป็นอันดับ 2 และทีมก็ตัดสินใจเลือกดาวรุ่งฝีมือดีอย่าง Alonzo Mourning เข้าสู่ทีม ทำให้ในขณะนี้ทีมมีผู้เล่นที่มีผลงานที่ดีตั้งแต่ในระดับมหาลัยถึงสองคนแล้ว ถ้ารวมกับ Gill อีกคน ก็จะกลายเป็นสามประสานอายุน้อยไปในทันที
Alonzo Mourning (Cr. gettyimages)
ทำให้ในฤดูกาล 1992/93 ทีมจบด้วยสถิติ 44-38 และผ่านเข้ารอบ Playoffs เป็นครั้งแรกของประวัติศาสตร์ทีมได้สำเร็จ และยังผ่านรอบแรกไปได้อีกด้วย ก่อนที่จะไม่สามารถต้านทาน Knicks ได้ไหว พ่ายแพ้ไปในรอบสอง
แต่พอเข้าฤดูกาลถัดมา ทั้งสองคนต่างก็มีอาการบาดเจ็บรบกวนทั้งคู่ ทำให้ผลงานของทีมตกลงไปอยู่ที่ 41-41 อดเข้ารอบไปอย่างฉิวเฉียด
พอมาถึงฤดูกาล 1994/95 ทีมกลับมาทำผลงานในฤดูกาลปกติได้ดีอีกครั้ง ทีมจบด้วยสถิติ 50-32 แต่กลับต้องตกรอบแรกด้วยการแพ้ Bulls ในเกมที่ 4 (รอบแรกยังเป็นแบบ Best of 5) ทำให้ทีมตัดสินใจ Trade Mourning ไปให้ Heat เพื่อแลกกับ Glen Rice, Matt Geiger และ Khalid Reeves เข้าสู่ทีมเป็นการทดแทน
การมาของ Glen Rice
เมื่อ Rice ได้เข้ามาสู่ทีม เจ้าตัวโชว์ฟอร์มได้ดีมากๆ และยังเล่นเข้าคู่กับ Johnson ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย แต่น่าเสียดายที่อาการบาดเจ็บของผู้เล่นหลายคน ทำให้ทีมไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ จบสถิติฤดูกาล 1995/96 ด้วยผลงาน 41-41 นอกจากจะไม่ได้ไปต่อใน Playoffs แล้ว GM ของทีมอย่าง Bristow ก็ประกาศลาออกหลังจบฤดูกาลอีกด้วย
Glen Rice
ในปี 1996 เกิดปัญหาขึ้นกับทีมอีกครั้ง เมื่อ ผู้เล่นคนสำคัญอย่าง Kenny Anderson ไม่ยอมต่อสัญญากับทีม และทีมได้ส่ง Johnson ออกไปให้ทีม Knicks แลกกับผู้เล่นมากประสบการณ์อย่าง Anthony Mason เข้ามาแทน
แต่สิ่งที่อาจจะพลาดมากที่สุด คือการที่ไปแลกตัวดาวรุ่งอย่าง Vlade Divac กับทาง Lakers โดยทีมได้ยอมแลกกับดาวรุ่งที่จะกลายเป็นตำนานแห่งยุคในภายหลังอย่าง Kobe Bryant ไปแทนนั่นเอง
Vlade Divac
อย่างไรก็ตาม Divac และ Mason ต่างก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม และ Rice ก็ถือว่ามีฤดูกาลที่ดีที่สุดในอาชีพการเล่นของเขา ส่งผลให้ทีมจบฤดูกาล 1996/97 ด้วยสถิติ 54-28 แต่กลับโดน Knicks กวาดตก Playoffs รอบแรกไปอย่างไม่น่าเชื่อ
เพียงแต่ในฤดูกาลถัดมาทีมก็ยังทำผลงานในฤดูกาลปกติได้ดี จบด้วยสถิติ 51-31 พร้อมกับทำสถิติเข้ารอบ Playoffs ต่อเนื่องได้เป็นครั้งแรกของทีมอีกด้วย ก่อนที่จะโดน Bulls เขี่ยตกรอบสองไปในที่สุด
ช่วงสุดท้ายของทีมก่อนที่จะย้ายเมือง
ในปี 1998 สุดท้ายแล้วทีมก็ตัดสินใจ Trade Rice ออกไปให้กับ Lakers พร้อมกับที่ HC อย่าง Dave Cowens ลาออกไปกลางฤดูกาลอีกด้วย ถึงแม้ทีมจะยังแก้ไขกลับมาได้ค่อนข้างดี แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไปต่อใน Playoffs อย่างเคย
ในฤดูกาล 1999/00 ทีมกลับต้องสูญเสียผู้เล่นคนสำคัญอย่าง Bobby Philis ไปจากอุบัติเหตุทำให้เจ้าตัวเสียชีวิตลง ทางทีมได้ให้เกียรติด้วยการประกาศ Retired เสื้อเบอร์ 13 ของเขาในเวลาถัดมา (เป็นเบอร์เดียวของทีมที่ประกาศ Retired เบอร์เสื้อให้)
ทีมพยายามสู้สุดฤทธิ์จนจบฤดูกาลด้วยสถิติ 49-33 ผ่านเข้ารอบได้สำเร็จ แต่กลับไปแพ้ให้กับ Sixers ในรอบแรกอย่างเจ็บปวด
เพียงแต่ว่าในปี 2000 ทีมกลับเริ่มเจอปัญหาอีกครั้ง เนื่องจากเจ้าของทีมในขณะนั้นอย่าง George Shinn เริ่มที่จะถูกบรรดาแฟนๆ ของทีมตั้งคำถามในการบริหารงาน ทำให้ความนิยมที่มีต่อทีมเริ่มลดลงนับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา
ถึงแม้ว่าในสองฤดูกาลถัดมา ทีมจะทำผลงานได้ดี ผ่าน Playoffs ไปได้ถึงรอบสองทั้งคู่ แต่ความนิยมกลับลดถอยลงเรื่อยๆ จนในที่สุดเจ้าของทีมก็ได้ตัดสินใจทำการย้ายเมืองไปที่ New Orleans แทนหลังจากนั้น
อย่างไรก็ดี ทางลีกได้สัญญากับทางเมือง Charlotte ไว้ว่าด้วยความนิยมของบรรดาฐานแฟนกีฬาที่มีค่อนข้างมาก จึงได้ประกาศว่าจะรีบจัดตั้งทีมประจำเมืองใหม่ให้เร็วที่สุด
การก่อตั้ง Charlotte Bobcats
หลังจากที่ทีมเดิมได้ย้ายไปอยู่ที่เมือง New Orleans ในปี 2002 ทางลีกได้เริ่มประกาศการหาทีมที่จะมาแทนทีมเดิมให้ได้ก่อนที่ฤดูกาล 2004/05 จะเริ่มขึ้น
หลังจากที่ผ่านขั้นตอนต่างๆ มามากหมายตลอดปี สุดท้ายแล้วกลุ่มทุนที่นำโดย Robert L. Johnson ก็ได้สิทธิ์ในการเป็นเจ้าของทีมใหม่ไปในที่สุด
ในปี 2003 ทีมใหม่ได้ตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า Bobcats ถึงแม้ว่าในการคัดเลือกชื่อในตอนแรกจะเป็น Flight ที่ได้รับเลือกแทนก็ตาม แต่สุดท้ายก็โดนเจ้าของทีมปัดตกไปและใช้ชื่อ Bobcats แทนนั่นเอง
Bobcats 2005 Logo
ทีมได้จ้าง Bernie Bickerstaff เป็นทั้ง GM ควบกับ HC เป็นคนแรกของทีม Bobcats และได้ประกาศสร้างสนามเหย้าใหม่ในส่วนของย่าน Uptown ในเมือง Charlotte นับตั้งแต่เดือนกรกฏาคมปี 2003 เป็นต้นมา โดยทีมจะเล่นที่สนามเหย้าเดิมของ Hornets ไปก่อนระหว่างที่รอการสร้างเสร็จ
ยุคเริ่มต้นของ Bobcats
ฤดูกาลแรกของทีม Bobcats เริ่มขึ้นในฤดูกาล 2004/05 ทีมได้สิทธิ์ในการ Draft เป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นการสร้างทีมใหม่ ทำให้ได้ผู้เล่นมากหน้าหลายตาเข้าสู่ทีม นอกจากนั้นทีมยังทำการ Trade กับ Clippers เพื่อแลกดาวรุ่งอย่าง Emeka Okafor มาอีกด้วย
ถึงแม้ว่าฤดูกาลแรกทีมจะจบแค่สถิติ 18-64 แต่ Okafor ก็โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมจนได้รางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีมาครองได้สำเร็จ
Emeka Okafor
ในฤดูกาล 2005/06 สนามเหย้าแห่งใหม่ของทีมก็สร้างแล้วเสร็จพอดี ทีมจึงได้ย้ายมาเล่นในสนามนี้แทนตั้งแต่ปีนี้จนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ดี ผลงานของทีมก็ยังไม่ดีขึ้นมากนัก จบด้วยสถิติ 26-56 เท่านั้น
แต่ก็ยังมีข่าวดีอยู่บ้างที่ ตำนานของ NBA อย่าง Michael Jordan ได้สนใจในการบริหารทีมจนได้กว้านซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อย จนได้กลายเป็นบุคคลที่ถือหุ้นใหญ่เป็นอันดับ 2 ของทีมไปแล้ว และก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของทีมในขณะนั้น
Michael Jordan ในบทบาทผู้บริหารทีม
ในฤดูกาลที่ 3 ทีมได้พัฒนาสถิติขึ้นมาอีกเล็กน้อย สามารถจบได้ที่ 33-49 โดยหลังจากจบฤดูกาลนี้ Bickerstaff ได้ปรึกษากับทางทีม แล้วขอแยกจากกันด้วยดี ยุติหน้าที่ทั้ง GM และ HC ไปในที่สุด
ทำให้ทีมต้องหาคนมาอุดตำแหน่งที่หายไปเป็นการด่วน แต่ดูเหมือนว่าถึงแม้จะเปลี่ยนคน แต่สภาพรวมของทีมก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่นัก จบฤดูกาล 2006/07 ด้วยสถิติ 32-50 เท่านั้น ทำให้ HC ในขณะนั้นอย่าง Sam Vincent ถูกไล่ออกหลังจบฤดูกาล
ยุคของโค้ช Larry Brown
ในปี 2008 ทีมได้ว่าจ้างให้ Hall of Fame อย่าง Larry Brown ขึ้นเป็น HC คนใหม่ของทีม ซึ่งการมาของเขาส่งผลให้ทีมค่อยๆ กลับไปดีขึ้นได้ตามลำดับ
Larry Brown
ทีมได้ตัดสินใจ Trade ผู้เล่นอย่าง Jason Richardson และ Jared Dudley ไปให้กับ Suns เพื่อแลกกับ Boris Diaw และ Raja Bell นับว่าทีมตัดสินใจได้ถูกต้อง เพราะสองคนนี้มีส่วนช่วยให้ทีมมีผลงานดีขึ้นเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดี ตอนจบฤดูกาล 2008/09 ทีมจบด้วยสถิติ 35-47 และหลังจากที่รู้ว่าไม่ได้เข้ารอบ Playoffs เจ้าของหุ้นใหญ่อย่าง Robert L. Johnson ก็ประกาศขายหุ้นทันทีหลังจากนั้น ทำให้ Jordan กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และเป็นอดีตผู้เล่นในลีกที่กลายเป็นเจ้าของทีมกีฬาคนแรกในประวัติศาสตร์ของ NBA
ในฤดูกาลถัดมา ทีมตัดสินใจ Trade อดีตดาวรุ่งแห่งปีอย่าง Okafor ไปให้กับ Hornets (เดิม) เพื่อแลกกับ Tyson Chandler มาเสริมเกมรับวงในให้แน่นขึ้นกว่าเดิม
และสุดท้ายความพยายามก็สัมฤทธิ์ผล Gerald Wallace ทำผลงานได้ดีมากจนติดทีม All-star และทีมจบด้วยสถิติ 44-38 และได้ผ่านเข้ารอบ Playoffs สำเร็จเป็นครั้งแรกของ Bobcats อีกด้วย ถึงแม้ว่าจะร่วงตกรอบแค่รอบแรกก็ตามที
Gerald Wallace
เข้าสู่ยุคมืดที่สุดของทีม
ในช่วงแรกของฤดูกาล 2010/11 ทีมหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะรักษาฟอร์มการเล่นให้เข้ารอบ Playoffs ได้อีกครั้ง แต่ผลงานกลับไม่เป็นดังหวัง หลังจากที่ทำสถิติได้เพียง 9-19 เจ้าของทีมอย่าง Jordan จึงตัดสินใจผ่าตัดทีมครั้งใหญ่
เริ่มจากการเปลี่ยน HC กลายเป็น Paul Silas และส่ง Wallace ไปให้กับ Blazers แลกกับผู้เล่นหลายคนและสิทธิ์ Draft รอบแรก 2 ครั้งของอีกฝ่าย แต่สุดท้ายทีมก็ไปไม่ถึงฝั่งฝัน จบด้วยสถิติ 34-48 ไม่ผ่านเข้ารอบไปตามระเบียบ
ในปี 2011 ทีมได้มีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง โดยมีการเปลี่ยน GM เป็น Rich Cho ที่เคยทำงานให้กับ Blazers มาก่อน และได้ทำการ Trade อันดับ Draft ให้สูงขึ้นโดยแลกกับ Bucks และใช้สิทธิ์ดังกล่าวในการ Draft ผู้เล่นชั้นยอดอย่าง Kemba Walker เข้าสู่ทีม
Kemba Walker
อย่างไรก็ดี ฤดูกาล 2011/12 กลับเป็นฤดูกาลที่เลวร้ายที่สุดของทีม โดยจบด้วยสถิติ 7-59 เท่านั้น พร้อมกับทำสถิติแพ้รวด 23 นัดติดต่อกัน ทำให้จบฤดูกาล Silas จึงไม่ได้ทำทีมต่อไปอีก
แต่ถึงจะทำการเปลี่ยนโค้ช ผลงานก็ยังไม่ดีขึ้น ฤดูกาลถัดมาทีมจบด้วยสถิติ 21-61 พร้อมกับทำสถิติแพ้ต่อเนื่อง 18 นัดรวด รั้งอันดับรองบ๊วยในลีก ทำให้จบฤดูกาลต้องทำการเปลี่ย่นโค้ชอีกครั้ง รอบนี้กลายเป็นอดีตผู้ช่วยโค้ชของ Lakers อย่าง Steve Clifford เข้ามาทำทีมแทน
ช่วงสุดท้ายของ Bobcats
เจ้าของทีมอย่าง Jordan ได้ประกาศเอาไว้ว่าทีมจะกลับไปใช้ชื่อ Hornets เหมือนเดิมในฤดูกาล 2014/15 หลังจากที่ผ่านมติการ Vote จากบรรดาผู้บริหารในลีกเป็นที่เรียบร้อย และทาง Hornets เดิมก็ได้เปลี่ยนชื่อไปเป็น Pelicans ในฤดูกาล 2013/14 รอไว้ก่อนแล้วด้วยเช่นกัน
ในปีนี้ทีมได้ Draft ดาวรุ่งอย่าง Cody Zeller เข้าสู่ทีม และยังได้เซ็นผู้เล่นอย่าง Al Jefferson ที่หมดสัญญากับ Jazz ทำให้วงในของทีมแข็งขึ้นมาก
Al Jefferson
