22 ธ.ค. 2020 เวลา 16:11 • นิยาย เรื่องสั้น
‘Don’ t Judge the book by its cover’ วลีฝรั่งที่แปลว่า ‘อย่าตัดสินหนังสือจากปกนอก’ ถ้าแปลเป็นไทยอีกที ก็คือ ‘อย่าตัดสินคนจากแค่ภายนอก’ เพราะภายนอกอาจดูไม่ดี แต่ภายในอาจดีก็เป็นได้ อารมณ์น่าจะประมาณ ‘ผ้าขี้ริ้วห่อทอง’ ที่กล่าวถึงวลีนี้ก็เพราะว่า เราไม่ควรตัดสินคนจากภายนอกจริง ๆ ครับ ไม่ต้องยกตัวอย่างไปไกลที่ไหน ก็พี่จตุรเทพคนที่สองนี่แหละครับ
ตอนที่แล้ว หลังจากผมได้รับการเทรนจาก ดิงเล็ก สี่จตุรเทพคนแรกที่เล่นเอาซะผมแขนแทบขาด กลับบ้านไม่ถูกไปแล้ว วันต่อมาผมก็ถูกจับเทรนอีก แต่คราวนี้คนประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ผมเป็นพี่จตุรเทพคนที่สอง คนนี้เป็นคนเม็กซิกัน ชื่อตามบัตรประชาชนคือ ‘ลีโอเนล’ แต่ไม่ใช่เมสซี่นะ 555 จตุรเทพลีโอเนลมีจุดเด่นที่สะดุดตาอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือ ส่วนสูง ที่ประมาณได้ว่าไม่น่าเกิน 150 cm คือ พี่แกนั้นเตี้ยเป็นฮ็อบบิตเลยล่ะ แต่ความหนาของตัวพี่แก ผมสองคนรวมกันยังหนาไม่เท่า! คนบ้าอะไร แกน X กับแกน Y ขนาดใกล้เคียงกัน ส่วนสูงเกือบเท่าส่วนกว้าง อุ๊ต๊ะ! อย่างที่สองก็คือ ลีโอเนลมีใจรักในเสียงเพลงฮิบฮอปดนตรีแร็ฟโย่เป็นอย่างมาก โดยมักจะฝึกฝีปากด้วยการร้องแร็ฟเป็นภาษาสแปนิชปนอังกฤษบ้าง บางทีก็ปนไทยบ้าง! ภาษาไทยแต่ละคำ ก็ทำให้ผมต้องอมยิ้ม จะไม่ยิ้มได้อย่างไร ก็มันมีแต่พวกไอ้Xัตว์ ไอ้X่า ไอ้เxี้ย คำตระกูลดี ๆ ที่ใช้เรียกนักการเมืองทั้งนั้นล่ะครับ 555 และด้วยความซ่า กับหน้าตาบวกกับขนาดตัวที่แสนจะกระทัดรัด แต่กวนส้นเท้าตลอดเวลานี่เอง ลีโอเนลจึงมีฉายาที่คนไทยในร้านตั้งให้ว่า ‘ไอ้จั๋ง’ ผมเองก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เดาว่าน่าจะมาจากหัวล้านเตียนโล่งที่เหมือนกับพระธังซัมจั๋ง หรือไม่ก็คงเป็น ‘ไอ้จังไร’ ที่เรียกเพี้ยนไปเพี้ยนมา เลยกลายเป็นไอ้จั๋งซะอย่างงั้น
แต่อย่างที่บอกไปครับ งานบัสบอยเนี่ยมันต้องพวกร่างควาย ๆ ตัวใหญ่ ๆ อึด ถึก ทน สาย VIT- STR ของตีบวกเพิ่มเลือดมาเต็มที่ แต่พอมองมาที่ไอ้จั๋งแล้ว ด้วยรูปร่าง สัดส่วน ที่ไม่น่าผ่านการคัดตัวตั้งแต่รอบแรก ก็พี่แกทั้งเตี้ย อ้วน สั้น แต่อย่างที่เกริ่นไปตอนต้น อย่าตัดสินหนังสือจากปกฉันใด ก็อย่าตัดสินจั๋งจากรูปร่างฉันนั้น จะทำงานที่ร้านทะเล มันต้องระดับตัวท็อป เบอร์ตอง เสือสิงห์กระทิงแรด แต่ที่นี่ไม่มีตัวเงินตัวทองนะ เพราะไม่ใช่สภา! แถมนี่ยังพ่วงตำแหน่ง หนึ่งในจตุรเทพแห่งร้านทะเลมาอีก มันต้องพกฝีไม้ลายมือ มีวิชาอะไรติดตัวมาด้วยแน่ มา ๆ ผมจะเล่าให้ฟังครับ
โดยปรกติคืนวันศุกร์และเสาร์ก็จะเป็นวันที่ร้านยุ่งมาก ๆ เพราะผู้คนต่างก็พากันออกมา hang out ร้านทะเลก็แทบจะกลายเป็นทะเลเลือด เพราะมันดุเดือดเหลือจะกล่าว ลูกค้าบางคนรอนานเป็นชั่วโมง หิวจนจะแดกหัวผู้จัดการแล้ว ผู้จัดการร้านหรือโฮสอยากได้โต๊ะเต็มแก่ ก็จะมายืนกดดันพนักงานให้ทำงานเร็ว ๆ โต๊ะไหนใครกินเสร็จแล้วก็ให้รีบเก็บจาน วางบิล ไล่ออกไปซะ จะได้รับลูกค้าใหม่เข้ามา ผมเองในฐานะบัสบอยฝึกหัดมือใหม่ เพิ่งจะเทรนผ่านไปแค่วันเดียว วันต่อมาก็ถูกจับมาอยู่กับโคตรพ่อโคตรแม่บัสบอยอย่างไอ้จั๋ง ที่แม้จะเรียกว่าเทรนผม แต่จริง ๆ คือ หลอกกูทำงานให้ชัด ๆ เพราะแม่งไม่สอนห่าอะไรเลย ยืนดูผมเก็บจาน เก็บชาม กับหัดร้องเพลงแร็ฟของมันไป พอผู้จัดการเดินผ่านมาหน่อยล่ะ พี่แกก็ทำเป็นเดินมาคุย ชี้โบ้ชี้เบ้ ต้องเก็บอย่างนู้นอย่างนี้นะ พอผู้จัดการไป ก็กลับไปยืนพิงกำแพงร้องแร็ฟโย่ของมันตามเดิม ผมได้แต่ส่ายหัว รู้สึกเหมือนเป็นลูกสิงโตตัวน้อย ถูกพ่อแม่สั่งสอน โดยการทิ้งให้ตกจากหน้าผาแล้วปีนขึ้นมาเอง แต่ก็ดี ถือเป็นการดีที่ผมได้ฝึกวิชา ‘เก็บจานไปต่อชาม’ ที่ดิงเล็กสอนให้วันก่อน
จากการทำงานจริง ขณะที่ช่วงหัวค่ำยังไม่ยุ่งมาก ผมก็เหมือนกับจะพอเก็บจานชามได้ทันอยู่บ้าง อาจจะช้ากว่าที่ควรจะเป็นอยู่หน่อย ก็อาศัยว่าขาเรายาว เดินเร็ว ๆ ก็พอไหวอยู่ แต่พอดึกขึ้น ๆ ร้านก็ยิ่งวุ่นวายขึ้นเรื่อย ๆ เดินเร็ว ๆ เริ่มจะไม่ทันล่ะ จนวิ่งแล้วก็ยังทำงานไม่ทัน ร่างกายและจิตใจมันยังไม่คุ้นเคย ลำดับการทำงานก่อนหลังไม่ถูก จนเวลาสามทุ่มที่พีค ๆ ก็มาพังครืนตอนที่ลูกค้าลุกพร้อม ๆ กันทีละหลายโต๊ะ แถมแต่ละโต๊ะ ก็นั่งกันทีก็สี่ห้าคน จานชาม แก้วน้ำที่ผมไม่ทันเก็บเต็มโต๊ะไปหมด
“ไอ้เรือหาย! นี่กรูจะทำอะไรก่อนดีวะเนี่ย เยี๊ยดเปียก!” ผมสบถ ขณะที่ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร จะเก็บจานชามทีละโต๊ะ กว่าจะเอากลับไปเก็บและกลับมาเซ็ทโต๊ะก็คงหลายนาทีอยู่ เหลือไปเห็นพี่โฮสสุดสวยที่พาลูกค้ามายืนรอนั่งที่โต๊ะแทบจะทันที กดดันไปอีก! เล่นเอาผมลนลานไปใหญ่ ขณะที่ผมกำลังโอดครวญอยู่ในใจนั้นเอง ไอ้จั๋งก็ปรากฏตัวออกมา
“มัวยืนทำทะเล่อทะล่าอะไรอยู่ เก็บแก้วของสองโต๊ะนั้นมาไว้ที่โต๊ะนี้ให้หมดเร็ว!” จั๋งบอกเสียงเข้ม ขณะที่ผมเองเหมือนทหารที่ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของข้าศึก อาจคล้าย ๆ กับกลุ่มผู้ชุมนุม ที่อยู่ท่ามกลางวงล้อมของตำรวจ เฮ้ย คนละเรื่องแล้ว! จู่ ๆ มีแม่ทัพเจนสมรภูมิมานำทางให้ ก็รีบทำตามโดยเร็ว ผมย้ายแก้วซึ่งมีประมาณสิบกว่าใบได้ ทั้งแก้วน้ำเปล่า แก้วเครื่องดื่ม แก้วคอกเท็ล เอามาไว้ที่โต๊ะตัวที่เล็กที่สุดก่อน แล้วรีบจัดการเซ็ตโต๊ะใหญ่สองโต๊ะให้เรียบร้อย ทันทีที่ผมจัดการเสร็จ พี่โฮสก็ยิ้มแฉ่ง พร้อมอัญเชิญลูกค้ามานั่งทันที ผมถอนหายใจโล่งอก อย่างน้อยตอนนี้ลูกค้าก็ได้โต๊ะแล้ว แต่ขณะที่ผมยังไม่ทันหายใจได้คล่องคอ
“อย่ามัวแต่ยืนเฉย! ตอนนี้รีบเอาแก้วพวกนี้ไปเก็บหลังบ้านให้เร็วที่สุด” แม่ทัพจั๋งประกาศเสียงกร้าว ผมรีบวางถาดตัวเองลงบนโต๊ะ พร้อมกับหยิบแก้วแต่ละแก้ววางลงไป แต่ด้วยความที่แก้วมันมีจำนวนเกือบยี่สิบใบ กับความล่กของผม ที่จ้องจะรีบเก็บแก้วไปให้เร็วที่สุด ทำให้แก้วบนถาดถูกวางอย่างไร้ระเบียบ ถาดขนาดกลางใหญ่ขนาดหนึ่งไม้บรรทัดครึ่งของผม จึงไม่พอที่จะวางแก้วทั้งหมดลงไปได้ ผมจึงตัดสินใจ จะหยิบชุดแรกกลับไปก่อนแล้วจะรีบกลับมาเอาแก้วที่เหลืออีกรอบ
“เดี๋ยวก่อน นั่นจะไปไหน?” จั๋งถาม ขณะที่ผมกำลังจะออกตัวเอาแก้วรอบแรกไปเก็บ
“ถาดฉันเล็กไป ไม่พอสำหรับแก้วทั้งหมดนี้น่ะ” ผมบอก
“ไม่พอได้ยังไง มันต้องพอซิ!” จั๋งบอก พลางส่งสายตากราดเกรี้ยวออกมา ก่อนจะวางถาดกลมเล็กกว้างหนึ่งไม้บรรทัดของตัวเองลงบนโต๊ะ แล้วก็ย้ายแก้วจากถาดของผมลงในถาดของตัวเองอย่างรวดเร็ว แม้ว่าพื้นที่ถาดของจั๋งจะเล็กกว่าของผมครึ่งนึง แต่ว่าการจัดการพื้นที่บนถาดนั้น เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ แก้วแต่ละใบใช้พื้นที่น้อยที่สุด ขอบแก้วแต่ละใบห่างกันเพียงแค่ความหนาของเส้นผม แก้วทุกใบไม่ชนหรือเกยกันเลยแม้แต่นิดเดียว แก้วน้ำที่เหลือก็เอามาซ้อนกับแก้วที่วางบนถาดก่อนหน้าเป็นสองชั้น ถ้ามีน้ำที่เหลือในแก้ว ก็จะเทใส่อีกแก้วนึงที่วางอยู่ให้มันได้ระดับที่ไม่มากเกินไปจนล้นเมื่อถูกวางซ้อนกัน แก้วแล้วแก้วเล่าที่ถูกหยิบจับวางอย่างสวยงาม เป็นระเบียบและรวดเร็ว มันเหมือนกับดู Conductor มือฉมังที่แกว่งไม้บาตอง จัดการควบคุมวงออเครสต้าให้บรรเลงเพลงออกมาอย่างไพเราะ ทุกท่วงทำนองไร้ซึ่งส่วนเกินหรือมลภาวะทางดนตรี
พริบตาเดียว ถาดเล็กขนาดกว้างแค่หนึ่งไม้บรรทัดกลับเต็มไปด้วยแก้วน้ำดื่มวางซ้อนกันสองชั้น รวม 16 แก้ว ส่วนแก้วค็อกเทลอีกสี่ห้าแก้ว ก็ถูกคว่ำลงแล้วเอาส่วนฐานที่แบน สอดไว้ระหว่างร่องนิ้ว ก่อนจะวางถาดที่เต็มไปด้วยแก้วน้ำ ลงบนมือที่เต็มไปด้วยแก้วค็อกเทลข้างใต้ แต่ผมก็ยังเห็นว่าเหลือแก้วน้ำอยู่อีกหกแก้วบนโต๊ะ ต่อให้เป็นจั๋ง หนึ่งในสี่จตุรเทพแห่งร้านทะเลก็เถอะ เหลืออยู่มือเดียว จะเก็บแก้วที่เหลืออีก 6 ใบได้อย่างไร
“ผมจะเก็บที่เหลือให้เอง” ผมอาสา
“ไม่ต้องห่วงฉันหร๊อก!” จั๋งบอกเสียงสูง จิกผมด้วยสายตา ก่อนจะชูมือที่เหลืออีกข้างขึ้นมา กางนิ้วออก เผยเห็นนิ้วทั้งห้า ที่ทั้งอ้วนป้อมและสั้น จั๋งคว้าเอาแก้วน้ำใบแรกไว้ตรงกลางอุ้งมือ ก่อนจะไถมือและแก้วไปที่แก้วใบต่อไป โดยนิ้วแต่ละนิ้วเกี่ยวขอบแก้วแต่ละใบ จนครบห้าแก้ว จากนั้นก็เกร็งนิ้ว เสียงดัง แกร๊ก! แก้วมาประกบกับแก้วตรงกลางอย่างมั่นคง จั๋งยกแก้วหกใบนั้นขึ้นมาด้วยมือข้างเดียว ถ้าเป็นหนังจีนกำลังภายใน วิชานี้คงเรียกว่า ‘กรงเล็บบัสบอย’ (Bus Boy Claw) หรือ BBC อะไรประมาณนี้แน่ ไม่ใช่ชื่อสถานีโทรทัศน์ หรืออย่างอื่นนะ 555
กรงเล็บบัสบอย Bus Boy Claw
“รีบ ๆ เซ็ทโต๊ะดีกว่านะ” จั๋งบอกพร้อมยิ้มมุมปาก แล้วยกถาดขึ้นอย่างมั่นคง ง่ายดาย เหมือนไม่หนักอะไรเลย ทั้งที่แก้วเต็มซะขนาดนั้น ผมเดาว่าน่าเป็นเพราะจุดศูนย์ถ่วงร่างกายอยู่ต่ำ ทำให้มีความสมดุลมากกว่า ก่อนจะเดินอุ้ยอ้าย พลางร้องเพลงแร็ฟภาษาสแปนิช ปนอังกฤษ ปนไทยของมันไปอย่างชิล ๆ
ผมเห็นแล้วก็แอบทึ่งในฝีมือของจั๋ง ด้วยรูปร่างที่เหมือนกับตุ๊กตาล้มลุก แต่จริงแล้วจั๋งเหมือนยอดคนงำประกายมิด ไม่ออกแรงหรือเผยตัวตนยามไม่จำเป็น (แหงล่ะ ใช้กูเก็บทั้งคืน เหมือนไอ้ดิงเล็กไม่มีผิด เอ๊ะ! หรือนี่เป็นการเทรนของจตุรเทพ?) ฝีมือสมกับที่เป็นหนึ่งในจตุรเทพแห่งร้านทะเล อย่างที่บอกล่ะครับ ว่าอย่าตัดสินหนังสือจากแค่ปกนอก บางคนปกไม่ดี แต่ข้างในอาจดีก็ได้ ส่วนบางคนปกภายนอกนั้นดูดี แต่ภายในอาจแย่ นิสัยไม่ดีก็ได้ครับ ไม่ได้ว่านักการเมืองบ้านเรานะครับ ^^
ติดตามเอ็นวายกู NYKU ตอนใหม่ได้ ทุกวันที่ 1 และ 16 ของเดือนนะครับ
#เอ็นวายกู #nyku #newyorkkitchenuniversity

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา