หมดเวลาลงทุนหุ้นกลุ่มเทคฯยักษ์ใหญ่?
ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา นักลงทุนสามารถทำกำไรเป็นกอบเป็นกำได้จากตลาดหุ้น ด้วยการซื้อกองทุนรวมดัชนี (Index Fund) ทั้ง S&P500 หรือ Nasdaq100 ซึ่งทำให้นักลงทุนได้รู้จักเหล่าหุ้น FAANG: Facebook, Amazon, Apple, Netflix, และ Google บริษัทลูกของ Alphabet และยังรวมไปถึงหุ้น Microsoft
กลุ่มหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ได้รับความนิยมอย่างมาก ต้องขอบคุณรายได้อันแข็งแกร่ง ส่วนแบ่งการตลาด และ ผลประกอบการช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ซึ่งความนิยมที่เกิดนี้ ได้สร้างความกังวลในประเด็นเรื่อง การผูกขาด หรือ Antitrust และการพิจารณาด้านกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้น แม้แต่รัฐบาลภายใต้การนำของโจ ไบเดน ก็ตาม
แต่การนำตลาดของกลุ่มเทคโนโลยียักษ์ใหญ่นี้ กำลังจะเปลี่ยนไป
หลังจากที่หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง นำตลาด นักกลยุทธ์และผู้จัดการกองทุนบางท่านคิดว่า ถึงเวลาแล้วสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าอย่าง ธนาคาร สุขอนามัย พลังงาน ค้าปลีก และกลุ่มอื่นๆ ซึ่งเติบโตช้ากว่าจะมาเป็นผู้นำใหม่ในตลาดได้
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการลงทุนจาก North Star Investment Management กล่าวว่า ตลาดกำลังจะพ้นจากยุคที่หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เติบโตมากมาหลายปี และหุ้นเหล่านั้น กลายเป็นหุ้นที่มีมูลค่าสูงเกินไปแล้ว การปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อมูลค่าสูงเกินไป ทำให้หุ้นเหล่านั้นแพงเกินไป ก็จะถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนกลุ่ม
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการลงทุนจาก North Star Investment Management ได้ยกตัวอย่าง หากต้องการมองหาหุ้นที่นอกเหนือจากกลุ่มเทคโนโลยี โดยบริษัทที่น่าสนใจ ก็น่าจะเป็นบรรดาบริษัทขนาดเล็กลง ที่มีผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับผู้บริโภค อย่างเช่น Acco Brands ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสมุดจด สมุดแพลนเนอร์ ยี่ห้อ Mead และผู้ผลิตเครื่องเย็บกระดาษอย่าง Swingline รวมไปถึงบรรดาสถาบันการเงิน อย่างธนาคาร Wintrust ในชิคาโก
ประธาน Summit Global Investments บริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุน กล่าวว่า หุ้นธนาคาร ค้าปลีก และพลังงาน ทั้งหมดดูน่าสนใจ เขามองว่าหุ้นกลุ่มนี้เป็นหุ้นกลุ่มคุณค่าและได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่กลับมามีเสถียรภาพในปี 2564 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมีการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ออกมาเป็นจำนวนมาก เขาคาดว่า หุ้นที่มีมูลค่าเหล่านี้จะแข็งแกร่งกว่าตลาด และถึงเวลาแล้วที่จะมองหาหุ้นที่มีคุณภาพสูง และมีความผันผวนต่ำ ที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่กว่า โดยเขาได้เลือก JPMorgan Chase, Walmart และ Exxon Mobil เป็นหุ้นเด่นสำหรับปี 2564
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวว่า หุ้นคุณค่า และอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตอย่าง หุ้นเทคโนโลยี และหุ้นเทคโนโลยีชีวภาพ หรือ Biotech ยังแข็งแกร่งในอนาคตอันใกล้ และไม่มีเหตุผลอันใดที่จะทำให้หุ้น FAANG จะร่วงลงเพื่อให้หุ้นกลุ่มอื่นขึ้นมาแทนที่
กรรมการผู้จัดการด้านกลยุทธ์การลงทุนจาก SLC Management กล่าวว่า เรื่องของมูลค่าและการเติบโต ยังเป็นที่ถกเถียงมาโดยตลอด ทั้งนี้ จะมีการฟื้นตัวเป็นวงกว้างมากขึ้นเนื่องจากการวิ่งขึ้นของตลาดยังมาจากกลุ่มเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังไม่เห็นว่าการเติบโตของกลุ่มเทคโนโลยีนี้จะลดน้อยลง แม้หุ้นคุณค่าอื่นๆจะกลับมาแข็งแกร่งก็ตาม
ทัง้นี้ นักลงทุนควรจะหันมาหาบริษัทที่มีคุณลักษณะทั้งด้านมูลค่าและการเติบโต หุ้นที่เทรดในราคาที่สมเหตุสมผล และมีศักยภาพที่จะสร้างผลประกอบการ และรายได้อย่างมั่นคง
บรรณาธิการจาก The Sevens Report ได้กล่าวในรายงานล่าสุดว่า การหมุนเวียนเปลี่ยนกลุ่มไปหาหุ้นคุณค่า นักลงทุนควรจะมุ่งเน้นที่การสร้างพอร์ตโฟลิโอที่สมดุล และเติบโตได้ และไม่ทิ้งหุ้นทีมีการเติบโตสูงและหุ้นเทคโนโลยีทั้งหมด เพราะกลุ่มเทคโนโลยียังไปได้ดี
เขายังเสริมอีกว่า การคาดการณ์นี้ ยังมีเรื่องแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจจำนวนมากจากว่าที่รัฐบาลไบเดน และยังมีเรื่องของการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0% อย่างต่อเนื่องโดยธนาคารกลางสหรัฐฯ
ผู้จัดการบริหารพอร์ตการลงทุน จาก Janus Henderson บริษัทบริหารสินทรัพย์ระดับโลกของอังกฤษ กล่าวว่า แม้ว่าเรื่องของมูลค่าและการเติบโต จะทำให้ตลาดดูง่ายขึ้น แต่นักลงทุนยังต้องหาหุ้นที่มีการเติบโตอย่างมั่นคง โดย Janus Henderson ได้ถือหุ้นในบริษัทผู้นำอุตสาหกรรมต่างๆ อย่าง Booking ซึ่งเป็นบริษัทท่องเที่ยว และยังมี Disney, LVMH และ Mastercard
โดยผู้จัดการบริหารพอร์ตการลงทุน จาก Janus Henderson ท่านนี้มองว่า การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ได้กลายมาเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุดของบรรดาบริษัทต่างๆในทุกๆอุตสาหกรรม และนักลงทุนก็ควรจะมองหาบริษัทที่มีการเติบโตจากการเปลี่ยนผ่านนี้
ที่มาและภาพ