16 ธ.ค. 2020 เวลา 13:45 • ปรัชญา
# เรื่องที่เกิดขึ้นจริงของ Winnie-the-Pooh
มิตรภาพที่ดี ไม่ได้อยู่ที่วันและเวลา แต่อยู่ที่การรักษา ความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กัน และแน่นอนว่าอาจจะไม่ใช่ความสัมพันธ์แค่กับคนเพียงอย่างเดียวเสมอไป อ่านเรื่องราวต่อไปนี้แล้วคุณจะเข้าใจ
เรื่องเกิดขึ้นจาก
เสียงระฆังดังและเสียงเบรกก็ดังขึ้น ขบวนรถบรรทุกของชายในเครื่องแบบทหาร ที่คมเข้ม ถูกดึงตัวเข้าไปในเมืองไม้เล็ก ๆ ของ ไวท์ริเวอร์ ออนตาริโอ เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 1914
หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน เหล่าทหารจึงรีบออกจากรถเพื่อไปรับอากาศบริสุทธิ์และนอนเหยียดขา ซึ่งในขณะนั้น ผู้หมวด Harry Colebourn ก็เดินลงบันไดของรถรางที่เขากำลังนั่งไปยังชานชาลา
และทันทีที่เท้าแตะพื้น เขาก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติเข้า มันคือลูกหมีสีดำอายุไม่เกินเจ็ดเดือน ที่มีปลายสายจูงเป็นเครื่องดักสัตว์ ตั้งตระหง่านจนเป็นที่สุดตา เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ที่อยากจะซื้อ เมื่อได้เห็นเช่นนั้น Colebourn ทหารแคนาดา วัย 27 ปี จึงตัดสินใจที่จะช่วยเหลือและรับซื้อหมีตัวนั้นมา
1
การช่วยเหลือ
Colebourn เกิดที่ เบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ เขาเป็นคนรักสัตว์มาโดยตลอด จนเมื่อเขาอายุได้ 18 ปี Colebourn ก็ย้ายไปอยู่ที่ แคนาดา เพื่อศึกษาวิธีการผ่าตัดแบบสัตวแพทย์
หลังจากจบการศึกษาจากวิทยาลัยสัตวแพทย์ ที่ ออนตาริโอในปี 1911 Colebourn ก็ได้ตั้งรกรากอยู่ในเมือง วินนิเพก เพื่อทำงานในกรมวิชาการเกษตร
แต่ทันทีที่สงครามโลกครั้งที่ 1 เกิดขึ้น เจ้าหน้าที่สัตวแพทย์หนุ่ม Colebourn พร้อมด้วยกรมทหารม้า Fort Garry Horse จึงเป็นหนึ่งในกลุ่มคน แรก ๆ ที่ตัดสินใจเข้าเกณฑ์ทหาร และออกจาก Winnipeg ไปยังค่ายฝึกทหารที่ Valcartier รัฐควิเบก
เข้าสู่การฝึก
ในระหว่างการแวะพักช่วงสั้น ๆ ในค่าย ไวท์ริเวอร์ Colebourn ที่กำลังอุ้มหมีตัวน้อย ไว้ในอ้อมแขนด้วยแววตาที่สงสารจับใจ ขณะที่คนดักสัตว์อธิบายว่าเขาฆ่าแม่ของเจ้าหมีตัวนี้ไปแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถทำแบบเดียวกันกับลูกหมีตัวนี้ได้
Colebourn จึงตัดสินใจซื้อลูกหมีที่น่าสงสารมาในราคา $ 20 และกลับไปที่รถไฟพร้อมกับสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของเขา ซึ่งเขาตั้งชื่อให้กับหมีน้อยตัวนี้ว่า "Winnipeg" เพื่อเป็นเกียรติและรำลึกถึงบ้านเกิดของเขาที่จากมา
ในช่วงหลายสัปดาห์หลังจากที่ได้หมีน้อยมา Colebournใช้เวลาฝึกร่วมกับสมาชิกคนอื่น ๆ ในกอง ก็ได้สังเกตพฤติกรรมต่าง ๆ จนทำให้เขาพบว่า หมีของเขาที่ในตอนนี้มันมีชื่อเล่นว่า “Winnie” ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามันเป็นเพื่อนกับคนได้อย่างสมบูรณ์แบบ
Harry Colebourn และ Winnie (เครดิต: Manitoba Provincial Archives)
Colebourn จึงฝึกฝน Winnie ให้ทำตามคำสั่ง ด้วยการให้รางวัลเป็น แอปเปิ้ลที่เคลือบด้วยส่วนผสมของนมข้นและน้ำเชื่อมข้าวโพด หลังจากนั้น Winnie ก็จะนอนอยู่ใต้เตียง และเดินตามเขาไปยังที่ต่าง ๆ เหมือนดังเช่นลูกสุนัขไม่มีผิด
หากวันไหนที่ไม่ได้ปีนเสาเต็นท์ หรือเล่นกับเจ้าของ หมีผู้อ่อนโยน ก็มักจะได้ไปถ่ายรูปกับทหารคนอื่น ๆ ในค่าย จนทำให้ Winnie กลายเป็นตัวนำโชคของกองทหารนี้ไปโดยปริยาย
กระทั่งในช่วงต้นเดือนตุลาคมหลังจากที่สงครามกำลังคลืบคลานเข้ามาใกล้ Colebourn พร้อมด้วย Winnie จึงก็ได้ขึ้นเครื่องบินขนส่ง SS Manitou เดินทางไปที่ อังกฤษ เพื่อวางแผนย้าย Winnie ไปอยู่ที่อื่นก่อน หลังจากเจ็ดสัปดาห์ของการฝึกอบรม Winnie บนที่ราบ Salisbury
Winnie plays with a soldier’s sleeve. (Credit: Manitoba Archives)
ซึ่งทันทีที่ไปถึง สัตวแพทย์ ที่ Colebourn นัดไว้ ก็ได้ต่อสายไปยังแนวรบด้านตะวันตก The trenches ของ ฝรั่งเศส จึงได้ทราบว่าที่นั้น แทบไม่สามารถเป็นที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัยของคนหรือสัตว์ได้อีกแล้ว
ดังนั้น ในวันที่ 9 ธันวาคม 1914 Colebourn จึงพา Winnie ไปที่บ้านใหม่ ซึ่งเป็นสวนสัตว์ ในลอนดอน ที่เพิ่งสร้างที่อยู่อาศัยใหม่ไว้สำหรับหมีเสร็จ โดยภายในมีลักษณะคล้ายกับภูเขา
ซึ่งก่อนที่จะแยกจากกัน Colebourn ก็ได้ให้สัญญากับ Winnie ไว้ว่า เขาจะพา Winnie กลับแคนาดา ไปด้วยเมื่อสงครามสิ้นสุดลง ซึ่งเขาก็หวังว่ามันจะใช้เวลาไม่กี่เดือนหลังจากนี้ไป
ด้วยความหวัง
แต่อย่างไรก็ตามสงครามโลกครั้งนี้ ก็ไม่ได้จบลงอย่างรวดเร็ว Colebourn จึงได้เห็นภาพการสังหารที่น่าสยดสยองโดยตรง เขาเล่าว่า “มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมต้องกระโดดหนี้ลูกกระสุน และระเบิดออกไปเพียงไม่กี่หลา เพื่อช่วยเหลือม้า ทรัพย์สินทางทหารที่สำคัญไว้ให้ได้”
เหตุเพราะ Colebourn และสมาชิกคนอื่น ๆ ของ Royal Canadian Army Veterinary Corps ได้รับหน้าที่ที่สำคัญในการปกป้องม้าที่ใช้ออกศึก ให้พ้นจากโรค และช่วยรักษาบาดแผลจากกระสุนและเศษกระสุนหรือระเบิดให้กับทหาร
ซึ่งเมื่อใดก็ตามที่เขาได้รับวันหยุดจากการอยู่แนวหน้าในสงคราม Colebourn ก็จะไปเยี่ยม Winnie ที่สวนสัตว์เสมอ แม้ว่าในตอนนี้ Winnie จะเติบโตจากลูกหมีกลายเป็นหมีหนุ่มไปแล้ว แต่ Winnie ก็ยังคงอ่อนโยนเช่นเคย
ความอ่อนโยน
Zookeeper Ernest Sceales บอกกับหนังสือพิมพ์ในลอนดอน ปี 1933 ว่า “Winnie เป็นหมีที่เชื่องและประพฤติตัวดีที่สุดเท่าที่เราเคยมีมาที่สวนสัตว์ เด็ก ๆ จึงได้รับอนุญาตให้เข้าไปเล่น ไปขี่หลังของ Winnie หรือให้อาหารจากมือของพวกเขาได้”
หลายสัปดาห์ต่อมา หลังจากที่สงครามโลกสงบลง
ในเดือนพฤศจิกายน 1918 Colebourn ก็ได้เดินทางไปหา Winnie อีกครั้ง แม้ว่าเขาจะสัญญาไว้ในช่วงต้นของสงครามว่า เขาจะพา Winnie กลับบ้านด้วย
แต่เมื่อถึงเวลา เขาก็ไม่สามารถพา Winnie ที่ตอนนี้กลายเป็นหมีดำที่โตเต็มวัยไปแล้วกลับได้ เพราะเหตุนี้จึงทำให้ ไม่ว่าเขาจะทำเรื่องเช่นไรเขาก็ไม่สามารถพาWinnie ออกจากสวนสัตว์แล้วกลับ แคนาดา ได้
การจากลา
Colebourn ที่รู้ดีว่า สัตว์เลี้ยงของเขานั้น ไม่ได้เป็นของเขาอีกต่อไปแล้ว เขาจึงกล่าวคำอำลากับ Winnie เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนั้น Colebourn ก็เดินทางกลับไปที่ Winnipeg และยังคงทำงานให้กับกรมวิชาการเกษตร พร้อมทั้งเปิดโรงพยาบาลสัตว์เล็ก ๆ ที่ด้านหลังบ้านของเขา
ในขณะเดียวกัน Winnie ที่ยังคงเป็นเพื่อนให้กับเด็ก ๆ ในลอนดอน ก็ได้พบกับ เด็กชายที่มีชื่อว่า คริสโตเฟอร์โรบิน มิลน์ ผู้ซึ่งขอร้องพ่อของเขา AA Milne ซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้พาเขาไปที่สวนสัตว์
ซึ่งคริสโตเฟอร์โรบิน มักจะนำนมข้นที่เต็มไปด้วยมิตรภาพดี ๆ ไปเลี้ยง Winnie อยู่เสมอ อีกทั้งในตอนนี้ Winnie ก็กลายเป็นหมีดำตัวใหญ่ขนฟูน่ากอดไปเสียแล้ว
การเติบโต กับสังคมใหม่
คริสโตเฟอร์โรบิน ชื่นชอบ Winnie มากจนเขาเปลี่ยนชื่อตุ๊กตาหมีของเขา จาก "เอ็ดเวิร์ด" เป็น "วินนี่เดอะพูห์" ซึ่งเป็นการรวมชื่อระหว่างหมีดำและชื่อเล่นที่เขามอบให้กับหงส์ที่เขาเคยเลี้ยงตอนเช้าอยู่เป็นประจำนั้นเอง
วินนี่เดอะพูห์ และตุ๊กตาสัตว์อื่น ๆ ของ คริสโตเฟอร์โรบิน ซึ่งรวมถึง พิกเล็ต ,อียอร์ ,คังการู และทิกเกอร์ จึงเป็นแรงบันดาลใจ สำหรับงานเขียนของ AA Milne นับแต่นั้นมา โดย AA Milne เคยเป็นนักเขียนบทละคร ,นักเขียนบท ,นักประพันธ์ ,นักสืบ และผู้มีส่วนร่วมในนิตยสารอารมณ์ขัน Punch
จนกระทั่งเมื่อเขาสร้างตัวละครอย่าง Winnie-the-Pooh เข้ามาสู่ชีวิตครั้งแรกในหนังสือกวีนิพนธ์สำหรับเด็กของปี 1924 เรื่อง When We Were Very Young ตามมาด้วยการตีพิมพ์เรื่องราวเต็มเล่ม“ Winnie-the-Pooh” ในปี 1926 และมีภาคต่อเรื่อง“ The House at Pooh Corner” ซึ่งออกฉายในอีกสองปีต่อมา
Winnie the Pooh, drawn in in 1926 Source Illustration to page 3 of Winnie-the-Pooh (1926) by artist E. H. Shepard. Scan from Bibliodyssey Article Winnie-the-Pooh
เช่นเดียวกับ โคลบอร์น ทหารชาวแคนาดา เจ้าของ Winnie เนื่องจากในช่วงเดียวกันนั้น Milne ก็ได้เขาร่วมในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเช่นกัน
โดยเขาประจำการอยู่ที่ ป่า 100 เอเคอร์ ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับคำขนานนามว่า เป็นแดนสงครามที่น่าสะพรึงกลัวจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ของแนวรบด้านตะวันตก
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงเป็นแรงบันดาลใจในการเขียน Winnie-the-Pooh ที่ยังคงสดใหม่อยู่ในใจของเขาและผู้อ่านจำนวนมากในช่วงทศวรรษที่ 1920 เป็นต้นมา
First edition copies of “Winnie the Pooh.” (Credit: Daniel Acker/Bloomberg via Getty Images)
ความสำเร็จในงานเขียนของ Milne ในตอนนั้นยิ่งทำให้ Winnie มีชื่อเสียงมากขึ้น จนกระทั่ง Winnie เสียชีวิตลงในปี 1934 ด้วยอายุ 20 ปี อีกทั้งการเสียชีวิตของ Winnie ยังเป็นข่าวไปทั่วโลก ด้วยความอ่อนโยน และเป็นมิตรมากเกินกว่าหมีตัวใด
จึงเป็นเหตุให้กะโหลกของ Winnie ถูกส่งไปที่ Royal College of Surgeons และถูกจัดแสดงที่นั้นเป็นครั้งแรก
Assiniboine Park Zoo, Winnipeg (Sculpture by Bill Epp) Date Taken on 13 July 1997 Source https://web.archive.org/web/20161029054740/http://www.panoramio.com/photo/96044647 Author Bob Linsdell
อีกทั้งทางสวนสัตว์ยังสร้างรูปปั้นให้กับ Winnieและยังสร้างไว้ที่สวนสัตว์ Assiniboine Park ของเมืองวินนิเพก ด้วยภาพการจับมือของ Winnie ขณะที่ยืนด้วยขาหลังสองขา ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์
ช่วยเตือนให้ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างทหารแคนาดากับลูกหมีดำ ที่นำไปสู่การสร้างสรรค์วรรณกรรมคลาสสิกชื่อดังนั้นเอง
ดังคำที่กล่าวไว้ว่า “ เมื่อมีพบก็ต้องมีจากลา แต่สิ่งใหม่และเรื่องราวใหม่ที่ดี ๆ ก็ยังคงจะหมุนเวียนเข้ามา ตามใดที่เรายังคงรักษาหัวใจที่งดงามนั้นไว้ เพราะที่สุดแล้ว ในโลกใบนี้ไม่มีคำว่าบังเอิญ เมื่อถึงเวลา ที่เหมาะสมเราจะได้พบกับสิ่งนั้นเอง”
1
**** ในตอนหน้า แบมจะมาเล่าถึง ชีวิตของ AA Milne ให้ได้ติดตามกันนะคะ 😁 ****
อ่านบทความเรื่องเล่าจากดาวนี้เพิ่มเติมได้ที่
หากชื่นชอบก็อย่าลืมกด Like กด Share เพื่อเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ สามารถแชร์แนวคิด มุมมองดีๆได้ใน Comments นี้เลย 😄

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา