5 ม.ค. 2021 เวลา 07:00 • ประวัติศาสตร์
NBA 104 - ประวัติย่อของทีม NBA ตอนที่ 6 - Cleveland Cavaliers
ประวัติทีม Cleveland Cavaliers
ฝั่งที่สังกัด - ฝั่งตะวันออก Central Division
ปีที่ก่อตั้ง - 1970
ชื่อเดิม - Cleveland Cavaliers (1970-ปัจจุบัน)
สถานที่ตั้ง - เมือง Cleveland รัฐ Ohio
ชื่อสนามเหย้า - Rocket Mortgage FieldHouse
เจ้าของทีม - Dan Gilbert
CEO - Len Komorovski
GM (General Manager) – Koby Altman
HC (Head Coach) - J. B. Bickerstaff
ทีมสังกัดใน G-League - Canton Charge
จำนวนครั้งที่ได้แชมป์ลีก - 1 (2016)
จำนวนครั้งที่ได้แชมป์ฝั่งทวีป - 5 (2007, 2015-2018)
จำนวนครั้งที่ได้แชมป์ Division - 7 (1976, 2009, 2010, 2015-2018)
จำนวนเบอร์เสื้อที่ทำการ Retired - 7 (7, 11, 22, 25, 34, 42, 43)
ประวัติทีมโดยสังเขป
ทีมได้ถูกก่อตั้งขึ้นในปี 1970 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในทีมที่ก่อตั้งเพื่อขยายลีกให้มีจำนวนทีมที่มากขึ้น โดยได้ถูกก่อตั้งพร้อมกับ ฺBraves (Clippers ในปัจจุบัน) และ Blazers นั่นเอง
Cavaliers 1970 Logo
ทีมได้ Bill Fitch เป็น HC คนแรกของทีม แต่ทำผลงานได้ไม่ดีเอาเสียเลย ประเดิมด้วยสถิติ 15-67 เท่านั้น รั้งอันดับบ๊วยในลีกตั้งแต่ฤดูกาลแรกของทีมเลยทีเดียว
ยังดีที่หลังจากนั้นทีมก็ค่อยๆ ได้ดาวรุ่งคุณภาพดีเข้าสู่ทีมมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น Bobby Smith, Jim Chones และ Dick Snyder ทำให้ทีมค่อยๆ มีผลงานที่ดีขึ้นตามลำดับ ถึงโดยรวมจะยังดูไม่ดีนัก แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้รั้งบ๊วยของลีกอีกต่อไป
ในปี 1974 ทีมได้ย้ายสนามเหย้าใหม่เป็น Richfiled Coliseum ที่เมือง Richfield รัฐ Ohio และดูเหมือนจะถูกโฉลกในระดับหนึ่ง ทีมจบฤดูกาล 1974/75 ด้วยสถิติ 40-42 ถือว่าขึ้นมาได้ใกล้เคียงกับการลุ้นเข้ารอบ Playoffs เป็นครั้งแรกแล้ว
ในที่สุดทีมก็ทำสำเร็จ ในฤดูกาล 1975/76 ที่ทีมได้ Nate Thurmond มาร่วมทีมอีกคน ทำให้ทีมดูดีมากขึ้นพอสมควร และสามารถจบฤดูกาลด้วยสถิติ 49-33 พร้อมกับคว้าแชมป์ประจำ Division เข้ารอบ Playoffs ไปได้อย่างสวยงามเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของทีม
แถมใน Playoffs รอบแรก ทีมยังสามารถเอาชนะ Bullets (Wizards ในปัจจุบัน) ไปได้ 4-3 เกม ชนิดที่เรียกว่าตัดสินกันใน Play สุดท้ายของเกมแทบจะตลอด Series เลยทีเดียว จนถึงกับมีคนกล่าวขานว่าฤดูกาลนี้ถือเป็น "ปาฏิหาริย์แห่ง Richfield" ในภายหลัง
Cr. Pinterest
ทีมสามารถทะลุไปได้ถึงรอบชิงแชมป์สาย ก่อนที่จะไปแพ้ให้กับ Celtics ไปอย่างน่าเสียดาย
แถมผลงานต่อจากนี้ก็ยังถือว่าทำได้ดี ทีมมีสถิติ 43-39 ในอีก 2 ฤดูกาลถัดมา แต่กลับทำผลงานใน Playoffs ได้ไม่ดีนัก ก่อนที่จะเริ่มแผ่วลงในฤดูกาล 1978/79 ทีมจบด้วยสถิติ 30-52 เท่านั้น ทำให้จบฤดุกาล Fitch ตัดสินใจลาออกในที่สุด
เจ้าของทีมที่บริหารทีมได้ย่ำแย่ที่สุด
ต่อมาในปี 1980 หลังจากจบฤดูกาลด้วยสถิติ 37-45 และไม่ได้ไปต่อใน Playoffs ทีมได้มีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของทีมเป็น Ted Stepien โดยเจ้าตัวหวังว่าจะเข้ามาบริหารทีมให้ดีขึ้น และมีการเสนอแนวคิดต่างๆ มากมาย
Ted Stepien
แต่ผลกลับออกมาตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ผลงานของทีมดิ่งเหวอย่างหนัก Stepien ได้เข้ามามีส่วนในการบริหารทีมแทบจะทุกส่วน และใช้สิทธิ์ความเป็นเจ้าของทีมโดยไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีเสียก่อน
สิ่งที่ทีมเสียหายหนักที่สุดคือ Stepien ใช้สิทธิ์การ Draft รอบแรกในอนาคตเป็นจำนวนหลายฤดูกาลติดต่อกันมากๆ ในการเอาไป Trade แลกกับผู้เล่นทีมอื่น ทำให้ในภายหลังทางลีกต้องตั้งกฎเพื่อระงับการกระทำแบบนี้ ภายใต้ชื่อว่า Ted Stepein Rule นั่นเอง เพราะสิ่งนี้ถือว่าขัดต่อหลักการของลีกอย่างสิ้นเชิง (ทุ่มกับปัจจุบันมากเกินไป จนทีมแทบจะไม่เหลืออนาคตในการสร้างทีมเลย)
โดยหลักคร่าวๆ ของกฎนี้คือ ถ้าทีมได้ใช้สิทธิ์การ Draft รอบแรกของตัวเองในการ Trade กับทีมอื่นแล้ว ในฤดูกาลถัดไปทีมจะไม่สามารถใช้สิทธิ์นี้ในการ Trade ได้อีก เว้นแต่ว่าจะได้สิทธิ์ Draft รอบแรกจากทีมอื่นมาแทนเรียบร้อยแล้วนั่นเอง
นอกจากนั้น Stepien ยังไม่สามารถบริหารทีมให้มีผลงานที่ดีได้ ในฤดูกาล 1980/81 ทีมมีผลงานเพียง 28-54 เท่านั้น แต่ที่สำคัญคือฤดูกาล 1981/82 ที่ Stepien ตัดสินใจไล่โค้ชออกถึง 3 คนในฤดูกาลเดียว แถมระบบทีมก็ยังสะเปะสะปะ ทำให้ในฤดูกาล 1982/83 ถึงแม้ผลงานจะดีขึ้นเล็กน้อย แต่ฐานคนดูของทีมกลับลดลงเหลือแค่ 3,900 คนโดยเฉลี่ยต่อเกมเท่านั้น (สนามจุได้ถึง 20,000 คนด้วยกัน)
จนสุดท้ายหลายฝ่ายถึงกับทนไม่ไหว ถึงแม้ว่า Stepien จะเสนอไอเดียในการย้ายเมืองพร้อมกับ Reboot ทีมใหม่เป็น Toronto Towers แถมคิด Logo รอไว้เรียบร้อยแล้ว แต่แฟนคลับของทีมไม่เล่นด้วย เรียกร้องให้ Stepien ขายทีมออกไป จนกระทั่งทีมได้เปลี่ยนเจ้าของเป็นพี่น้องตระกูล Gund ในภายหลังนั่นเอง
พี่น้องตระกูล Gund
หลังจากมีการเปลี่ยนเจ้าของทีม ทาง NBA จึงพยายามช่วยเหลือทีมโดยการมอบสิทธิ์ในการ Draft รอบแรกของทีมให้เป็นพิเศษตั้งแต่ปี 1983-1986 เพื่อทดแทนที่เสียไปจากการที่เจ้าของเดิมเอาไป Trade จนหมดสิ้นนั่นเอง
พร้อมกันนั้นก็ส่งผลให้ Stepien ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเจ้าของทีมที่บริหารได้ย่ำแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของลีกเลยทีเดียว
หลังจากที่มีเจ้าของทีมใหม่แล้ว ทีมได้คิดชื่อ "Cavs" เป็นชื่อย่อของทีมที่สามารถใช้แทน Cavaliers ได้ เพื่อให้เรียกได้ง่ายขึ้นอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีสื่อและแฟนคลับหลายรายได้เรียกทีมในชื่อนี้กันมาได้ระยะหนึ่งแล้ว
ทีมสามารถกลับเข้าสู่ Playoffs ได้ในฤดูกาล 1984/85 ด้วยสถิติ 36-46 ก่อนที่จะไปแพ้ให้กับ Celtics จนต้องกระเด็นตกรอบแรกไปตามความคาดหมาย แต่ก็ถือว่าทีมเริ่มกลับมาสู่ทิศทางที่ดีอีกครั้ง หลังจากต้องเผชิญกับยุคมืดมาอย่างยาวนาน
ยุคของ Daugherty, Nance และ Price
ในการ Draft ปี 1986 ทีมได้ดาวรุ่งอย่าง Brad Daugherty, Mark Price และ Larry Nance เข้าสู่ทีม ซึ่งทั้งสามคนนี้มีส่วนอย่างยิ่งในการเป็นแกนหลักของทีมชุดใหม่ภายใต้การนำทีมของโค้ช Lenny Wilkens ที่ทำให้ทีมมีผลงานที่ดูดีขึ้นมาก สามารถเข้ารอบ Playoffs ได้อีกหลายฤดูกาลถัดจากนี้เลยทีเดียว
Mark Price
ในปี 1989 ทีมดันต้องไปเจอกับ Bulls ในยุคของ Jordan ตั้งแต่ Playoffs รอบแรก ถึงจะแพ้ไป 3-2 เกม แต่ทีมสามารถต่อสู้ได้อย่างสนุกสูสีมาก จนกระทั่งต้องวัดกันที่ Play สุดท้ายของเกมเลยด้วยซ้ำ
จนกระทั่งเมื่อจบฤดูกาล 1993/94 ที่ทีมจบด้วยสถิติ 54-28 แต่ต้องกระเด็นตกรอบ Playoffs ไปตั้งแต่รอบแรก สุดท้ายโค้ชอย่าง Wilkens ก็ไม่ได้อยู่ช่วยทีมต่อไปอีก
อย่างไรก็ดี หลังจากที่ได้ HC คนใหม่อย่าง Mike Fratello มาคุมทีม กลับทำให้ทีมมีเกมรับที่เรียกได้ว่าดีที่สุดในลีกขณะนั้นเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าจะมีปัญหาในด้านเกมรุกอยู่บ้างก็ตาม และยังสามารถทำผลงานเข้ารอบ Playoffs ได้อยู่ แต่ก็ยังไปได้ไม่ถึงไหนเช่นเคย
และในที่สุดหลังจบฤดูกาล แกนหลักทั้ง 3 คนต่างก็ได้แยกย้ายกันไป บ้างก็ถูกปล่อยออกจากทีม บ้างก็เลิกเล่น ทำให้สุดท้ายแล้วยุคของแกนหลักชุดนี้ก็สิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์ในปี 1995 นั่นเอง
เข้าสู่ยุคตกต่ำอีกครั้ง
ในปี 1997 ทีมได้ปรับปรุงผู้เล่นขนานใหญ่ ด้วยการ Trade ผู้เล่นหลายคนออกไปจากทีม จนกระทั่งทีมได้ผู้เล่นดาวดังอย่าง Shawn Kemp มาจาก Sonics และดาวรุ่งพุ่งแรงอย่าง Zydrunas Ilgauskas เข้าสู่ทีม
Shawn Kemp Cr. gettyimages
ถึงแม้ว่าทั้งคู่ต่างก็โชว์ฟอร์มได้ดีจนได้ติด All-Star ทั้งชุดหลักและชุดดาวรุ่ง แต่ตลอด 3 ปีที่เล่นให้กับทีม กลับทำผลงานเข้ารอบ Playoffs ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น แถมตกรอบตั้งแต่ไก่โห่แค่รอบแรกอีกต่างหาก
ด้วยผลงานที่น่าผิดหวัง ทำให้ Fratello ถูกไล่ออกในฤดูกาล 1998/99 ในที่สุด
และหลังจากที่ Kemp ไม่ได้ไปต่อกับทีม ทำให้ผลงานของทีมค่อยๆ ตกต่ำลงเรื่อยๆ จนมาถึงฤดูกาล 2002/03 ที่ทีมจบแค่สถิติ 17-65 รั้งอันดับสามจากท้ายของลีกเพียงเท่านั้น แต่ยังดีที่ทีมยังได้สิทธิ์ Draft อันดับ 1 ในปี 2003 ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายในอนาคตของทีม
ยุคของ LeBron James ครั้งแรก
หลังจากที่ทีมได้สิทธิ์ Draft อันดับ 1 มาได้สำเร็จ ในปี 2003 ทีมได้ตัดสินใจเลือกว่าที่ผู้เล่นแห่งยุคอย่าง LeBron James เข้าสู่ทีม
LeBron James ในปีที่ถูก Draft
เจ้าตัวก็ไม่ได้ทำให้ทีมผิดหวัง สามารถคว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมในปีแรกที่ลงเล่นได้อย่างไม่มีข้อกังขา หลังจากนั้นบทบาทของเจ้าตัวกับทีมก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าทีมจะยังไม่สามารถกลับเข้าสู่ Playoffs ได้ก็ตาม แต่ก็ถือว่ามีอนาคตที่ดีเลยทีเดียว
จนกระทั่งในปี 2005 ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของทีมขึ้น เริ่มจากการเปลี่ยนเจ้าของทีมเป็น Dn Gilbert และทีมบริหารชุดใหม่ที่นำโดย HC อย่าง Mike Brown และ GM อย่าง Danny Ferry ตามลำดับ
Dan Gilbert
เมื่อมีทีมงานบริหารที่ดีขึ้น ทำให้ผลงานในสนามก็ดูดีขึ้นตามไปด้วย James ได้ผนวกกำลังกับ Ilgauskas ในการเป็นแกนหลักให้กับทีมชุดนี้ พร้อมกับทำผลงานได้ดีขึ้นจนกลับเข้าสู่ Playoffs ได้อีกครั้งในปี 2005/06 และสามารถทะลุได้ถึงรอบสอง ก่อนที่จะไปแพ้ให้กับ Pistons ในเกมที่ 7 อย่างลุ้นระทึก
อย่างไรก็ดี ทีมยังสามารถรักษาฟอร์มไว้ได้อย่างต่อเนื่อง และทำผลงานได้ดีอีกครั้งในฤดูกาลถัดมา ทีมจบด้วยสถิติ 50-32 เข้ารอบเป็นอันดับที่ 2 ของฝั่งตะวันออก และรอบนี้สามารถไปได้ถึงรอบชิงแชมป์ลีกเลยทีเดียว แต่ก็ได้พ่ายแพ้ไปให้กับ Spurs ไปอย่างเจ็บปวด โดยไม่สามารถคว้าชัยชนะได้เลยแม้แต่นัดเดียว
น่าเสียดายที่ในฤดูกาล 2007/08 ทีมกลับไม่สามารถไปยังจุดเดิมได้อีก ทีมจอดป้ายแค่ Playoffs รอบสองเท่านั้น โดยไปแพ้ให้กับ Celtics นั่นเอง ทำให้หลังจบฤดูกาลทีมพยายามปรับปรุงผู้เล่นในบางจุดเพื่อให้กลับมามีผลงานที่ยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง
The Decision
ในฤดูกาล 2008/09 ทีมได้ทำสถิติใหม่ที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ของทีม ที่สามารถจบฤดูกาลปกติด้วยสถิติ 66-16 พร้อมกับสถิติคว้าชัยชนะได้ 13 เกมต่อเนื่องด้วยกัน ถือว่าดีที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งทีมมาเลยก็ว่าได้
ทำให้ Brown คว้ารางวัลโค้ชยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล และ James ควบทั้งผู้เล่นเกมรับยอดเยี่ยม และ MVP ประจำฤดูกาลไปครอบครองได้ในที่สุด
อย่างไรก็ดี ผลงานใน Playoffs ทีมกลับทำได้ไม่สมกับความคาดหวังเท่าไหร่นัก ทำได้เพียงเข้ารอบชิงแชมป์สายเท่านั้น ก่อนที่จะไปแพ้ให้กับ Magic ใน 6 เกม ตกรอบไปแบบหักปากกาเซียนพอสมควร
ในฤดูกาลถัดมาทีมยังไม่ยอมแพ้ ทำการเสริมบรรดาผู้เล่นตัวเก๋าหลายคน นำโดยอดีตผู้เล่นแชมป์หลายสมัยอย่าง Shaquille O'Neal มาจาก Suns และผู้เล่นระดับ All-Star อย่าง Antawn Jamison มาจาก Wizards
ส่งผลให้ในฤดูกาล 2009/10 ทีมยังรักษาผลงานได้ดี จบด้วยสถิติ 61-21 เข้ารอบเป็นอันดับ 1 สองฤดูกาลติดต่อกัน และ James ยังได้รางวัล MVP ประจำฤดูกาลไปครองอีกเช่นเคย แต่ผลงานใน Playoffs กลับแย่ลงกว่าเดิม คราวนี้จอดป้ายแค่รอบสองเท่านั้นเอง
หลังจบฤดูกาล James ที่กลายเป็น Free Agents เลยได้ประกาศผ่านทางรายการพิเศษของ ESPN ว่าเขาจะไปเล่นให้กับ Heat แทน อันเป็นที่มาของ The Decision อันลือลั่นในภายหลัง
The Decision
การสร้างทีมใหม่หลังจากการจากไปของ James
ในช่วงที่ James ได้ประกาศย้ายทีมนั้น ก่อนหน้านั้นไม่นานทีมได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญอีกครั้ง โค้ชอย่าง Brown ถูกไล่ออก และ GM อย่าง Ferry ประกาศลาออกจากทีม
ทำให้ทีมต้องเข้าสู่การสร้างทีมใหม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่งผลให้ฤดูกาล 2010/11 ทีมมีผลงานกลับตาลปัตรจากฤดูกาลก่อนหน้าเป็นอย่างมาก กลายเป็นทีมที่เอาชนะได้เพียง 19 นัดเท่านั้น แถมยังทำสถิติแพ้ต่อเนื่องติดกัน 26 นัดอีกด้วย
หลังจากนั้นในฤดูกาลถัดมา ทีมได้สิทธิ์ในการ Draft รอบแรกทั้งอันดับ 1 และ 4 ทีมจึงใช้สิทธิ์ดังกล่าวในการเลือก Kyrie Irving และ Triston Thompson เข้าสู่ทีม
Kyrie Irving
ถึงแม้ในฤดูกาล 2011/12 ทีมจะยังมีผลงานที่ไม่ดีนัก แต่ Irving ก็สามารถโชว์ฟอร์มจนคว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลไปครองได้สมราคา Draft อันดับ 1 อย่างไม่มีข้อกังขา
อย่างไรก็ดี ผลงานของทีมยังลุ่มๆ ดอนๆ จนทีมต้องทำการว่าจ้าง Brown ให้กลับมาเป็น HC ของทีมอีกครั้งในปี 2013 แต่เจ้าตัวก็ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรทีมได้มากนัก ถึงแม้ว่าทีมจะได้สิทธิ์ Draft อันดับ 1 ถึง 3 ครั้งใน 4 ฤดูกาลก็ตาม จนสุดท้าย Brown ก็ถูกไล่ออกอีกครั้งหลังทำผลงานได้เพียง 33-49 ในฤดูกาล 2013/14 ทำให้ทีมผิดหวังไปพอสมควร
การกลับมาของ James และก่อกำเนิด Big 3
ในปี 2014 James ได้ประกาศว่าจะกลับมาเล่นให้กับทีมอีกครั้ง หลังจากที่เขาจากไป 4 ฤดูกาล ทีมกลับมีผลงานที่ย่ำแย่มาโดยตลอด นอกจากนั้นทีมยังได้ Kevin Love มาจาก Wolves อีกด้วย ทำให้ก่อกำเนิด Big 3 ชุดใหม่ของทีมในทันที
Irving, James และ Love
ทำให้จากทีมที่กลายเป็นลูกไล่มาตลอด 4 ปี ได้ถูกยกระดับกลายเป็นทีมลุ้นแชมป์ไปในพริบตาทันที
ถึงแม้ว่าทีมจะมีปัญหาในช่วงแรก ที่ Big 3 ยังไม่สามารถจูนฟอร์มให้เล่นร่วมกันได้ แต่หลังจากที่แก้ไขปัญหาดังกล่าวได้สำเร็จ ทีมก็เร่งทำผลงานได้อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งจบฤดูกาล 2014/15 ด้วยสถิติ 53-29 เข้ารอบเป็นอันดับ 2 ของฝั่งตะวันออกไปได้ตามความคาดหมาย
ในขณะที่ผลงานใน Playoffs ก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม ทีมไปได้ถึงรอบชิงแชมป์ลีกที่ต้องเจอกับ Warriors น่าเสียดายที่ Love ได้รับบาดเจ็บเสียก่อน ทำให้สุดท้ายแล้วทีมพลาดแชมป์ลีกไปอย่างน่าเสียดาย พ่ายแพ้ไปในเกมที่ 6 นั่นเอง
ในฤดูกาลถัดมา ทีมกลับมีข่าวระหองระแหงขึ้นพอสมควร ทั้งในด้านผู้เล่นที่ดูเหมือนจะมีปัญหากับโค้ช จนส่งผลให้ HC อย่าง David Blatt โดนไล่ออกในช่วงกลางฤดูกาล และได้ผู้ช่วยโค้ชอย่าง Tyronn Lue ขึ้นมารับตำแหน่งแทน รวมไปถึงการก้าวก่ายสิทธิ์ในการคุมทีมของ James อีกด้วย
Tyronn Lue
หลังจากที่เรื่องภายในได้เงียบสงบลง ทีมก็กลับมามุ่งมั่นทำผลงานได้เป็นอย่างดีอีกครั้ง ทีมจบฤดูกาล 2015/16 ด้วยสถิติ 57-25 และทะลุไปได้ถึงรอบชิงแชมป์ลีกเพื่อไปเจอกับ Warriors จากฝั่งตะวันตกอีกครั้ง
แต่ในรอบนี้ประวัติศาสตร์ไม่ซ้ำรอยแล้ว Cavs สามารถล้างแค้น Warriors ได้สำเร็จ เอาชนะไปได้ในเกมตัดสิน ทำให้ทีมคว้าแชมป์ได้เป็นครั้งแรก พร้อมกับการที่ james คว้ารางวัล Finals MVP ไปได้สมใจอยาก
2016 Champions
ในฤดูกาลถัดมา ถึงแม้ว่าช่วงต้นฤดูกาลทีมจะประสบปัญหาเครื่องร้อนช้าเช่นเดิม แต่ก็ยังสามารถจบฤดูกาลด้วยสถิติ 51-31 และทะลุไปถึงรอบชิงแชมป์ได้เป็นครั้งที่ 3 ติดต่อกัน แต่ครั้งนี้ทีมได้แพ้ให้กับ Warriors ไปภายในเกมที่ 5 เท่านั้นเอง
หลังจากจบฤดูกาล Irving ก็แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่อยากเป็นลูกไล่ให้กับ James อีกต่อไป จนกระทั่งเจ้าตัวได้ย้ายไปอยู่กับ Celtics ในที่สุด ถือเป็นการสิ้นสุดยุค Big 3 อย่างเป็นทางการ
ถึงแม้ว่าในฤดูกาล 2017/18 ทีมก็ยังสามารถรักษาผลงานได้อย่างต่อเนื่อง เข้ารอบชิงแชมป์ลีกติดต่อกันเป็นฤดูกาลที่ 4 แต่หนนี้กลับโดน Warriors กวาดเรียบ 4-0 เกม ทำให้ในท้ายที่สุดแล้ว หลังจบฤดูกาลมีการเปลี่ยนแปลงผู้เล่นหลายคน โดยเฉพาะ James ที่ได้ย้ายทีมไปสู่ Lakers พร้อมกับที่ทีมต้องเข้าสู่โหมดการสร้างทีมใหม่อีกครั้ง
เข้าสู่ยุคปัจจุบัน
ถึงแม้ว่าทีมจะยังมีแกนหลักอย่าง Love และ Thompson อยู่ แต่อาการบาดเจ็บก็ได้เล่นงาน Love อย่างต่อเนื่อง ทำให้ผลงานของทีมกลับมาย่ำแย่อีกครั้ง
ในปัจจุบัน ทีมจึงอยู่ในช่วงที่สร้างขุมกำลังชุดใหม่ ที่นำโดย Collin Sexton และ Sedi Osman โดยมีตัวเก๋าอย่าง Love คอยประคอง
แต่ดูจากผลงานแล้ว ทีมอาจจะต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่เลยทีเดียว ก่อนที่จะคาดหวังให้ทีมชุดนี้กลับมาทวงความยิ่งใหญ่ให้กับทีมได้อีก
ถ้าชอบก็ฝาก Share และกดติดตามด้วยนะครับ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา