16 ธ.ค. 2020 เวลา 03:55 • นิยาย เรื่องสั้น
EP 14: ​หลังจากที่ผมเข้าโรงเรียนภาษา ตั้งก๊วนกับ ริว เด็กหนุ่มญี่ปุ่นได้ไม่นานนัก พวกผมก็มาได้หนุ่มอีกคนมาร่วมก๊วน เป็นหนุ่มเกาหลีชื่อ “K” โอปป้า K หล่อ สูง หุ่นดี ดีขนาดไหน ก็เอาเป็นว่าเป็นนักแสดงละครเวที ออกโทรทัศน์มาบ้างตอนอยู่เกาหลี น่าจะพอประกันได้ว่า K ต้องมั่นหน้าตัวเองในระดับหนึ่ง K มานิวยอร์กเพราะว่า อยากมาศึกษาต่อยอดความรู้ด้านละครเวที และก็คงไม่มีที่ไหนที่จะเหมาะไปกว่านิวยอร์ก นครเมกกะแห่ง Broadway Show
และอย่างแรกสุดที่ K ต้องทำก็คือ การปรับระดับภาษา แม้ว่าภาษาอังกฤษของ K นั้นจัดได้ว่าโอเค คือ อ่านออกเขียนได้ระดับหนึ่ง แต่ปัญหาของ K คือ การออกเสียง ที่เรียกได้ว่า ห่วยขั้นเทพ! อย่างคำว่า “If” แมร่งออกเสียงเป็น “อีฟ-ฟุ” ตัลหลอด! ฟังมันพูดทีไรกูเหนื่อยทุกที 555 พอได้เจอทั้งริว ทั้ง K ได้เห็นถึงการใช้ชีวิตแล้ว ผมก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่า ประชากรของประเทศที่พัฒนาแล้ว ทำไมพวกเอ็งมีจุดประสงค์ในชีวิตชัดเจน ซีเรียสกันจัง หันมามองตัวเองแพร๊พ ตอนกูอายุยี่สิบกว่า ๆ กูทำอะไรอยู่วะ เอิ่ม
โอปป้า K นอกจากจะตัวสูง หุ่นดี หน้าตาดีตามประสานักแสดงแล้ว ยังเป็นคนที่คุยโคตรจะเก่ง คือ ถ้าริวคุยเก่งจนลิงหลับ K ก็เรียกได้ว่า คุยเก่งจนชะนีตื่นได้แล้วกัน ถ้า K กับริวมาจับคู่กัน ก็ไม่เหลือพื้นที่ให้ใครได้คุยทั้งสิ้น แหม่ ๆ ๆ มันน่าจับไปคุยสภาเมืองไทยซะให้เข็ดนะ ไอ้พวกพูดมากเนี่ย และที่สำคัญที่สุดคือ K ทำงานเป็นบาร์เทนเดอร์ในร้าน ‘Bon Chon’ บาร์ขายไก่ทอดที่ดังที่สุดของเกาหลี ที่มีสาขาอยู่ที่ Korean Town ใน Manhattan เจ้าเดียวกับที่ตอนนี้ดังมากในเมืองไทยนั่นแหละครับ พอเพื่อนคนไหนแวะไปหา​ K ที่ร้าน K ก็จะจัดของกิน ของดื่มมาให้เต็มที่ เรียกว่า On the House กระจาย กะเมาเอาให้ตายกันไปข้างนึง ด้วยเหตุนี้ในโรงเรียน K จึงเป็นที่รู้จักและเป็นที่รักอย่างกว้างขวางของคนเกาและคนเมา ซึ่งเจ้า K นี่แหละที่แนะนำให้ผมรู้จักกับสาวเกาคนแรกในชีวิตผม ผมจะเล่าให้ฟังครับ เรื่องมันมีอยู่ว่า...
หน้าตึก C ซึ่งเป็นตึกเรียนของนักเรียนชาวต่างชาติ ตอนเลิกเรียนเวลาบ่ายสองก็จะเซ็งแซ่ไปด้วยหมูู่นักเรียนที่มายืนรอเจอเพื่อนคนนี้คนนู้น นัดกันว่าจะไปไหนเที่ยวไหนต่อกันดี และแน่นอนตรงมุมตึกนี้นี่เอง ที่เป็นที่รวมกลุ่มของสามหนุ่มสามประเทศที่หน้าตาดี ญี่ปุ่น, เกาหลี, ไทย ถุ๊ย! (เล่าได้ไม่อายตัวเอง 555) K ก็ไปคุยกับเพื่อนเกาหลีตามประสา ผมกับริวก็ยืนคุยกันกับเพื่อนร่วมชั้น ก็นัดกันจะไปแฮ๊งค์เอ๊าท์ซักทีแหละนะคืนนี้ สักพัก K ก็เดินกลับมาหาผม
“อ็อตโต้ เพื่อนชั้นถามว่านายเป็นใครน่ะ เขาอยากรู้จัก” K บอกกับผมเสียงธรรมดา ๆ แต่พอผมได้ยิน ใจผมนี่เรียกว่า เต้นไม่เป็นสำ่ ก็สาวเกาแต่ละคนที่ K มันไปขลุกอยู่เนี่ย น่ารักทั้งนั้น ผมนี่แทบจะเก็กขรีมเอาไว้ไม่อยู่
“ใครเหรอที่ถาม” ผมถาม พยายามนิ่งให้มากที่สุด ก่อนที่ K จะบุ้ยใบ้ให้ผมเห็นว่า เป็นสาวเกาหลีใส่แว่น ผมยาว ขาว สวย หมวย แต่ไม่อึ๋มนางหนึ่ง
“เชี่ย เยปุ๊กเน้” ผมอุทานในใจเป็นภาษาเกาหลีแปลได้ว่า ‘น่ารัก’
“โอ้ มายด์ ก็อต โซคิ้ว! แต่สงสัยสายตาไม่ดี นี่ขนาดใส่แว่นนะ” ริวเผือกขึ้นมาแบบว่าอยากมีส่วนร่วมเต็มที่ ผมแอบมองค้อน
“เขาบอกว่านายน่ารักดี นายอยากรู้จักหรือเปล่าล่ะ” K บอก สาบานได้ว่า เคมันพูดแบบนี้จริง ๆ นะ ไม่ได้โม้
“อืม เอาซิ" ผมพยายามตอบแบบปรกติที่สุด แต่ใจนี่แบบว่าลอยไปดาวอังคารแล้ว 555 มีเพื่อนชงให้แบบนี้ โอปป้าเค เพื่อนเลิฟ ซารังเฮ! ถึงเวลาปักธงชาติไทย ประกาศอธิปไตยแล้วว๊อยยย! ขณะที่ผมกำลังจิ้นไปไกลอยู่นั้น จู่ ๆ K ก็ล็อคคอพาผมเดินไปหาสาวแดนกิมจิทันทีเลย เฮ้ย! เดี๋ยว กูยังไม่ทันหยิบธงชาติออกจากกระเป๋าเลย
“จีฮุน นี่เพื่อนชั้นนะ ชื่ออ็อตโต้” K แนะนำกับเพื่อนเป็นภาษาเกาหลี ผมเลยรู้ว่า นางชื่อ ‘จวน จีฮุน’ เหมือนกับนางเอกหนังเรื่อง My Sassy Girl ยัยตัวร้ายกับนายเจี๋ยมเจี้ยมที่ดังมากในตอนนั้น แอร๊ยยย สาบานว่า ณ ตอนนั้นอยากเป็นนายเจี๋ยมเจี๊ยมเหลือเกิน แม้ผมจะยังไม่รู้ว่าควรทำไรดี แต่เพื่อน K ชนให้แล้ว ถ้าผมไม่เคลมก็เสียสุนัข ว่าแล้วผมก็ลุยทันที
“อันยองฮาเซโย” ผมทักทายเป็นภาษาเกาหลี แหม่ ดูซีรี่ย์เกามากี่เรื่องแล้ว ทักทายเป็นภาษาเกาหลีแค่นี้ ง่ายนิ๊ดเดียว ว่าแล้วผมก็ท่องประโยคที่ เพื่อน K สอนมาให้ก่อนหน้านี้
“อีลดูมี มัวยาโย๋” ผมถามเป็นภาษาเกาหลีว่า เธอชื่ออะไร ได้ผลครับ คือ จีฮุนทำหน้างง ๆ หันไปคุยภาษาเกาหลีกับ K  น่าจะประมาณว่า อีตานี่มันพูดเกาหลีได้ด้วยเหรอ K ก็แกล้งขำ ๆ ให้ หารู้ไม่ว่า นั่นแหละทั้งหมดที่ผมพูดได้ 555
“มายเนมอีส อ็อตโต้ K คลาสเมท ไนซ์ทูมีทยู” เมื่อหมดมุข ผมก็แนะนำตัวต่อด้วยภาษาอังกฤษ สำเนียงไทยจ๋า ๆ ของผมนี่แหละ
“แอมจีฮุน ยูแคนคอลมีจีน่า อีสเวรี่พลีสทูมีทยู” จีฮุนตอบกลับมา เสียงน่ารักแต่เร็วโคตร และที่สำคัญคือ สำเนียงนางนี่ ถ้าหลับตาฟังนึกว่าฟังฝรั่งที่ไหนทักทายมา เล่นเอาผมก็ถึงกับติดสตั๊นท์ อึ้งแดกไป 2 วินาที
“ว็อทสยัวร์เลเวล?” จีฮุนถามต่อแบบสนธิ เชื่อมคำว่า What กับ is เป็น What’ s เรียบร้อย
“เลเวลโฟร์ แอนด์ยู๊” ผมตอบกลับไปว่า เลเวลสี่เอง ยังโนวิทอยู่เลย
“แอมเลเวล ‘เซว’ เว่น” จีฮุนตอบกลับมาแบบชัด ๆ อ่านปากจะเห็นได้ว่า ลิ้นดุนตรงฟันบนคู่หน้าเพื่อออกเสียงเน้นที่ตัว ‘เซว’ ซึ่งไม่ใช่ ‘เซ’ นะ ถ้าไม่ระวัง น้ำลายกระเด็นออกมากระแทกหน้าได้เลย มันเป็นการเชื่อมการออกเสียงเพื่อให้ไหลลื่นอย่างเนทีฟ สปี๊คเกอร์ ไม่ใช่ ‘เซ-เว่น’ แบบบ้านเรา จำไว้นะครับนักเรียน 555 พอผมได้ยินว่านางอยู่เลเวลเจ็ด ผมก็ขนลุกซู่ มิน่าล่ะสำเนียงนางนี่ชัดเปรี๊ยะ เพราะเลเวลเจ็ดก็เรียกได้ว่าเกือบสูงสุดของโรงเรียนภาษาแล้ว สามารถย้ายไปเข้าเรียนต่อในมหา'ลัย หรือยูนิเวอร์ซิตี้ได้แล้ว ส่วนผมนั้นยังเลเวลสี่ แค่จะเขียนคำว่า ‘ยูนิเวอร์ซิตี้’ กูยังสะกดไม่ถูกเลย!
ด้วยความที่หมดมุขคุย เพราะ K มันก็สอนภาษาเกาหลีให้ผมแค่สองสามประโยคเท่านั้น ใช้หมดปุ๊ป ผมก็ไม่รู้จะไปต่อทางไหน บรรยากาศก็เริ่มอึมครึมไปหมด นกเอี้ยงบินมาเกาะบนเขาผมหนึ่งตัว สองตัว ผมก็อึกอัก ๆ ไม่รู้จะพูดอะไรดี การคุยก็กระท่อนกระแท่นมาก คือ ความรู้อังกฤษผมมันเท่าหางอึ่ง ไม่สามารถสื่อสารกันได้ ถ้าผมคุยภาษาเกาหลีได้อย่าง K (ทำไมเมิงไม่สอนกรูมากกว่านี้ฟ่ะ ไอ้ K) หรือถ้าผมหล่ออย่างพี่ติ๊ก พี่โดม มันก็คงไม่ใช่ปัญหา แต่บังเอิญหนังหน้าผมมันประมาณหมาโดนรถสามล้อทับ สุดท้ายมันก็เลยไม่คลิ๊ก ผมกับจีฮุนก็ได้ไปออกเดทกินข้าวด้วยกันครั้งเดียว จากนั้นก็จอ...บอ...
ธงชาติไทยที่ผมแบกมาจากสุวรรณภูมิ เตรียมเต็มที่จะปักลงตรงแดนกิมจิ สุดท้ายยังไม่ทันจะได้ชักธงขึ้นสู่ยอดเสาเลย ก็ถูกลมมรสุมของการสื่อสารพังลงตรงคาบสมุทรเกาหลี เรียกว่าหากย้อนเวลากลับไปได้ ผมจะตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษอย่างถวายหัวเลยเอ้า! นอกจากนั้นผมก็จะเรียนภาษาจีน ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส ยันเยอรมันเพิ่มอีกต่างหาก สาบาน!
‘รู้งี้นะ’ เป็นประโยคที่แสดงออกถึงความเสียดาย มักจะถูกหยิบมาใช้เสมอ ๆ ในเวลาที่เราตัดสินใจผิดพลาด หรือเสียใจกับสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต โดยมักจะมีส่วนขยายความตามมาว่า เพราะเหตุอะไร ทำไมถึงต้องรู้งี้ เช่น ‘รู้งี้นะ...ไม่เลือกแม่งเข้าสภาหรอก’ ที่อาจจะกล่าวถึงนักการเมืองบางประเทศที่โกงกินประเทศชาติจนได้เรือดำน้ำ หรือซื้อวัคซีนแพง ๆ มาฉีด แต่ไม่ค่อยจะได้ผล หรือจะเป็น ‘รู้งี้นะ...ไม่มาอเมริกาหรอก’ คืออาจจะมารู้เอาทีหลังว่า อยู่เมืองไทยดีกว่า สบายกว่า ไม่น่ามาลำบากลำบนเป็นเด็กเสิร์ฟที่นี่เล๊ย อ้าว! พูดถึงกูเองนี่หว่า 555
ผมได้แต่ร้องในใจว่า 'รู้งี้นะ...จะตั้งใจเรียนภาษามากกว่านี้' เพราะผมรู้แล้วว่า การพูดได้หลายภาษา มันช่วยเพิ่มโอกาสในการจีบสาว เฮ๊ย ไม่ใช่ ๆ ๆ มันดีมีประโยชน์มาก ยิ่งในอนาคต โลกเราถูกเชื่อมไว้ในแค่ปลายมือถือ ความสามารถในการพูดได้หลายภาษานี่แหละที่จะเป็นตัวสร้างโอกาสที่ดีในชีวิตมาก ๆ เพราะคุณไม่มีทางรู้หรอกว่าวันไหนเพื่อนเกาหลี เพื่อนญี่ปุ่นจะมาแนะนำสาว ๆ ให้กับคุณ จะได้ไม่ต้องมาบ่นแบบผมว่า ‘รู้อะไรไม่สู้...รู้งี้’ ฮ่าฮ่าฮ่า
หากชอบใจ สามารถกดไลค์ Subscribe หรือจะคอมเม้นท์ แชร์ ก็จะขอบคุณมาก ๆ คร้าบบ ^^ ไม่ต้องรู้งี้ก็กดได้ครับ!
========================================
ช่องทางติดตาม เอ็น.วาย.กู. New York Kitchen University เพิ่มเติมได้ที่
#เอ็นวายกู #nyku #newyorkkitchenuniversity

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา