24 ธ.ค. 2020 เวลา 02:02 • นิยาย เรื่องสั้น
สวัสดีครับพี่น้องคนอ่านที่น่ารักทุกคน วันที่ 16 ธันวาคม 2020 นอกจากจะเป็นวันที่พายุหิมะแรกของปี 2020 ถล่มนิวยอร์ก อากาศก็ยังหนาวขนาด -5’c หนาวจนไข่แข็ง! มันยังเป็นวันสำคัญอีกหนึ่งวันสำหรับผม นั่นคือ วันครบรอบ 14 ปีของผมกับการเดินทางข้ามโลกจากสยามประเทศ ดินแดนแห่งรอยยิ้ม มายังสหรัฐอเมริกา ดินแดนแห่งเสรีภาพ ตอนนั้นในกระเป๋ามีเงินอยู่ $700 ผ่านมา 14 ปี เงินในกระเป๋าก็ไม่ได้มีเพิ่มขึ้นเท่าไหร่เล๊ยยย... 555 แต่ที่เพิ่มขึ้นน่ะ คือ ประสบการณ์ชีวิตแบบโชกโชน โพนทะยาน น้ำบาน เจิ่งนองเต็มล้นตลิ่งเลยพี่น้อง
‘เส้นทางที่เราจะมุ่งไป เรื่องราวมากมายในชีวิต หนทางที่เดินฉันลิขิตเอง เอ๊ง....’ เพลงจักรยานสีแดงของพี่เสก โลโซ หนึ่งในไอดอลของผมสมัยเป็นเด็ก (เดี๋ยวนี้ผมไม่ไอดอลพี่แล้วนะ บอกไว้ก่อน 555) เส้นทางของชีวิตกับช่วงเวลา 14 ปี จะว่ามันนานก็นาน จะว่ามันสั้นก็สั้น เหมือนกับเพิ่งผ่านไปเพียงชั่วข้ามคืน ตั้งแต่วันที่ผมหอบผ้าหอบผ่อน กับความคิดที่กะจะมาชุบตัว เปิดโลกทัศน์ สักหกเดือน หนึ่งปี รู้ตัวอีกที เห้! 14 ปีผ่านไปไวเหมือนรถไฟไทย! การที่ต้องจากบ้านเกิด จากครอบครัว มาอยู่เมืองนอกเมืองนา ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม ต่างอากาศ ต่าง ๆ ๆ ไปหมดทุกอย่างแบบนี้ แถมนานขนาดหนึ่งในสามของชีวิต ทำให้ผมได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของ ‘เวลา’
โบราณว่าไว้ ‘สายน้ำไม่คอยท่า เวลาไม่คอยใคร’ น่าจะพอยืนยันได้ว่า ‘เวลา’ เป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด เมื่อผ่านไปแล้ว ทำอย่างไรก็ไม่ย้อนกลับมา ใช้เงินเท่าไหร่ก็ซื้อเวลากลับมาไม่ได้, และ ‘เวลา’ ก็ไม่เคยขี้เกียจ ไม่เคยหยุดเดินตลอด เราควรใช้ ‘เวลา’ ให้คุ้มค่ามากที่สุดเมื่อยังมีเวลาเหลืออยู่บนโลกใบนี้ ส่วนจะใช้ไปกับการเรียน, ใช้ไปกับการท่องเที่ยว, หรือแม้แต่ใช้ไปกับการประท้วง! ก็เชิญตามใจท่านเถิด มันเป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่ขอบอกว่าเรื่องอะไรไร้สาระ เพราะไร้สาระของผม มันอาจเป็นสาระของคนอื่นก็ได้ เป็นเรื่องส่วนบุคคล ผมไม่ขอสาระแนเรื่องของคนอื่นดีกว่าครับ
และแม้เวลาจะเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากแล้ว เรายังสามารถทำให้มันมีคุณค่ามากขึ้นเป็น ขั้นกว่าได้อีก นั่นคือ การใช้เวลาร่วมกับคนที่มีความสำคัญกับเรา แค่เราต้องตอบให้ได้ว่าคนที่มีความสำคัญสำหรับเรานั้นคือใคร ผมเชื่อว่าทุกคนคงตอบเหมือนกันหมดว่า ครอบครัว อันประกอบด้วย พ่อ, แม่, พี่, น้อง และนี่ก็เป็นเรื่องของการใช้เวลาร่วมกับคุณแม่ของผม ที่ผมอยากจะแบ่งปันให้พี่น้องได้ฟังกัน
หลังจากที่ตรากตรำทำงานมาสามปี อยู่นิวยอร์กแต่ทำงานเหมือนอยู่คลองเตย แบกจานชามซะจนหลังแอ่น จนถึงจุดที่ร่างกายผมมันบอกว่า คิดถึงแสงสี กลิ่นโซดา แบล็กโค๊กที่บ้านเกิด กูทำงานต่อไปไม่ไหวแล้ว! กูต้องการการพักผ่อน!!! ผมจึงแจ้งกับทางร้านทะเลที่ทำงานอยู่ขณะนั้นว่า จะขอ Take Vacation (อ่านว่า เวเคชั่นนะครับ ไม่ใช่ วาเคชั่น) ซึ่งโดยปรกติแล้ว พวกเรานักเรียนห้องครัว จะสามารถลาพักได้หนึ่งเดือนต่อหนึ่งปี หากนานกว่านี้ ส่วนมากจะไม่ได้ ‘ลาพัก’ แต่จะได้ ‘ลาออก’ แทน 555
การกลับสู่มาตุภูมิ แผ่นดินเกิดครั้งแรกของผม กับเวลาหนึ่งเดือนของการพักร้อน ผมอยู่กับเพื่อนฝูง เที่ยวเตร่ไปรวม 28 วัน! อยู่บ้านให้เวลากับคุณแม่แค่ 2 วันเท่านั้น แถมยังเป็นวันที่เมาค้างเสียอีก! คิดเข้าข้างตัวเองว่า แม่มีพี่ มีน้องที่บ้านอยู่ด้วย คงไม่คิดถึงเราเท่าไหร่หรอก ตอนนี้มาคิดอีกทีก็ได้แต่ เรียกตัวเองตอนนั้นว่า ไอ้จัญ...
หลังจากพักร้อนครั้งแรกก็เดินทางกลับมานิวยอร์ก ทำงานร้านอาหารต่อตามปรกติ ไม่ได้มีแผนการว่าจะกลับเมืองไทยอีกแต่อย่างใด จนสองปีต่อมาได้ทราบข่าวว่า แม่ไม่สบาย ป่วยเป็นโรคมะเร็งที่รักษาไม่หาย ผมรีบเดินทางกลับบ้านไปหาแม่อีกครั้ง คราวนี้หนึ่งเดือนที่กลับไป ผมกลับออกไปเตร็ดเตร่อยู่นอกบ้านแค่วันสองวัน จนแม่ยังเคยแอบแซวว่า
“รู้งี้ ม๊าเป็นมะเร็งนานแล้ว” แม่เล่นตัวเอง
“โห นี่ป่วยเรียกร้องความสนใจ รุ่นใหญ่ขาดความอบอุ่นหราาา?” ผมล้อแม่ตามประสา ก่อนจะพูดต่อไป
“หายไว ๆ ซิ ถ้าหายจะกลับมาอยู่ด้วยยาว ๆ เลย” ผมพูด พลางทำตาซึ้ง แต่แม่ไม่เล่นด้วย สงสัยจะกลัวน้ำตาคลอ หลังจากนั้นผมก็กลับเมืองไทยบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ จากสองปีครั้ง เปลี่ยนเป็นกลับทุกปี บางทีกลับเกินหนึ่งเดือน ร้านที่ทำงานอยู่บอกห้ามลาพักนานเกินหนึ่งเดือน ผมได้แต่ตอบไปว่า งั้นผมลาออกเลยแล้วกัน กลับเมืองไทยแต่ละครั้ง เวลาแทบทั้งหมด ผมยกให้กับแม่คนเดียว เรียกว่าตัวแทบติดกันเลย จะมีออกไปรับจ็อบเล็ก ๆ วันสองวัน หาเงินใช้บ้างตามประสาคนอยู่เฉย ๆ ไม่ค่อยเป็น
ผมรู้ว่าเวลาของแม่เหลือน้อยลงเรื่อย ๆ ผมอยากใช้เวลาร่วมกันกับแม่ให้มากที่สุด กิจกรรมที่เราทำร่วมกันเป็นกิจวัตร เช่น ตอนเช้าไปเดินเร็วที่สนามกีฬา (แม่เดินเร็วมากกกส์ ขนาดนิวยอร์กเกอร์อย่างผมยังตะลึง!) ขากลับบ้านก็แวะกินปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ บางทีก็เย็นตาโฟ กลางวันนั่งอ่านหนังสือ ดูครัวคุณต๋อย ตอนเย็นวันไหนว่าง ๆ ผมจะทำกับข้าวให้แม่กิน อาหารที่ทำก็มักจะไม่เหมือนอาหารไทยทั่วไป แต่จะเป็นไทยประยุกต์ตามประสานักเรียนมหา’ลัยห้องครัว
“วันนี้ทำอะไรกินอ่ะ” แม่ถาม เพราะอยากรู้ว่าเย็นนี้มีอะไรกิน
“ต๊ก-ป็อก-กิ รู้จักอ๊ะแป่ว?” ผมบอกกวน ๆ
“อะไรนะ ต๊ก ๆ เอาดี ๆ” แม่ทำหน้างง
“อาหารเกาหลีครับ เป็น Rice cake ใส่กับซอสพริกเกาหลีสีแดงอ่ะ” ผมอธิบาย
“ทำอาหารเกาหลีเป็นด้วย ใครสอนให้ล่ะ” แม่ถาม
“สาวเกาหลีสอนให้” ผมยิ้ม ๆ
“แหน่ะ ร้ายนะ มีสาวต่างชาติด้วย”
“มีหมดทุกชาติแหละแม่ นี่คุยกับเสืออยู่ไม่รู้เร๊อะ! แฮ่ ๆ โบร๋ววว...” ผมกวนก่อนจะหอนเป็นหมาแทน เรียกเสียงหัวเราะเบา ๆ จากแม่ได้ คงเป็นเพราะนิวยอร์กมันเป็นเมืองที่มีอาหารแทบทุกชาติให้ลองลิ้มชิมรสเต็มไปหมด เกาหลี ญี่ปุ่น จีน รัสเซีย ยุโรป ผมเองก็เป็นพวกอยากลองไปทั่ว ใครชวนไปกินไหนก็ไป ก็เลยทำให้มีโอกาสได้ลองอาหารอะไรเต็มไปหมด หลายครั้งที่แม่ชมว่า
“เดี๋ยวนี้ ทำอาหารอร่อยนะ” แม่บอกตอนกินข้าว
“อร่อยอยู่แล้ว ชูรสทั้งน๊าน! เคล็ดลับที่อยู่คู่ครัวไทย มานานกว่าศตวรรษ!” ผมตอบ พอผมบอกว่าใส่ชูรสเท่านั้นแหละ เล่นเอาแกสะอึก เพราะแกเป็นพวกแอนตี้ผงชูรส
“โห่ ล้อเล่นน่ะแม่ ไม่มีอายิโนะโมโตะหรอก” ผมบอกหลังจากแม่หน้าบูด
“ใช้ตราชฎาต่างหากล่ะ” ผมยิงมุก ก่อนจะหลบไป เพราะเห็นแม่ง้างเตรียมขว้างหนังสือใส่
อาจจะด้วยความเป็นคนขี้อ้อน กวนส้นเท้ามาแต่กำเนิด กอปรกับการที่ห่างหายจากบ้านไปหลาย ๆ ปี กลับมาทีก็มาขลุกอยู่กับแม่ตลอด หากใครมาเห็นคงนึกว่า ผมคงสนิทกับแม่มาก ๆ แน่ ๆ อันที่จริง ไม่ใช่เลย ผมมันเด็กมีปัญหาด้วยซ้ำ แต่การที่จากบ้านไปนานมันทำให้ผมรู้ว่าความรักของพ่อแม่นั้นมันมีค่ามากแค่ไหน การใช้เวลาร่วมกันของเรา มันทำให้ช่องว่างของผมที่มีกับแม่เมื่อสมัยวัยรุ่นหายไปมาก แต่ก็บ่อยครั้งที่ผมทะเลาะกับแม่ในหลายเรื่องเหมือนกัน ก็ลิ้นกับฟัน อยู่กันตลอดอ่ะนะ อย่างเรื่องของกินบางอย่าง ที่ผมก็ห้ามแกกิน เพราะห่วงเรื่องสุขภาพ โดยเฉพาะพวกของหวาน น้ำตาลเยอะ บางทีก็งอนกัน เรื่องไม่เป็นเรื่องบ้าง อย่างเรื่องอุดมการณ์ทางการเมืองที่เราเห็นไม่ตรงกัน พรรคนี้แย่เพราะคน คนนี้แย่เพราะพรรค เฮ้อ! แต่ที่เราเห็นเหมือนกันคือ ส.ส. น้ำดี ก็เหมือนกับอากาศ รู้ว่ามีอยู่จริง แต่เกิดมาไม่เคยเห็น!
“แม่อยากให้ผมกลับไปอยู่ที่ไทยหรือเปล่า” ผมเคยถามแม่หลายครั้ง หลังจากเห็นโรคร้ายมันกัดกินพลังงานของแม่ไปมาก จากที่เคยไปเดินเร็ว ออกกำลังกายด้วยกันที่สนามกีฬาด้วยกัน ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเดินอยู่หน้าบ้านกับต้องเริ่มใช้ไม้ค้ำช่วยพยุง แม่จะตอบมาเหมือนเดิมเสมอว่า
“โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอก มีพี่กับน้องลื้ออยู่ด้วย ไงลื้อก็ไม่อยากอยู่ไทยอยู่แล้วนี่” แม่จะพยายามทำเป็นว่าไม่เป็นไร
“วันนึงม๊าไม่อยู่ ลื้อก็ต้องอยู่ของลื้อเองนะ” แม่ตอบซึ้ง ๆ ก่อนจะแกล้งเฮฮา ชวนคุยเปลี่ยนเรื่องอื่น
เวลาของผมกับคุณแม่หมดลงในปี 2018 หลังจากจัดงานพิธีศพเสร็จ ผมกลับมาใช้ชีวิตต่อที่นิวยอร์กตามปรกติ วันนี้ครบรอบ 14 ปี ของการอยู่ที่นี่ก็เลยเผลอคิดถึงแม่ขึ้นมา เรามีช่วงเวลาดี ๆ ด้วยกัน ใกล้ชิดกันมากตลอด 10 ปีที่ผ่านมา แต่พอลองนับเวลาที่ผมอยู่ที่ได้ใช้ร่วมกันกับแม่ ผมก็พบว่า ผมใช้เวลาอยู่กับแม่แค่ประมาณสิบเดือนเท่านั้น จะเรียกว่า 10% ยังไม่ถึงดีด้วยซ้ำ เรียกได้ว่า ผมใช้เวลาอยู่กับคุณแม่น้อยมากจนน่าละอายใจ
อย่างที่เกริ่นไปในตอนต้น เวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด เราควรให้ ‘ค่า’ ความสำคัญ ไม่ควร 'ฆ่า’ เวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ และผมก็พบว่า เรายังสามารถทำให้เวลามีคุณค่ามากขึ้นอีกได้ หากเราใช้เวลาร่วมกันกับคนสำคัญของเรา อาจจะเรียกว่า ผมยังโชคดีอยู่บ้าง ที่มีเวลากล่าวคำลากับคุณแม่ในช่วง 10 ปีสุดท้าย ถ้าวันนี้พี่น้องคนอ่านทั้งหลาย ยังมีคนที่สำคัญ และมีความหมายต่อคุณอยู่ ผมอยากจะขออนุญาตมอบกำลังใจให้ทุกคน ให้กลับไปใช้เวลาอยู่ร่วมกันให้มากที่สุด เพราะเราไม่สามารถที่จะรู้ว่า เส้นทางชีวิตของเราหรือเวลาของเราจะหมดลงเมื่อใด อาจจะเกิดขึ้นแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ได้กล่าวคำลากันเป็นจริงเป็นจังเลยก็เป็นได้ ฉะนั้นการใช้เวลาร่วมกับคนที่เรารัก ขณะที่ยังทำได้นั่นแหละครับ คือ อีกหนึ่งเส้นทางชีวิตที่เราสามารถเลือกจะทำได้ เพื่อใช้กล่าวคำลาครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา