Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Thai Water Fasting
•
ติดตาม
15 พ.ย. 2020 เวลา 11:32 • สุขภาพ
01 Water Fasting คืออะไร
ถ้าพูดถึงการ Fasting ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่น่าจะนึกถึงการทำ IF หรือ Intermittent Fasting นะคะ Fasting คือการตั้งใจอดอาหารโดยไม่รับประทานหรือดื่มอะไรที่ให้พลังงานในระยะเวลานั้นๆ ค่ะ IF ก็คือการอดอาหารเป็นช่วงๆ และรับประทานอาหารในช่วง eating window ของแต่ละวัน เช่น การทำ IF 20/4 ก็คือการงดอาหารที่ให้แคลอรี่เป็นเวลา 20 ชั่วโมง และรับประทานอาหารเป็นเวลา 4 ชั่วโมงค่ะ ซึ่งรายละเอียดปลีกย่อยรวมทั้งกลไกการลดน้ำหนัดจากการทำ fasting เราคิดว่าคนส่วนใหญ่น่าจะทราบและสามารถหาอ่านได้ทั่วไปเลยนะคะ มีทั้งในอินเตอร์เน็ต Youtube หรือหนังสือเลยค่ะ
ส่วน Water Fasting ที่กำลังจะกล่าวถึง ก็ตรงตัวเลยค่ะ มันคือการงดอาหารทุกประเภท และดื่มแต่น้ำเปล่าเป็นระยะเวลาหนึ่งค่ะ ระยะเวลาที่เป็นที่นิยมคือ 3 วัน, 7 วัน, 14 วัน, 21 วัน ไปจนถึง 40 วัน (เราเองไม่เคยไปถึงระดับ 21 วัน 40 วันเหมือนกันค่ะ) ตามแต่ที่จะตั้งเป้าหมายไว้ และตามที่ร่างกายของแต่ละคนสามารถทำได้ค่ะ
พอได้ยินว่าอดอาหารเป็นวันๆ หลายๆ วัน หลายๆ คนอาจจะ หูววว มันจะดีหรอ? มันไม่อันตรายหรอ? ไม่ตายก่อนหรอ? ไม่โยโย่หรอ? ซึ่งเป็นสิ่งที่เราได้ยินมาตลอดค่ะ ขอตอบตรงนี้เลยว่า water fasting ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถทำได้ทุกคน (ไม่ว่าใครจะว่ายังไง มันไม่ได้เหมาะสมกับทุกคนค่ะ) และไม่ตายค่ะ (ถ้าไม่อดนานมากเกินไป) จำเคสทีมหมูป่าที่ติดอยู่ในถ้ำได้มั้ยคะ น้องๆ อดอาหารกันหลายวันมาก รวมทั้งขาดน้ำด้วย (ก็ไม่เชิง..คือน้องๆ ได้รับน้ำน้อยกว่าที่ควรจะได้รับต่อวัน) แต่น้องๆ ก็เอาชีวิตรอดมาได้ ถ้าเราดื่มน้ำเพียงพอ และฟังเสียงร่างกายตัวเอง รวมทั้งไม่ฝืนทำ WF ทั้งๆ ที่มีข้อห้ามทำ เราก็สามารถทำ WF ได้อย่างปลอดภัยค่ะ
3
คนที่ไม่ควร/ห้ามทำ WF ได้แก่ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการกิน เช่น ผู้ป่วยโรค Anorexia หรือ Bulimia, ผู้ที่มี BMI ต่ำกว่า 18.5, ผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทที่ 1, ผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับต่อม Adrenal, หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร, ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงรุนแรง และผู้ป่วยโรคไต หรือโรคตับ แน่นอนว่าคนที่เป็นโรคกระเพาะก็ไม่ควรทำค่ะ
นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังที่มียาที่ต้องทานเป็นประจำ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนตัดสินใจทำการ fasting ทุกประเภทนะคะ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรตัดสินใจทำ fasting หรือลดยาที่ต้องทานด้วยตัวเองโดยอิงจากคำแนะนำตามอินเตอร์เน็ต (รวมทั้งคำแนะนำจากเราด้วยค่ะ) หาข้อมูลเพิ่มเติมเยอะๆ นะคะ สงสัยตรงไหนสามารถสอบถามได้ค่ะ ถ้าเราตอบได้ เราจะช่วยตอบ เราเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ค่ะ เป็นแค่คนนึงที่สนใจการทำ fasting และศึกษาด้วยตนเองจากแหล่งต่างๆ มาพอสมควร หากผิดพลาดประการใดสามารถท้วงติงและคุยกันด้วยเหตุผลได้เลยนะคะ
การทำ WF ไม่ใช่เทรนด์ใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่มีมาแล้วนับพันๆ ปีค่ะ โดยจากคัมภีร์ไบเบิลจะมีการบันทึกถึงการอดอาหารโดยบุคคลต่างๆ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อการแสวงหาทางจิตวิญญาณและการอธิษฐานค่ะ เช่น โมเสสได้อดอาหารและน้ำเป็นเวลา 14 วัน (อพยพ 34:28), พระเยซูเองก็ได้อดอาหารเป็นเวลา 40 วันค่ะ (มัทธิว 4:4) แน่นอนว่าเมื่อก่อนการอดอาหารไม่ได้มีเพื่อลดน้ำหนักหรือรักษาสุขภาพ แต่เป็นในเชิงจิตวิญญาณมากกว่าค่ะ
โดยส่วนตัวเราเอง เรามีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวานค่ะ (บ้านคุณยายทั้งบ้าน) เรากลัวการเป็นเบาหวานมากๆ ในตอนแรกเราลองทำ IF เพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นเบาหวานและลดน้ำหนัก และซึ่งก็ได้ผลดีและมีวิทยาศาสตร์รองรับ สามารถอธิบายได้ด้วยเรื่องของอินซูลินและภาวะคีโตซิส จากนั้นเราก็เริ่มมองหาความท้าทายที่เพิ่มขึ้น โดยทำเป็น Alternate day คือการอดอาหารหลายๆ วันใน 1 สัปดาห์ แล้วรับประทานตามปกติในวันที่เหลือ หรือทานแบบ IF ค่ะ เช่น การทำ Alternate day fasting แบบ 4:3 คือการอดอาหาร 3 วันติดกัน แล้วรับประทานอาหารตามปกติเป็นเวลา 4 วัน แล้วเราก็พบว่าเรารู้สึกดีกับตัวเองหลังการทำ fasting ค่ะ เหมือนว่าเราได้ชนะใจตัวเอง มันไม่ใช่แค่น้ำหนักที่ลดลงและหน้าท้องที่แบนราบค่ะ ซึ่งเราคิดว่าคนที่เคยทำ Fasting นานๆ น่าจะเข้าใจความรู้สึกนี้นะคะ
ในครั้งนี้ เราตั้งใจจะทำ WF ไปเรื่อยๆ และเขียนบันทึกความรู้สึกและการตอบสนองของร่างกายลงใน Facebook และ Blockdit ค่ะ แน่นอนว่าถ้าเราทนไม่ไหว เราก็จะยุติการอดอาหารลงค่ะ
ขอบคุณที่คลิกเข้ามาอ่านนะคะ
แอดมิน
15/11/2020
2 บันทึก
4
1
4
2
4
1
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย