22 พ.ย. 2020 เวลา 03:00 • ความคิดเห็น
บทความนี้เป็นบทความนอกเรื่อง ไม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์นะครับ แต่อยากจะแชร์ประสบการณ์ แชร์มุมมองของตัวเองบ้าง
1
เมื่อวานนี้ผมได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่ง เพื่อนผมคนนี้ค่อนข้างต้องปากกัดตีนถีบ ไม่มีพ่อแม่คอยช่วยสนับสนุน ซึ่งมันก็บอกว่าอิจฉาผม ที่มีพ่อแม่คอยหนุน คอยผลักดัน
มันบอกว่า ตั้งแต่เกิด ผมมีชีวิตที่ “เพอร์เฟค (ในสายตาของมัน)” มีครอบครัวที่อบอุ่น มีเงิน ชาติตระกูลดี อยากได้อะไรก็ได้เกือบทุกอย่าง ต่างจากมันที่ต้องดิ้นรน ไม่ได้รับการยอมรับมาก (จริงๆ ผมก็รู้สึกเหมือนกำลังโดนด่า โดนเหน็บเหมือนกันนะ)
ผมฟังแล้วก็ได้แต่คิด ไอ้ที่มันพูดมา มันก็มีบางส่วนที่ใช่ และมีบางส่วนที่ไม่ได้ดีอย่างที่มันคิด
ผมขออนุญาตเล่าเกี่ยวกับครอบครัวและวัยเด็กของผมแบบคร่าวๆ เริ่มจากเรื่องที่ดีก่อน ก่อนจะไปยังเรื่องที่ผมคิดว่าไม่ดี (จะหาว่าอวดก็ได้ครับ แต่ก็ขอเริ่มจากชีวิตในด้านดีก่อน)
ผมเกิดมาในครอบครัวที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์พร้อม พ่อแม่รักกันดี ไม่ได้หย่ากันหรือแยกกันอยู่เหมือนหลายๆ ครอบครัว (ตั้งแต่เกิดมา จำได้ว่าเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันไม่เกินสามครั้ง) พ่อแม่ก็มีอาชีพการงานที่ดี มั่นคง ฐานะอยู่ในเกณฑ์ที่เรียกได้ว่าดี ปู่ของผมก็เป็นข้าราชการระดับสูงและสืบเชื้อสายมาจากขุนนางตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 ส่วนย่าก็มาจากราชสกุลปาลกะวงศ์และเป็นอดีตนางข้าหลวงในวัง
ทางด้านตากับยาย ก็เป็นคนจีนที่ทำธุรกิจอยู่จังหวัดนครสวรรค์ ฐานะจัดว่าดีมาก
ผมนั้นเป็นลูกคนแรกของพ่อแม่ และเป็นหลานชายคนแรกของปู่กับย่า และเป็นหลานคนแรกของตากับยาย ทำให้ตอนเด็กๆ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเทวดาน้อยๆ โดยเฉพาะกับตายาย ที่เป็นคนจีน จะเห่อหลานชายเป็นพิเศษ ยิ่งเป็นหลานคนแรก แถมเป็นผู้ชายด้วย เรียกได้ว่าชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้เลยแหละครับ
2
ตั้งแต่เด็ก ผมมีพี่เลี้ยงซึ่งคอยเลี้ยงดู เอาใจผมตั้งแต่ยังเด็ก และตั้งแต่จำความได้ เวลาผมอยากได้ของเล่นอะไร ผมแค่ไปขอให้พ่อแม่ซื้อให้ ซึ่งก็มักจะได้ทุกครั้ง น้อยมากที่จะไม่ให้ และถ้าไม่ได้จากพ่อแม่ ผมก็ไปอ้อน ขอจากตายาย
ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ผมก็ไปขอให้พ่อแม่ซื้อรถให้ อ้างความจำเป็นที่จะต้องมีรถขับ (จริงๆ ก็ข้ออ้างทั้งนั้นแหละครับ เหตุผลคืออยากมีรถ) พ่อแม่ก็ซื้อให้แต่โดยดี
พ่อแม่ผมนั้นให้ความสำคัญกับการศึกษามาก ตั้งแต่อนุบาลยันมหาวิทยาลัย ต้องเป็นที่ๆ ดีที่สุด ค่าเทอมเท่าไรก็ไม่มีปัญหา
ตอนผมอยู่ชั้นประถม พ่อและแม่ได้ไปเรียนต่อในระดับปริญญาเอกที่สหรัฐอเมริกา ผมซึ่งเพิ่งจะขึ้นชั้นป.1 ก็ต้องตามไปด้วย ทำให้ได้ใช้ชีวิตช่วงหนึ่งที่ต่างประเทศ พอกลับมา เรียนชั้นมัธยม จนถึงมหาวิทยาลัย แม้แต่ต่อปริญญาโท ทุกที่ ล้วนแต่ได้รับการสนับสนุนและผลักดันจากพ่อแม่
พอเรียนจบปริญญาตรี เข้าทำงานที่แรก ก็เป็นเพราะพ่อที่ช่วยฝากฝังให้ได้เข้าทำงาน เป็นที่รู้กันในแผนกว่าผมเป็นเด็กของ “ผู้ใหญ่” ผู้ใหญ่ฝากฝังมา
ตั้งแต่เด็ก ผมโตมากับความรู้สึกที่ว่าสบาย เหนือกว่าหลายๆ คน คิดว่าตัวเองโชคดีกว่าหลายๆ คน
ตอนยังเป็นเด็กเล็ก ผมก็ถูกบอกว่า “ลูกโชคดีกว่าเด็กหลายๆ คน พ่อแม่รักกัน อยากได้ของเล่นอะไรก็ได้”
พอเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ผมก็ได้ยินคำพูดว่า “ลูกโชคดีกว่าใครอีกหลายๆ คน ได้ไปอยู่เมืองนอกตั้งแต่เด็ก ได้เรียนในที่ดีๆ ได้ไปเที่ยวต่างประเทศ มีรถขับตั้งแต่อยู่มหาวิทยาลัย”
พอเข้าสู่วัยทำงาน ก็เป็น “ลูกโชคดีที่มีพ่อแม่คอยซัพพอร์ต คอยช่วยเหลือ มีรถ มีบ้านหลังใหญ่ที่อบอุ่น ทุกอย่างพร้อม ต่างกับอีกหลายๆ คนที่ต้องดิ้นรน สร้างทุกอย่างด้วยตัวเอง”
ฟังดูเหมือนจะดี แต่จริงๆ ชีวิตทุกคนมันก็ต้องมีความเครียด มีความกดดันทุกคน มากบ้าง น้อยบ้างต่างกันไป
ตั้งแต่เด็ก เพื่อนๆ ของผมหลายคนเล่าให้ฟังว่าพ่อกับแม่ ไม่ขอดูเกรดเลย จะเรียนได้เท่าไรก็ได้ แค่ผ่านก็พอ ซึ่งต่างกับครอบครัวผมที่ค่อนข้างจะคาดหวังผลการเรียนที่ดีมาก
ตอนอยู่มหาวิทยาลัย ผมเคยติดเอฟ ติดโปร ต้องปิดพ่อแม่อยู่นานทีเดียว ไม่กล้าบอก (แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้นะครับ)
นอกจากนั้น อีกเรื่องก็คือ ผมมักจะถูกตราหน้าว่าไม่ได้ใช้ความสามารถตัวเอง หากแต่เพื่อนๆ มักจะคิดว่าความสำเร็จของผม เกิดจากพ่อและแม่ทั้งสิ้น
ตอนขึ้นชั้นมัธยมปลาย ผมสอบติดโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ผมดีใจมาก เนื่องจากผมก็ไม่ได้เป็นเด็กเรียนเก่ง และครั้งนี้ ผมสอบติดด้วยตัวเอง ไม่ได้ให้ใครช่วย แต่เพื่อนหลายคนก็ไม่เชื่อ คิดว่าพ่อของผมช่วยฝาก เส้นให้แน่นอน บอกไปว่าติดเองก็ไม่ค่อยเชื่อ
นอกจากนั้น ตอนทำงานที่แรก ถึงแม้จะไม่มีใครมาว่าต่อหน้าตรงๆ แต่ผมก็รู้สึกได้ สัมผัสได้ว่าพี่ๆ เพื่อนร่วมงานหลายคนค่อนข้างจะอคติกับผม เพื่อนที่ค่อนข้างสนิทหน่อยก็มาเล่าให้ฟังว่าหลายคนหมั่นใส้ เนื่องจากผมเป็นเด็กเส้น หัวหน้าค่อนข้างจะเอาใจเป็นพิเศษ
1
ตอนทำงานผมจะรู้สึกกดดัน ไม่ใช่แค่เรื่องงาน แต่ห่วงว่าคนอื่นจะคิดยังไง พยายามทำงานให้พลาดน้อยที่สุด เพราะกลัวว่าถ้าพลาดหรือทำไม่ดี ก็จะโดนนินทาหนักแน่นอน และจะเสียมาถึงพ่อด้วย
อีกเรื่องที่ผมรู้สึกว่าเป็นจุดอ่อนของตัวเอง (แม้แต่ตอนนี้ก็เป็นบ้างครับ) คือผมอาจจะมีความอดทนต่ำกว่าคนอื่นๆ ยอมรับตามตรงว่าอาจจะมีความใจสู้น้อยกว่าหลายๆ คน
ตอนเด็กๆ วิชาที่ผมเกลียดที่สุดคือลูกเสือ ยิ่งตอนไปเข้าค่ายยิ่งเกลียด พอขึ้นชั้นมัธยมปลาย พ่อก็จัดให้เรียนร.ด. ทันที เหตุผลก็ตรงๆ (ถ้าไม่โลกสวยเกินไป ผมเชื่อว่าผู้ชาย 99.99% เป็นหมด) เรียนเพื่อจะได้ไม่ต้องไปเกณฑ์ทหาร
1
ตอนเรียนร.ด. ผมหงุดหงิดและเบื่อมาก ยิ่งไปเข้าค่ายยิ่งเบื่อ
ผมเคยพูดกับพ่อ ขอให้พ่อเส้นให้ ยัดเงินเพื่อจะได้ไม่ต้องเรียนร.ด. และไม่ต้องไปเกณฑ์ทหาร (ยอมรับตามตรงเลยครับว่าเคยพูดมาก่อน นิสัยไม่ดีจริงๆ) แต่พ่อก็ไม่ช่วยนะ ทำให้ผมหงุดหงิดไปนานเหมือนกัน
อีกข้อคือความกดดัน
ด้วยความที่พ่อแม่ผมการศึกษาดี ทำงานดี พูดง่ายๆ คือทุกอย่างดีหมด ทำให้ตัวผมเอง บางครั้งก็อดเอาตัวเองไปเทียบกับพ่อแม่ เหมือนอยู่ใต้เงาของพ่อแม่ และต้องทำให้ดีกว่าหรือเทียบเท่าพ่อกับแม่
1
ตอนสมัยเป็นนักเรียนมัธยม บางทีเพื่อนๆ ก็เคยแซว พูดเล่นเวลาที่ผมสอบตกหรือเรียนไม่ดี
“พ่อแม่ก็เก่ง เพอร์เฟคทั้งคู่ ทำไมลูกแม่_ไม่ได้พ่อแม่มาเลยวะ”
“มึงเป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงป่ะเนี่ย พ่อแม่ดีทุกอย่าง แต่มึงนี่มาจากถังขยะแท้ๆ”
1
“ถ้าหน้ามึงไม่เหมือนพ่อหรือแม่มึง กูนึกว่าเขาเก็บมึงมาจากถังขยะแล้วนะเนี่ย”
ผมจะถูกล้อประมาณนี้ ซึ่งเพื่อนๆ ที่ล้อ ก็คือขำๆ ไม่ได้คิดอะไร ผมเองก็ไม่ได้คิดอะไร ไม่ได้โกรธ เพราะเป็นอารมณ์เพื่อนล้อกัน ขำๆ
1
แต่มันก็สะท้อนให้เห็นว่าเงาของพ่อแม่ที่ทอดทับตัวผมไว้มันใหญ่ และก้าวข้ามไปได้ยากแค่ไหน
ข้อสุดท้ายนี้ผมอาจจะคิดไปเอง แต่ผมคิดว่าชีวิตในวัยเด็ก อาจจะสะท้อนออกมาเป็นบุคลิกในตอนโต
ถ้าให้ผมอธิบาย ผมคิดว่าผมมีความเป็น Introvert มากกว่า Extrovert ถ้าใครได้เจอจริงๆ จะเห็นผมเป็นคนนิ่งๆ คนที่รู้จักผมครั้งแรก 90% จะมองว่าผมเป็นคนหยิ่ง บุคลิกดูนิ่งๆ ไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าไรนัก
จริงๆ ผมไม่ได้หยิ่งอะไรหรอกครับ แต่ผมคิดว่าผมมีความเป็นส่วนตัวสูง และไม่ได้มีความเฮฮา เฟรนลี่เหมือนหลายๆ คน (แต่ก็ไม่ได้ไม่เป็นมิตรนะครับ ใครมาคุยก็คุยตอบครับ ยิ้มๆ เพียงแต่อาจจะไม่ได้เฮฮา ดูเป็นกันเองขนาดนั้น) ซึ่งผมก็คิดว่าอาจจะเป็นเพราะตอนเด็กๆ ด้วยความที่ผมถูกเอาอกเอาใจมาตลอด ทำให้ความสนใจในคนอื่น ความต้องการอยากผูกมิตรหรือสนใจเรื่องของคนอื่น อาจจะไม่ได้มีเยอะเท่าไรนัก ทำให้พอโตขึ้นมา ก็ติดเป็นบุคลิกมาจนถึงตอนโต
1
ที่ผมพิมพ์เล่ามาทั้งหมด ผมต้องการจะสื่อว่า บางคนที่ดูเหมือนชีวิตดี มันไม่ใช่ว่าจะดีไปหมดหรอกครับ มันก็ต้องมีความเครียด มีความทุกข์ในแบบของตัวเองเหมือนกัน เพียงแต่ความทุกข์ ความเครียดของเขา มันอาจจะเป็นคนละแบบกับที่เราพบ
คนจนก็มีปัญหาแบบคนจน คนรวยก็มีปัญหาแบบคนรวย
ไม่มีใครบนโลกที่ไม่มีปัญหาอะไรเลย มีแต่ความสุข มันไม่มี
สำหรับผม ชีวิตที่เรียกได้ว่า “เพอร์เฟค” อย่างที่เพื่อนของผมมอง ผมว่ามันไม่มีนะ เพียงแต่การมองในมุมของคนนอก มันไม่เห็นปัญหาอะไรอยู่แล้ว
1
ทั้งหมดนี้อาจจะยาวหน่อย แต่ก็อยากจะแบ่งปันและแชร์ประสบการณ์ แชร์ความเห็นนอกเรื่องบ้างนะครับ
1
โฆษณา