จากผลงานดังกล่าว ทำให้จบฤดูกาล 2013/14 ทีมสามารถเข้ารอบ Playoffs ได้เป็นหนที่สองในประวัติศาสตร์ทีมได้สำเร็จ โดยจบด้วยสถิติ 43-39 แต่ก็ไปไม่ถึงไหนเช่นเคย ทีมได้โดน Heat กวาดตกรอบแรก พร้อมกับจบฤดูกาลสุดท้ายของ Bobcats ลงไปด้วย
กลับมาใช้ชื่อ Hornets อีกครั้ง
นอกจากการที่ได้กลับมาใช้ชื่อทีมเป็น Hornets แล้ว ทีมยังทำข้อตกลงกับทาง Pelicans ว่าจะได้ข้อมูลประวัติศาสตร์ทีมตั้งแต่ช่วงก่อตั้งในปี 1988-2002 ก่อนที่จะทำการย้ายเมืองไป New Orleans กลับมาด้วย ทำให้ Pelicans กลายเป็นทีมที่เริ่มก่อตั้งในปี 2002 แทนนั่นเอง
ฤดูกาลแรกของการใช้ชื่อ Hornets (ใหม่) ทีมกลับทำผลงานได้ไม่สวยนัก จบด้วยสถิติ 33-49 ไม่ได้เข้ารอบ Playoffs ถึงแม้ว่าจะมีการเซ็นสัญญาผู้เล่นมากประสบการณ์อย่าง Lance Stephenson มาช่วยทีมก็ตาม
ในปีถัดมา ทีมได้ทำการเสริมผู้เล่นอายุน้อยเข้าทีมมาหลายคน นำโดย Nicolas Batum, Jeremy Lin และ Jeremy Lamb ซึ่งทุกคนต่างก็โชว์ฟอร์มได้เป็นอย่างดี ทำให้ทีมจบด้วยสถิติ 48-34 คว้าอันดับ 6 เข้ารอบได้สำเร็จ แต่ก็กลับโดนทีม Heat ตามมาย้ำแค้นอีกครั้ง ด้วยการเอาชนะไปได้ในเกม 7 แบบฉิวเฉียด ตกรอบแรกไปอย่างเจ็บปวด
เข้าสู่ยุคปัจจุบัน
ในฤดูกาล 2016/17 Walker โชว์ฟอร์มได้ดีมาก จนเจ้าตัวมีชื่อติดทีม All-Star เป็นครั้งแรกในอาชีพการเล่น แต่ผลงานโดยรวมกลับทำได้ไม่ดีนัก ทีมจบด้วยสถิติ 36-46 และยังไม่สามารถทำสถิติเข้ารอบต่อเนื่องได้เสียที เช่นเดียวกับปีถัดมาที่ตามรอยแบบเป๊ะๆ Walker ติดทีม All-Star เป็นหนที่สอง แต่ก็จบด้วยสถิติ 36-46 และไม่ได้ผ่านเข้ารอบเช่นเดิม
ทำให้ในปี 2018 ทีมตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับ GM อย่าง Rich Cho และแต่งตั้ง Mitch Kupchak ขึ้นมาทำหน้าที่แทนจนถึงปัจจุบัน
Mitch Kupchak
ในฤดูกาล 2018/19 ทีมได้ Tony Parker ผู้เล่นมากประสบการณ์ที่อยู่กับ Spurs มาอย่างยาวนานเข้าสู่ทีม และ Walker ก็ทำสถิติติดทีม All-Star สามปีซ้อน แถมได้ติดเป็นตัวจริงครั้งแรกในอาชีพการเล่นด้วย แต่ผลงานของทีมโดยรวมก็ไม่ดีเหมือนเดิม จบด้วยสถิติ 39-43 และอดเข้ารอบไปอีกครั้ง
จนกระทั่งในฤดูกาลล่าสุด Walker ได้ย้ายไปอยู่กับ Celtics และทีมไม่สามารถหาตัวแทนในระดับเดียวกันมาได้ ทำให้ผลงานของทีมตกลงไปอยู่ที่ 23-42 กลายเป็น 1 ใน 8 ทีมที่ไม่ได้ผ่านเข้าช่วง Restart และดูเหมือนว่าทีมนี้น่าจะต้องใช้เวลาในการสร้างทีมใหม่อีกพอสมควรเลยทีเดียว หากหวังจะกลับมาผงาดจนเข้ารอบ Playoffs ได้อีกครั้ง
ถ้าชอบก็ฝาก Share และกดติดตามด้วยนะครับ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา