22 พ.ย. 2020 เวลา 07:30 • การศึกษา
เล่าสู่กันฟัง
1.ข้าพเจ้าโพสต์ตำราโหราศาสตร์ของอ.สุบิน​ ชินพัฒน์ได้สักระยะ​ โดยมิได้ให้อรรถาธิบาย​ ขยายความ​ แนะนำ​ เพื่อสร้างความกระจ่างแก่ผู้เข้ามาอ่านแต่อย่างใด​ เนื่องด้วยจุดประสงค์ที่หวังจะสืบทอดรักษาตำราให้คนรุ่นหลังที่มีสติปัญญา มานะพยายาม​ และถูกจริต​ต่อวิชานี้ เข้ามาศึกษาต่อ​ ซึ่งคงมีอยู่ไม่มากนัก​ เคยคิดเล่นๆว่า​ผู้ที่สนใจโหราศาสตร์ไทยสักราว​ 100 คน​ น่าจะมีผู้ทุ่มเทศึกษาถึงขั้นเอาจริงเอาจังแบบเลี้ยงชีวิตได้หรือแบบเอาเป็นเอาตายเอาถูกเอาผิดกับวิชาโหราศาสตร์​ อาจจะมีไม่เกิน​ 10 คน​​ และด้วยความจำเป็นต้องเลี้ยงชีพ​ ไม่มีเวลาปูพื้นฐานใหม่ตั้งแต่ต้น​ ขาดคนชี้แนะแนวปฏิบัติ​ก็อาจจะไม่เหลือผู้ที่ศรัทธาที่จะศึกษาโหราศาสตร์แนวทางอ.สุบิน​ นี้เลยก็ได้​ จึงแค่หวังใจให้คนที่มีโอกาสเข้ามาอ่าน​ ได้ผ่านหูผ่านตา​ หรือนำไปประยุกต์ใช้ต่อยอดกับแนวทางที่ตนเองใช้อยู่ก็พอ
2.โหราศาสตร์แนวทางอ.สุบิน​ เป็นศาสตร์ในการอ่านวิถีชีวิตตามทางเลือกที่ตัวเองได้ตัดสินใจ​ โดยเจ้าชะตาแต่ละคนก็จะมีวิถีชีวิตที่แตกต่างไปตามการตัดสินใจตามทางเลือกของแต่ละคน​ ทั้งการตัดสินใจเป็นโสด​ แต่งงานอยู่กินกับคนแบบใดแบบหนึ่ง​ มีลูกลักษณะใดลักษณะหนึ่ง​ หรือทำงานลักษณะที่แตกต่างกันออกไป​ ก็จะทำให้ชะตาชีวิตผันแปรไปตามทางเลือกนั้น​ ดังนั้นหากไม่มีการตัดสินใจ​ ก็จะไม่มีคำพยากรณ์​ ทำให้ศาสตร์แบบนี้เป็นประโยชน์น้อยต่อคนที่ใช้ชีวิตไปวันๆแบบไม่ต้องการตัดสินใจอะไร​ แต่อยากให้มีเฉพาะสิ่งที่ดีเข้ามา​ และไม่มีสิ่งที่ชั่วเข้ามา
3.จุดเด่นที่สำคัญของโหราศาสตร์แนวทางอ.สุบิน​ คือการพยากรณ์​แบบเฉพาะเจาะจงเฉพาะเรื่องเฉพาะราว​ มิใช่การทำนายทายทักไปเรื่อยๆเหมือนการพยากรณ์แขนงอื่น​ จึงมีข้อจำกัดที่จะทำให้ถูกใจคนส่วนใหญ่​ได้ยาก​ เนื่องจากโหราศาสตร์แนวทางนี้ต้องการข้อมูลที่เป็นต้นเรื่อง​ เพื่อยืนยันว่าเจ้าชะตาที่มาดู​ กับดวงชะตาที่ผูกขึ้นมานั้น​สอดคล้องกัน​ หรือดาวจรที่กำลังจะเข้ามาในดวงชะตานั้น​ จะเป็นปัจจัยก่อเหตุในอนาคตได้จริง​
4.อุปสรรคสำคัญคือผู้ที่ต้องการรู้ความเป็นไปในอนาคต​ แต่ไม่ต้องการให้ข้อมูลหมอดู​รู้ข้อมูลส่วนตัวนั้นมีเป็นจำนวนมาก ทำนองหากเก่งจริง​แม่นจริงก็ทายมา​ แต่เวลาไปหาหมอแผนปัจจุบันกลับบอกข้อมูลหมอโดยละเอียดพร้อมกลับยินยอมให้ตรวจวินิจฉัยด้วยสารพัดเครื่องมือช่วย​ ทั้ง​ X-ray Ultrasound MRI และอื่นๆ​ ขณะที่บ้านเรามีหมอดูประเภทรู้ทุกเรื่องโดยไม่ต้องถามอยู่เป็นจำนวนมาก
5.ทำให้หมอดูที่เคร่งครัดและมีสัจจะต่อหลักวิชา​ แต่ยังจำเป็นในการหาเลี้ยงชีวิตและต้องอยู่รอดให้ได้​ จำต้องลดอุดมการณ์ตนและปรับตัวให้เข้ากับความต้องการลูกค้าส่วนใหญ่ที่ต้องการหมอดูที่ทำนายทายทักได้รวดเร็ว​ และครอบจักรวาลในทุกเรื่อง​ แค่เพียงบอกวันเดือนปีเกิดและเวลาเกิด​ ​โดยมิได้ตระหนักว่า​ ก็บุคคลที่มีวันเดือนปีเกิดและเวลาเกิดเดียวกันกับเจ้าชะตานั้นสามารถมีได้เป็นร้อยคนบนโลกนี้​แต่จะไม่มีใครเลยที่จะมีวิถีชีวิตที่เหมือนกันทุกประการ
6.ส่งผลให้หมอดูหลายท่านจำเป็นต้องฝึกวิชาคาดเดาขึ้นมา​ บางท่านเก่งกล้าสามารถมีครูในเกิดขึ้นเป็นสังหรณ์​เกิดเป็นอนาคตังสญาน​มีสัมผัสพิเศษ สามารถทำนายทายทักโดยใช้เครื่องมือทางโหราศาสตร์ยืนยันจิตสัมผัสตนเอง​ หมอดูประเภทนี้คงมีอยู่น้อยท่าน​ เพราะด้วยความจำเป็นในการดำเนินชีวิตปุถุชนคนทั่วไป​ มีโลภโกรธหลงกิเลส​มาหันเห​ ​ทำให้การรักษาจิตสัมผัสพิเศษให้สม่ำเสมอ​ ค่อนข้างจะท้าทาย​ จึงยังมีหมอดูอีกกลุ่มใหญ่ที่ยังคงต้องพึ่งพาหลักวิชา​ และประสบการณ์ตนมาเป็นเครื่องมือนำทาง​ ในไม่ช้า​ ก็มีความจำเป็นต้องพัฒนาอุปาทานตนให้เป็นญาณพิเศษไป​ ซึ่งต่อให้คนมาดูคัดค้านว่าไม่ใช่​ หมอดูบางท่านก็ยืนยันตามอุปาทานตน​เป็นแม่นเป็นเหมาะว่าใช่​หรือไม่ก็โบ้ยเอาว่าวันเดือนปีเกิดคลาดเคลื่อนไปบ้าง​ ​เวลาเกิดคลาดเคลื่อนไปบ้าง
7.เมื่อคาดเดามากขึ้น​ ก็ขาดสัจจะในหลักวิชาที่ศึกษามา​ พยายามคาดเดาตามประสบการณ์​ การสังเกตุ​ และอุปาทานและญาณวิเศษที่มีหรือทึกทักว่ามี​ ก็กลายเป็นประสบการณ์ใหม่​องค์ความรู้ใหม่​ ถึงขั้นเปลี่ยนแปลงหลักวิชาที่สืบทอดมาแต่ครูบาอาจารย์​ เ​มื่อข้าพเจ้าอายุยังน้อยอยู่​ยังทันคำพูดของคนรุ่นก่อนที่ว่า​ การพูดไม่จริงสำหรับผู้มีสัจจะนั้นจะมีความอับอายยิ่งกว่าการแก้ผ้าเปลือยกายในตลาด​ ด้วยเหตุนี้การถ่ายทอดวิชาของคนโบราณจึงจำเป็นต้องมีพิธีรับสัจจะ​ เพื่อให้ผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาตระหนักถึงความเคร่งครัดต่อหลักวิชาที่ตนรับสืบทอดมา​ ไม่มีการนอกครู​หรือปรับเปลี่ยนหลักวิชาเป็นอย่างอื่นตามใจตน​ ซึ่งคนรุ่นใหม่อาจไม่รู้สึกเป็นประโยชน์แต่อย่างไร​ เหมือนเวลาที่คนไปวัด​แล้วต้องรับศีล​ที่พระสวด หลายคนก็สักแต่ว่ารับศีลไปก็มิได้สนใจว่าศีลตนบริสุทธิ์ตามคำสวดหรือไม่​ แต่ที่จริงสำหรับคนสมัยก่อน​ การรับสัจจะก็จะช่วยตักเตือนตนให้พยายามเคร่งครัดศึกษาในกรอบในหลักวิชา​ ไม่นอกครูด้วยคะนองหรือถือดีในความคิดและสติปัญญาตน​ ผู้ที่รับสัจจะไป​ก็อาจจะรู้สึกละอายเก้อเขิน​ไปจนไม่สามารถศึกษาต่อไปได้​ เป็นวิธีการจำกัดคนเรียนได้โดยปริยาย​ซึ่งอาจใช้ได้ดีกับคนรุ่นเก่า
1
8.ผิดกับคนสมัยนี้ ที่อาจารย์บางท่านเห็นว่าเริ่มเข้าสู่กลียุคเมื่อกึ่งพุทธกาล​ ส่งผลให้ความดีเหลือเพียง​1 ใน​ 4 ส่วนจากกฤดายุค​ ในช่วงต้นวัฏจักรโลก​นี้​ ส่งผลให้คนเห็นผิด​ ว่าความจริง​ไม่มีอยู่​ มีแต่กระบวนการสร้างความจริงด้วยวาทะกรรมและพิธีกรรม​ของกลุ่มของคนชั้นสูงที่มีทรัพยากรเหนือกว่าและมีเวลาว่างมากกว่าคนกลุ่มอื่นๆ​จนเกิดเป็นระบบชนชั้น
9.ด้วยวาทะกรรมและพิธีกรรมที่กลุ่มชนชั้นสูงสร้างขึ้น​ ก็กลายเป็นอำนาจอ่อนครอบงำคนกลุ่มใหญ่ที่มีทรัพยากรน้อยกว่า​ ให้ยอมอยู่ภายใต้อำนาจภายใต้กรอบความคิด​ ความเชื่อ​และค่านิยมที่ถูกออกแบบไว้​ เกิดความแตกต่างจนกลายเป็นระบบชนชั้นทั้งที่รู้สึกได้และรู้สึกไม่ได้​ แต่ก็ยังทำให้กลุ่มคนส่วนใหญ่ยอมอยู่ภายใต้กลุ่มคน​ส่วนน้อยโดยสมัครใจ​
10.หากพิจารณาสังคมโดยรวมให้กว้างขึ้น​ การเคลื่อนไหวทางสังคมการเมืองทั้งหลายจึงเป็นเพียงการต่อสู้ระหว่างคนกลุ่มน้อยที่แย่งชิงอำนาจในการจัดสรรทรัพยากร​ โดยพยายามสร้างแนวร่วมมวลชนคนส่วนใหญ่ให้อยู่ข้างตนโดยสมัครใจ ด้วยการออกแบบระบบ​ความคิด​ ความเชื่อ​ใหม่ที่ท้าทายความคิด​ ความเชื่อเดิม ผ่านวิธีการสื่อสารข้อมูลแบบใหม่ที่เข้าถึงคนกลุ่มใหญ่ได้ดีกว่า
11. ความเชื่อที่ว่า​ "ความจริงเป็นเพียงสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น" นี้​ มีแนวโน้มจะขยายตัวและเพิ่มอิทธิพลครอบงำคนส่วนใหญ่ขึ้นมากในสังคมกลียุค​ จากนี้ไปในอีกหลายสิบหลายร้อยปีข้างหน้า​ บรรดาองค์ความรู้เก่าแก่ทั้งหลายที่สืบทอดกันมาแต่โบราณ​ ไม่เว้นแม้แต่โหราศาสตร์​ หากไม่ยอมละทิ้งสัจจะ​ และกลายรูปไปตามความต้องการคนในกลียุค​ ก็ต้องอันตธานหายไปตามเหตุปัจจัยไร้ผู้สืบทอด
โหราทาส
๒๒ พฤศจิกายน​ ๒๕๖๓

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา