2 ธ.ค. 2020 เวลา 09:12 • ประวัติศาสตร์
“การสังหารหมู่ในวันวาเลนไทน์ (Saint Valentine's Day Massacre)” การสังหารหมู่ที่ตราตรึงประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา
“การสังหารหมู่ในวันวาเลนไทน์ (Saint Valentine's Day Massacre)” เป็นเหตุการณ์สังหารหมู่ที่โด่งดังและสร้างความสยดสยองให้ผู้คนในสหรัฐอเมริกา
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1929 (พ.ศ.2472) ที่ชิคาโก้ สหรัฐอเมริกา โดยมี “อัล คาโปน (Al Capone)” เจ้าพ่อชื่อดังเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง
1
ในยุค 20 (พ.ศ.2463-2472) ซึ่งเป็นยุคที่ห้ามขายสุรา เมืองใหญ่ๆ หลายแห่งในสหรัฐอเมริกาได้ถูกปกครองโดยแก๊งอาชญากรรม
แก๊งอาชญากรรมเหล่านี้ร่ำรวยจากธุรกิจผิดกฎหมาย ทั้งธุรกิจเหล้าเถื่อน ซ่อง บ่อนการพนัน และแก๊งเหล่านี้จะจ่ายสินบนให้เจ้าหน้าที่ ทำให้พวกตนไม่ต้องติดคุก
5
ปลายยุค 20 (พ.ศ.2463-2472) ชิคาโก้ก็ได้ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งมี “อัล คาโปน (Al Capone)” เป็นใหญ่ อีกส่วนอยู่ใต้อิทธิพลของ “จอร์จ มอแรน (George Moran)”
ทั้งคาโปนและมอแรนต่างพยายามช่วงชิงความเป็นใหญ่ โดยทั้งคู่มีทั้งเงินและอิทธิพล และต่างฝ่ายต่างก็พยายามจะสังหารฝ่ายตรงข้าม
อัล คาโปน (Al Capone)
จอร์จ มอแรน (George Moran)
ต้นปีค.ศ.1929 (พ.ศ.2472) คาโปนได้พักอยู่ในไมอามี่กับครอบครัว และในเวลานั้น “แจ๊ค แม็คเกิร์น (Jack McGurn)” พรรคพวกของคาโปนก็ได้มาเยี่ยมคาโปน
แม็คเกิร์นนั้นเพิ่งรอดจากการถูกมือปืนของมอแรนตามสังหาร เขาจึงมาคุยกับคาโปนเรื่องการจัดการมอแรน
คาโปนก็คิดว่าถึงเวลาที่จะต้องกำจัดมอแรนและทำลายอิทธิพลของแก๊งมอแรนให้หมดไป เขาจึงตกลงที่จะออกทุน สนับสนุนให้แม็คเกิร์นวางแผนลอบสังหารมอแรนให้ได้
แจ๊ค แม็คเกิร์น (Jack McGurn)
แม็คเกิร์นนั้นวางแผนอย่างรอบคอบ เขาสืบจนทราบถึงที่ตั้งศูนย์บัญชาการของแก๊งมอแรน ซึ่งอยู่ในโรงรถแห่งหนึ่ง โดยแม็คเกิร์นได้จัดหามือปืนซึ่งเป็นคนนอกชิคาโก้ เนื่องจากหากมีคนรอดชีวิต จะได้ไม่ชี้ตัวว่าเป็นคนของคาโปน
นอกจากนั้น แม็คเกิร์นยังจ้างคนมาคอยดูต้นทาง โดยลงทุนให้คนดูต้นทางอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ใกล้ๆ กับโรงรถ และยังได้ทำการขโมยรถตำรวจและเตรียมเครื่องแบบตำรวจอีกสองชุด
5
เมื่อจัดเตรียมแผนอย่างดีแล้ว แม็คเกิร์นก็ได้ติดต่อให้ผู้ค้าเหล้าเถื่อนรายหนึ่ง ให้ทำการติดต่อขายวิสกี้ให้กับมอแรนในราคาถูก ซึ่งผู้ค้าเหล้าก็ได้ติดต่อกับมอแรนในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1929 (พ.ศ.2472) ซึ่งมอแรนก็ตกลงและนัดทำการซื้อขายกันในวันพรุ่งนี้ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1929 (พ.ศ.2472) เวลา 10.30 น.
3
เช้าวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1929 (พ.ศ.2472) คนที่ดูต้นทางก็จับตาดูโรงรถอย่างใกล้ชิด ก่อนที่เวลา 10.30 น. คนดูต้นทางจะเห็นชายคนหนึ่งเดินตรงไปยังโรงรถ และเข้าใจว่านั่นคือมอแรน จึงได้บอกให้มือปืนทราบ
มือปืนทั้งสี่คนขึ้นรถตำรวจ และมุ่งสู่โรงรถ โดยมือปืนสองคนแต่งกายด้วยเครื่องแบบตำรวจ และพุ่งเข้ามาในโรงรถ
3
เมื่อชายทั้งเจ็ดคนในโรงรถเห็นเป็นชายแต่งเครื่องแบบตำรวจ ก็เข้าใจว่าตำรวจได้มาตรวจจับสิ่งผิดกฎหมาย จึงแกล้งยอมๆ ให้ค้นตัวและหันหน้าเข้าหากำแพง ยอมให้ตำรวจปลดอาวุธ
ภาพจากภาพยนตร์
เมื่อยืนหันหลังให้กำแพง มือปืนก็ระดมยิงปืนใส่ชายทั้งเจ็ดที่หันหน้าเข้าหากำแพง
เมื่อทำการสังหารเสร็จ มือปืนทั้งสี่ก็รีบออกจากโรงรถ โดยมีผู้คนในละแวกนั้นชะโงกหน้าออกมาดูทางหน้าต่าง เนื่องจากได้ยิงเสียงปืนกล หากแต่เมื่อเห็นเป็นตำรวจสองนายเดินตามหลังชายอีกสองคน จึงเข้าใจว่าตำรวจยิงต่อสู้กับคนร้ายและจับคนร้าย จึงไม่ได้สนใจ
ภาพจากภาพยนตร์
เหยื่อหกรายเสียชีวิตทันที อีกหนึ่งรายไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลก่อนที่จะทันบอกว่าใครเป็นคนฆ่า
ถึงแม้แผนการสังหารนี้จะดี หากแต่ก็มีข้อผิดพลาดเรื่องหนึ่ง นั่นคือชายคนแรกที่ต้นทางบอกว่าเป็นมอแรน จริงๆ แล้วนั่นไม่ใช่มอแรน เป็นคนอื่น หากแต่ต้นทางเข้าใจผิดว่าเป็นมอแรน
มอแรนซึ่งเป็นเป้าหมายของการสังหารนี้มาถึงช้ากว่า 10.30 น. และสังเกตเห็นรถตำรวจจอดอยู่ด้านนอก จึงเข้าใจว่าเป็นแผนล่อจับของตำรวจ จึงไม่เข้าไปในโรงรถและรอดชีวิตจากเหตุการณ์นี้
ภายหลังจากพบศพ ข่าวการสังหารโหดนี้ก็ดังไปทั่วประเทศ ตำรวจก็ทำการสืบสวนอย่างหนัก
ทั้งคาโปนและแม็คเกิร์นตกเป็นผู้ต้องสงสัย หากแต่ทั้งคู่ก็มีหลักฐานยืนยันว่าทั้งคู่อยู่ที่อื่นในเวลาเกิดเหตุ ทำให้ตำรวจไม่สามารถจับกุมทั้งคู่
ได้มีการนำหลักนิติวิทยาศาสตร์มาใช้ในการสอบสวน หากแต่ก็ไม่สามารถจับกุมตัวผู้กระทำผิดได้
1
ถึงแม้ตำรวจจะไม่มีหลักฐานเพียงพอในการมัดตัวคาโปน หากแต่ตำรวจและคนทั่วไปก็รู้ว่านี่คือฝีมือของคาโปนและเป็นจุดเริ่มต้นของการที่รัฐบาลเริ่มจะจับตามองเขาอย่างจริงจัง
3
สำหรับเรื่องราวของคาโปนนั้น ผมเคยเขียนเป็นบทความไว้หลายบทความ สามารถหาอ่านได้ครับ
โฆษณา