กว่า 200 บจ. สัญชาติจีนหนาว
สหรัฐฯ เล็งคลอดกฎหมายถอดหุ้น ออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ
รัฐบาลสหรัฐฯใกล้คลอดกฎหมายที่จะสามารถถอดบริษัทสัญชาติจีนหลายแห่งออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่งผลให้ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯและจีน ยกระดับมากขึ้น
สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯได้ผ่านร่างกฎหมายเมื่อวันพุธ (2 ธ.ค.) ที่ผ่านมาเพื่อป้องกันการเข้าเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ของบรรดาบริษัทต่างๆที่ปฏิเสธที่จะเปิดเผยข้อมูลด้านการตรวจสอบบัญชีต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (กลต.) ร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านการเห็นชอบเป็นเอกฉันท์จากการอนุมัติของวุฒิสภาก่อนหน้านี้ในปีนี้ ซึ่งหมายความว่า ร่างกฎหมายดังกล่าว จะกลายเป็นกฎหมายบังคับใช้ได้ทันทีหลังจากที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนาม
กฎหมายดังกล่าวจะนำมาใช้กับบริษัทต่างประเทศทุกบริษัท แต่เห็นได้ชัดว่าพุ่งเป้าไปยังบริษัทสัญชาติจีน ทั้งนี้รัฐบาลจีนได้มีการคัดค้านการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวมาโดยตลอด เนื่องจากว่า บริษัทสัญชาติจีนที่มีหุ้นเทรดในต่างประเทศจะต้องเก็บเอกสารด้านการตรวจสอบบัญชีไว้ที่จีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวจะไม่สามารถตรวจสอบได้โดยหน่วยงานต่างประเทศ ในขณะที่บริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯทั้งหมดจะต้องเปิดเผยข้อมูล ไม่ว่าบริษัทเหล่านั้น จะมีรัฐบาลต่างประเทศซึ่งรวมถึงพรรคคอมมิวนิสต์ของจีนเป็นเจ้าของหรือควบคุมหรือไม่ก็ตาม
รัฐบาลสหรัฐฯกล่าวในปีนี้ก่อนหน้านี้ว่า จุดมุ่งหมายของการออกกฎหมายนี้เพื่อที่ “เตะบริษัทสัญชาติจีนที่ทุจริต หลอกลวง ออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ” การพิจารณาของสหรัฐฯมีความเข้มข้นมากขึ้นหลังจากที่มีข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับ Luckin Coffee บริษัทกาแฟสัญชาติจีน จากการที่ได้เปิดเผยข้อมูลผิดปกติทางบัญชีหลายประเด็น และถูกถอดออกจากตลาดหุ้นแนสแดค (Nasdaq) เมื่อเดือนมิ.ย.ปีนี้
กฎหมายดังกล่าว อาจจะทำให้บริษัทมหาชนจีนมากกว่า 200 บริษัท ซึ่งมีมูลค่าตามราคาตลาดรวมกัน 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ต้องถูกถอดออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ร่างกฎหมายดังกล่าวระบุว่า บริษัทต่างชาติใดๆที่ไม่สามารถให้ข้อมูลทางบัญชีที่มีการตรวจสอบแก่ทางการสหรัฐฯ 3 ปีติดต่อกันจะถูกถอนออกจากตลาดหุ้นสหรัฐ และบริษัทเหล่านั้นจะต้องเปิดเผยด้วยว่าบริษัทมีรัฐบาลต่างชาติเป็นเจ้าของหรือควบคุมหรือไม่
วุฒิสมาชิก John Neely Kennedy กล่าวในถ้อยแถลงหลังจากที่มีการโหวตผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯว่า นโยบายของสหรัฐฯได้ปล่อยให้จีนมาเหยียดหยามกฎซึ่งบริษัทอเมริกันปฏิบัติตาม และเรื่องนี้เป็นเรื่องอันตราย
ในถ้อยแถลงดังกล่าวได้ระบุว่า กฎหมายนี้เป็นการปกป้องนักลงทุนชาวอเมริกันและเงินออมของพวกเขาจากบริษัทต่างประเทศที่มีการซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
กฎหมายดังกล่าวจะเปิดทางให้ประธานาธิบดีทรัมป์อีกทางในการที่จะกดดันจีนก่อนที่เขาจะหมดวาระในเดือนม.ค. ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐฯและจีน ต่างกล่าวโทษว่าเป็นผู้ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสและบกพร่องในการรับมือกับการแพร่พระบาด รวมไปถึงเหตุการณ์ประท้วงในฮ่องกง และเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ นอกจากนี้ รัฐบาลทรัมป์ยังได้พุ่งเป้าไปที่ TikTok และกดดันให้ Huawei ต้องสู้เพื่อความอยู่รอด รวมทั้งยังไม่ให้ชาวอเมริกันลงทุนในบริษัทสัญชาติจีนบางราย
บริษัทสัญชาติจีนหลายบริษัทได้เตรียมแผนสำรองหากมีสัญญาณในการพิจารณาออกกฎหมายที่ชัดเจนมากขึ้นจากรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งนี้ในช่วงต้นปี บริษัทเกมอย่าง NetEase และบริษัทอี-คอมเมิร์ซอย่าง JD.com ซึ่งเทรดในตลาดหุ้นนิวยอร์ค ได้เห็นถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้นหลังจากที่ทั้งสองบริษัทประกาศการจดทะเบียนแห่งที่สอง (Dual Listing) ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทอื่นๆอาจจะได้รับผลกระทบด้วย ซึ่งรวมถึง Alibaba และ China Telecom
JD.com ได้ระบุในเอกสารไฟล์ลิ่งที่ยื่นต่อกลต. สหรัฐฯว่า การตรากฎหมายใดๆ หรือความพยายามอื่นใดที่จะให้ผู้คุมกฎสหรัฐฯเข้าถึงข้อมูลทางบัญชี อาจจะทำให้เกิดความไม่มั่นใจของนักลงุทน และจะส่งผลกระทบต่อผู้ออกหลักทรัพย์ซึ่งรวมถึง JD.com ด้วย อีกทั้งราคาหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯของบริษัทอาจจะได้รับผลกระทบที่รุนแรง และหุ้นของบริษัทอาจจะต้องถูกถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ หากบริษัทไม่สามารถให้ข้อมูลได้ทันเวลาตามที่กำหนด
สส. Brad Sherman, D-Calif ประธานคณะอนุกรรมการสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯด้านการคุ้มครองนักลงทุนและตลาดทุน กล่าวว่า จุดประสงค์ของการออกกฎหมายนี้ ไม่ใช่เพื่อที่จะถอดบริษัทใดๆจากการเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน แต่ต้องการเชิญชวนให้จีนอนุญาตให้มีการกำกับดูแลด้านบัญชี ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนชาวอเมริกันต้องการ และนักลงทุนอเมริกันจะได้เมื่อลงทุนในบริษัทสหรัฐฯ หรือบริษัทอื่นๆที่มาจากมากกว่า 50 ประเทศ
โฆษกหญิงประจำกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวว่า นี่เป็นตัวอย่างการปราบปรามทางการเมืองของบริษัทสัญชาติจีนเพื่อจำกัดการพัฒนาของจีน รวมทั้งยังได้คาดว่าหากประธานาธิบดีทรัมป์ลงนามประกาศกฎหมายดังกล่าว จะนำมาสู่ความไม่มั่นใจของนักลงทุนทั่วโลกต่อตลาดทุนสหรัฐฯ
โฆษกหญิงยังได้กล่าวอีกว่า จีนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับนโยบายข้อบังคับด้านหลักทรัพย์นี้ และหวังว่าทางสหรัฐฯจะให้ความยุติธรรม และสภาพแวดล้อมที่ไม่มีอคติแก่บริษัทต่างชาติในการที่จะลงทุนและดำเนินการในสหรัฐฯ แทนที่จะพยายามสกัดกั้นบริษัทเหล่านั้นด้วยการขัดขวางมากมาย
นักวิเคราะห์จาก Goldman Sachs กล่าวว่า หากมีการคุมเข้มด้านกฎระเบียบมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ มีแนวโน้มที่จะกดดันให้บริษัทต่างๆ ทำการจดทะเบียนแบบสองตลาดที่ฮ่องกงมากขึ้น
ที่มาและภาพ